ระหว่างที่ผมตามหาเรื่องท้าวกกขนากตามคำขอของพี่เฉิ่มนั้น ขอเสนอเรื่องเก่าซึ่งอยู่ริมคลองบางหลวง ประตูวังอยู่ตรงข้ามประตูโรงเรียนวัดนวลนรดิศ (บริเวณ ๑) โรงเรียนเก่าของผมเอง เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี อดีตพระวรชายาในรัชกาลที่ ๖ ครับ
วังริมคลองภาษีเจริญ
เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา "อินทรศักดิศจี" แปลว่า พระนางศจี ผู้ทรงเป็นชายาของพระอินทร์ ทรงย้ายมาประทับ ณ วังริมคลองภาษีเจริญ ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาเสด็จมาประทับเป็นการถาวรแล้ว พระบิดาจึงกั้นบริเวณที่ดินว่างเปล่าด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นที่กว้างขวาง ให้เป็นที่ประทับกับให้สร้างพระตำหนักสไตล์ยุโรป มีมุกหกเหลี่ยม งดงาม เป็นพระตำหนักที่ประทับ โดยมีทางเชื่อมต่อกับตึกใหญ่ของท่านเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีและท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรีอีกด้วย
คลองบางหลวงเริ่มมีไฟฟ้าใช้ในรัชกาลที่ ๖ เพราะในหลวงต้องเสด็จพระราชดำเนินไปบ้าน เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) อยู่บ่อยๆ ธิดาของท่านคนหนึ่งเป็นเจ้าจอม พระสนมเอก คือ พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) อีกคนหนึ่ง คือคุณประไพ สุจริตกุล ต่อมาก็คือสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
เหตุนี้จึงเป็นผลพลอยได้ให้ชาวบางหลวงมีไฟฟ้าใช้ก่อนย่านใดๆ ในฝั่งธน โดยปักเสาสองฝั่งคลองเป็นระยะๆ ช่วงเสาแต่ละต้นมีสายไฟขึงตรงกลาง มีโป๊ะไฟฟ้าขนาดใหญ่แขวนกึ่งกลางคลองทุกเสา ตั้งแต่ปากคลองไปจนถึงบ้านเจ้าพระยา ซึ่งอยู่ปากคลองภาษีเจริญ และมีประตูน้ำตรงนั้น
บั้นปลายพระชนม์ชีพของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "สมเด็จอินทร์" ได้ประทับอยู่ ณ วังปากคลองภาษีเจริญ หรือ วังประตูน้ำ นี้มาโดยตลอดท่ามกลางพระประยูรญาติอย่างอบอุ่นต่อมาอีกกว่า ๔๐ ปี เมื่อสมเด็จอินทร์สิ้นพระชนม์แล้ว วังแห่งนี้ได้ตกแก่ทายาทลูกหลานในสกุลสุจริตกุล และเป็นที่น่าเสียดายภายหลังวังได้ถูกรื้อลงเพื่อทำประโยชน์อย่างอื่น ปัจจุบันเป็นทาวเฮาส์ไปเสียแล้ว
สมเด็จอินทร์ฯ นั้นทรงชุบเลี้ยงเด็กผู้ชายไว้หลายคน ส่วนใหญ่จะเป็นพระญาติในสกุลสุจริตกุล แต่มีคนหนึ่งที่เป็นเด็กกำพร้าทั้งบิดาและมารดา ได้ทรงชุบเลี้ยงมาแต่เด็กชายคนนั้นอายุ ๓ ขวบ ตรัสเรียกว่า "ลูกบัว" มาจนตลอดพระชนม์ชีพ ต่อมาวันหนึ่งใน พ.ศ.๒๔๖๖ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้มีรับสั่งถามเด็กชายบัวว่า มีนามสกุลหรือยัง ด้วยความที่น้าพามาถวายตัวเข้ามาอยู่ในวังแต่เด็กและเป็นกำพร้าจึงไม่ทราบว่า บิดามารดานั้นนามสกุลอะไร เมื่อมีรับสั่งถามมาเช่นนั้นจึงได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ยังไม่มี ในวันนั้นจึงได้โปรดพระราชทานนามสกุลให้เด็กชายบัว อายุ ๖ ขวบ มหาดเล็กรุ่นจิ๋วว่า "ศจิเสวี" คำว่า "ศจิ" นั้นมาจากสร้อยพระนาม อินทรศักดิศจี ส่วนคำว่า "เสวี" นั้นผันมาจากคำว่า เสวก คือบริวาร รวมความแล้วจึงมีความหมายว่า เป็นข้าราชบริพารของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี (ในขณะนั้น) คุณบัว ศจิเสวี เป็นอดีตพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อสิ้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ก็ประทับอยู่อย่างเงียบๆ กับพระญาติในสกุลสุจริตกุล ไม่ได้ทรงออกงานอย่างเป็นทางการมากนัก ส่วนสายสัมพันธ์กับพระบรมวงศานุวงศ์ต่างๆ ก็ยังดำเนินไปด้วยดี เมื่อประชวร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการรักษาพยาบาล และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เฝ้าฯ รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๖ รอบ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อฝ่ายในยังประทับอยู่ภายในสวนดุสิตและสวนสุนันทา พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โปรดให้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงออกพระนามสมเด็จอินทร์ว่า "แม่อินทร์"
ครั้นสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ และพระชนนี เสด็จไปประทับที่อังกฤษ ก็มิได้ทรงติดต่อกันอีกจนกระทั่งนิวัติประเทศไทยแล้วในปี พ.ศ.๒๕๐๒ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ และพระนางเจ้าสุวัทนาฯ จะโปรดให้ผู้แทนพระองค์เชิญของขวัญไปถวายสมเด็จอินทร์ในวันคล้ายวันประสูติเป็นประจำทุกปี และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกันในวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ และเสด็จพระนางฯ แต่ก็ไม่ได้เสด็จไปมาหาสู่กันด้วยพระองค์เอง
ในแต่ละวัน สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีจะทรงติดตามข่าวสาร ทอดพระเนตรโทรทัศน์ ทรงจดบันทึกรายวัน ปฏิบัติธรรม แล้วก็มีเสด็จประพาสต่างจังหวัดกับพระญาติ เสด็จงานในหมู่ญาติ อย่างงานศพ งานทำบุญ และในวังริมคลองภาษีเจริญสมัยนั้นก็มีผู้คนมากมาย พระองค์ก็ไม่ทรงเงียบเหงานัก แล้วยังทรงมีพี่น้อง อย่างเช่นคุณพระสุจริตสุดา ท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร ที่ใกล้ชิดพูดคุยกันได้ เวลาเสด็จฯกับพระญาติ ท่านก็ประทับรวมกัน ไม่ได้แบ่งแยก คือวางพระองค์สบายๆ สำหรับเรื่องราชาศัพท์ คนทั่วไปก็ยังใช้ราชาศัพท์กับพระองค์ แต่ไม่ได้เต็มพิธีการนัก และเมื่อกล่าวถึงพระญาติ ก็ไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ อย่างเช่น พระนัดดา ก็ใช้ว่า หลานสมเด็จ เป็นต้น งานอดิเรกอื่นๆ ที่โปรด ก็คือปลูกต้นไม้ และทรงเลี้ยงสุนัข ซึ่งก็มีคนถามพระองค์ว่าทำไมทรงเลี้ยงสุนัขพันธุ์ทางแบบนี้ แล้วให้นอนบนตำหนักด้วย ความจริงก็คือ สุนัขพวกนี้แสนรู้ เฝ้าบ้านได้ดี.
สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๘ พื้นที่วังเดิมได้ถูกขายให้เอกชนเพื่อก่อสร้างเป็น "วังเก่าทาวน์เฮาส์" ครับ
.............................................
