ประวัติไฟฟ้าไทย (ตอนที่ 2)

ต่อจากกระทู้  “ประวัติไฟฟ้าไทย” ซึ่งเป็นตอนที่ 1 เนื้อหาน่าเชื่อถือ ไม่ผิดเพี้ยน ค้นคว้าจากเอกสารตั้งต้นในยุคสมัยนั้นๆ ยืนยันพิสูจน์ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ทราบถึงพระราชกรณียกิจจำนวนมากที่เกี่ยวกับไฟฟ้าไทย ในช่วงรัชสมัยภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยในพระบรมราโชบายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชปณิธานและพระราชประสงค์ ทั้งทรงพยายามเต็มพระมหาพิริยุตสาหะทะนุบำรุงเป็นที่สุด มิได้ทรงคำนึงถึงความลำบากเหนื่อยยากพระสกนธ์กายและพระราชหฤทัย แม้พระองค์ทรงเป็นอรรคบริโสดมบรมสุขุมาลชาติเพื่อพระราชประสงค์จะให้บังเกิดสุขประโยชน์แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน บรรดาเป็นผลให้สยามประเทศเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ไฟฟ้าไทยจึงได้วิวัฒนาการเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันนี้

รัฐบาลได้รับจำนำเพื่อบริษัทจะได้นำเงินไปดำเนินการต่อ แต่สุดท้ายได้หลุดจำนำตกเป็นของรัฐบาลไทยดำเนินการโดยกระทรวงโยธาธิการเรียกว่า "ไฟฟ้าหลวง"

3 กันยายน พ.ศ. 2438 ประมาณ 18.00 น. รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินประพาสในพระนครทางรถพระที่นั่ง เสด็จขึ้นทรงรถรางไฟฟ้าบริเวณถนนวังแล่นไปจนถึงสะพานเหล็ก เสด็จทอดพระเนตรเครื่องจักรในโรงไฟฟ้าซึ่งผลิตไฟฟ้าให้แก่รถรางของบริษัท บางกอกแตรมเว จำกัด (จากหนังสือพิมพ์กุมารวิทยา ฉบับที่ 3)

17 มกราคม พ.ศ. 2438 ประมาณ 18.00 น. รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินประพาสทางรถพระที่นั่ง เสด็จทอดพระเนตรในโรงไฟฟ้าหลวงที่ วัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) เป็นเวลา 15 นาที (จากหนังสือพิมพ์กุมารวิทยา ฉบับที่ 21)

24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2438 ใกล้เวลา 19.00 น. รัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นทรงรถรางไฟฟ้า ณ ข้างกระทรวงยุทธนาธิการ แล่นตรงจนสุดทางที่บางคอแหลม เสด็จพระราชดำเนิน แล้วเสด็จทรงรถรางแล่นกลับมาถึงพระบรมมหาราชวังเวลา 3 ทุ่มเศษ (จากหนังสือพิมพ์กุมารวิทยา ฉบับที่ 26)

พ.ศ. 2439 เกิดเหตุการณ์ที่พลตระเวนของกระทรวงนครบาลปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษาโคม ไฟฟ้าตามข้างถนนบริเวณสะพานช้างโรงสี (สะพานข้ามคลองหลอดหลังกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน) ปล่อยให้ฝุ่นเกาะดูเศร้าหมองเป็นเวลานาน โดยเมื่อคราวที่เป็นโคมน้ำมันอยู่นั้นพลตระเวนต้องทำหน้าที่คอยจุดคอยดับ เช็ดกระจกและเติมน้ำมันทุกวัน รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชกระแสมีใจความว่า "ที่ได้จัดตกลงกันไว้แล้วเช่นนี้ก็ดี ก็ยังต้องการเตือนกันเรื่อยๆ ไปอย่างไทย ไม่มีอะไรวางมือได้สักอย่างเดียว เป็นเจ้าแผ่นดินเมืองไทยนั้นเหมือนอย่างพลเรือน ที่ต้องหุงข้าวกินเอง กวาดเรือนเอง ตักน้ำรดต้นไม้เอง จุดโคมเองทุกอย่าง อีกสักกี่สิบปี ธรรมเนียมนี้จึงจะหมดไป" (จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ รหัสเอกสาร ก.ร.5ยธ/1)