ข้อมูลจาก facebook ประวัติศาสตร์ชาติไทยก่อนและหลัง พ.ศ.๒๔๗๕
กระทู้ยามเย็น (๑๕๒)
วังริมคลองภาษีเจริญ
เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา "อินทรศักดิศจี" แปลว่า พระนางศจี ผู้ทรงเป็นชายาของพระอินทร์ ทรงย้ายมาประทับ ณ วังริมคลองภาษีเจริญ ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาเสด็จมาประทับเป็นการถาวรแล้ว พระบิดาจึงกั้นบริเวณที่ดินว่างเปล่าด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นที่กว้างขวาง ให้เป็นที่ประทับกับให้สร้างพระตำหนักสไตล์ยุโรป มีมุกหกเหลี่ยม งดงาม เป็นพระตำหนักที่ประทับ โดยมีทางเชื่อมต่อกับตึกใหญ่ของท่านเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีและท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรีอีกด้วย
คลองบางหลวงเริ่มมีไฟฟ้าใช้ในรัชกาลที่ ๖ เพราะในหลวงต้องเสด็จพระราชดำเนินไปบ้าน เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) อยู่บ่อยๆ ธิดาของท่านคนหนึ่งเป็นเจ้าจอม พระสนมเอก คือ พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) อีกคนหนึ่ง คือคุณประไพ สุจริตกุล ต่อมาก็คือสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
เหตุนี้จึงเป็นผลพลอยได้ให้ชาวบางหลวงมีไฟฟ้าใช้ก่อนย่านใดๆ ในฝั่งธน โดยปักเสาสองฝั่งคลองเป็นระยะๆ ช่วงเสาแต่ละต้นมีสายไฟขึงตรงกลาง มีโป๊ะไฟฟ้าขนาดใหญ่แขวนกึ่งกลางคลองทุกเสา ตั้งแต่ปากคลองไปจนถึงบ้านเจ้าพระยา ซึ่งอยู่ปากคลองภาษีเจริญ และมีประตูน้ำตรงนั้น
บั้นปลายพระชนม์ชีพของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "สมเด็จอินทร์" ได้ประทับอยู่ ณ วังปากคลองภาษีเจริญ หรือ วังประตูน้ำ นี้มาโดยตลอดท่ามกลางพระประยูรญาติอย่างอบอุ่นต่อมาอีกกว่า ๔๐ ปี เมื่อสมเด็จอินทร์สิ้นพระชนม์แล้ว วังแห่งนี้ได้ตกแก่ทายาทลูกหลานในสกุลสุจริตกุล และเป็นที่น่าเสียดายภายหลังวังได้ถูกรื้อลงเพื่อทำประโยชน์อย่างอื่น ปัจจุบันเป็นทาวเฮาส์ไปเสียแล้ว
สมเด็จอินทร์ฯ นั้นทรงชุบเลี้ยงเด็กผู้ชายไว้หลายคน ส่วนใหญ่จะเป็นพระญาติในสกุลสุจริตกุล แต่มีคนหนึ่งที่เป็นเด็กกำพร้าทั้งบิดาและมารดา ได้ทรงชุบเลี้ยงมาแต่เด็กชายคนนั้นอายุ ๓ ขวบ ตรัสเรียกว่า "ลูกบัว" มาจนตลอดพระชนม์ชีพ ต่อมาวันหนึ่งใน พ.ศ.๒๔๖๖ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้มีรับสั่งถามเด็กชายบัวว่า มีนามสกุลหรือยัง ด้วยความที่น้าพามาถวายตัวเข้ามาอยู่ในวังแต่เด็กและเป็นกำพร้าจึงไม่ทราบว่า บิดามารดานั้นนามสกุลอะไร เมื่อมีรับสั่งถามมาเช่นนั้นจึงได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ยังไม่มี ในวันนั้นจึงได้โปรดพระราชทานนามสกุลให้เด็กชายบัว อายุ ๖ ขวบ มหาดเล็กรุ่นจิ๋วว่า "ศจิเสวี" คำว่า "ศจิ" นั้นมาจากสร้อยพระนาม อินทรศักดิศจี ส่วนคำว่า "เสวี" นั้นผันมาจากคำว่า เสวก คือบริวาร รวมความแล้วจึงมีความหมายว่า เป็นข้าราชบริพารของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี (ในขณะนั้น) คุณบัว ศจิเสวี เป็นอดีตพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อสิ้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ก็ประทับอยู่อย่างเงียบๆ กับพระญาติในสกุลสุจริตกุล ไม่ได้ทรงออกงานอย่างเป็นทางการมากนัก ส่วนสายสัมพันธ์กับพระบรมวงศานุวงศ์ต่างๆ ก็ยังดำเนินไปด้วยดี เมื่อประชวร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการรักษาพยาบาล และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เฝ้าฯ รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๖ รอบ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อฝ่ายในยังประทับอยู่ภายในสวนดุสิตและสวนสุนันทา พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โปรดให้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงออกพระนามสมเด็จอินทร์ว่า "แม่อินทร์"
ครั้นสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ และพระชนนี เสด็จไปประทับที่อังกฤษ ก็มิได้ทรงติดต่อกันอีกจนกระทั่งนิวัติประเทศไทยแล้วในปี พ.ศ.๒๕๐๒ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ และพระนางเจ้าสุวัทนาฯ จะโปรดให้ผู้แทนพระองค์เชิญของขวัญไปถวายสมเด็จอินทร์ในวันคล้ายวันประสูติเป็นประจำทุกปี และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกันในวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ และเสด็จพระนางฯ แต่ก็ไม่ได้เสด็จไปมาหาสู่กันด้วยพระองค์เอง
ในแต่ละวัน สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีจะทรงติดตามข่าวสาร ทอดพระเนตรโทรทัศน์ ทรงจดบันทึกรายวัน ปฏิบัติธรรม แล้วก็มีเสด็จประพาสต่างจังหวัดกับพระญาติ เสด็จงานในหมู่ญาติ อย่างงานศพ งานทำบุญ และในวังริมคลองภาษีเจริญสมัยนั้นก็มีผู้คนมากมาย พระองค์ก็ไม่ทรงเงียบเหงานัก แล้วยังทรงมีพี่น้อง อย่างเช่นคุณพระสุจริตสุดา ท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร ที่ใกล้ชิดพูดคุยกันได้ เวลาเสด็จฯกับพระญาติ ท่านก็ประทับรวมกัน ไม่ได้แบ่งแยก คือวางพระองค์สบายๆ สำหรับเรื่องราชาศัพท์ คนทั่วไปก็ยังใช้ราชาศัพท์กับพระองค์ แต่ไม่ได้เต็มพิธีการนัก และเมื่อกล่าวถึงพระญาติ ก็ไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ อย่างเช่น พระนัดดา ก็ใช้ว่า หลานสมเด็จ เป็นต้น งานอดิเรกอื่นๆ ที่โปรด ก็คือปลูกต้นไม้ และทรงเลี้ยงสุนัข ซึ่งก็มีคนถามพระองค์ว่าทำไมทรงเลี้ยงสุนัขพันธุ์ทางแบบนี้ แล้วให้นอนบนตำหนักด้วย ความจริงก็คือ สุนัขพวกนี้แสนรู้ เฝ้าบ้านได้ดี.
สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๘ พื้นที่วังเดิมได้ถูกขายให้เอกชนเพื่อก่อสร้างเป็น "วังเก่าทาวน์เฮาส์" ครับ
.............................................
ข้อมูลจาก facebook ประวัติศาสตร์ชาติไทยก่อนและหลัง พ.ศ.๒๔๗๕