"ไฟฟ้าหลวง" ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงโยธาธิการได้ประสบภาวะขาดทุนเป็นเวลานาน กิจการไม่เจริญก้าวหน้า ติดโคมไฟฟ้าได้น้อย ไฟฟ้าดับบ่อยมาก ซึ่งได้มีการส่งผู้ชำนาญการเรื่องไฟฟ้าเข้าไปตรวจสอบในด้านต่างๆ เพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป อีกทางหนึ่งก็ได้ให้มีการรีบจัดหาผู้เช่ากิจการไฟฟ้านี้

มีนาคม พ.ศ. 2439 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชกระแสต่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดา เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ จากกรณีที่ “ไฟฟ้าหลวง” เกิดสภาวะขาดทุนเป็นเวลานาน มีใจความตอนหนึ่งว่า “เรื่องนี้ที่ขาดทุนมาแต่ก่อน ควรที่เธอจะตรวจตราและคิดอ่านเสียช้านานมาแล้ว ซึ่งทอดทิ้งไว้ไม่คิดอ่านให้ตลอดจนต้องมีผู้อื่นมาร้อนรนแทนดังนี้ เป็นการทำราชการบกพร่องในหน้าที่ ให้ต้องเปลืองพระราชทรัพย์ เป็นความผิดของเธอซึ่งไม่มีทางจะแก้ว่าไม่ผิดได้ จึงขอติเตียนอย่างแรงในข้อที่ทำให้เงินของรัฐบาลต้องเสียไปโดยมิได้คิดอ่านการให้รอบคอบและละเลยไม่ว่ากล่าวพิททูลให้แก้ไข สืบไปเมื่อหน้าการอันใดในกระทรวงซึ่งเห็นว่าเป็นแต่เปลืองเงินเปล่าไม่ได้ประโยชน์คุ้ม ควรจะแก้ไขลดหย่อนหรือเปลี่ยนแปลงประการใดก็ต้องคิดจัดการโดยเร็วที่สุดอย่าให้เสียเวลา ถ้าจะจัดไม่ตลอดก็ควรจะพิททูลว่ากล่าวให้ตลอดไป การเรื่องไฟฟ้านี้ก็เห็นว่าเป็นอันขาดทุนเหลือเกินกว่าที่จะทนไปอย่างเดิมได้ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการใหม่ แต่เพื่อจะให้เป็นการพรักพร้อมกันทุกหน้าที่ จึงได้สั่งไปยังกระทรวงพระคลังมหาสมบัติให้พร้อมกับเธอและพระยาเทเวศร์ซึ่งจะเป็นเจ้าหน้าที่ใหม่ ปรึกษากันจัดการเรื่องไฟฟ้านี้เสียให้ทันใน ศก ๑๑๖ ถ้ามีที่จะจัดการได้ดีที่สุดอย่างไร” (จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ รหัสเอกสาร มร 5 น/93 น10/3)

3 เมษายน พ.ศ. 2440 มิสเตอร์ เบนเน็ต ได้ทำสัญญาเช่ากิจการไฟฟ้ากับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติใช้ชื่อว่าบริษัท ไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัดมีมิสเตอร์ เบนเน็ตเป็นผู้จัดการ อยู่ในรูปเอกชน การบริหารงานของบริษัทได้ทำการหยุดการจ่ายไฟฟ้าตามท้องถนนหลวงในคืนเดือนหงายเดือนละ 3 วัน คือวันขึ้น 14 ค่ำถึงแรม 1 ค่ำตามแบบอย่างในยุโรปและอเมริกา โดยใข้แสงสว่างจากดวงจันทร์แทน จะใช้ช่วงเวลานี้สำรวจซ่อมแซมระบบไฟฟ้าต่างๆ ให้เรียบร้อย และใช้ดวงไฟขนาดใหญ่ประเภท "อาร์คไลท์" ในบริเวณที่โล่งกว้าง เพราะสว่างมากกว่า เปลืองพลังงานน้อยกว่าดวงไฟขนาดเล็กที่ต้องใช้หลายดวง มิสเตอร์ เบนเน็ตได้รายงานว่าปริมาณที่บริษัทได้ทำไปแล้วเป็นเวลา 7 เดือนนั้นเท่ากับกระทรวงโยธาธิการได้ทำไป 3 ปี

กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้การกำกับดูแลด้านไฟฟ้าในส่วนของรัฐบาลเป็นหน้าที่ของกรมศุขาภิบาล กระทรวงนครบาล แทนกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

1 กรกฎาคม พ.ศ. 2441 บริษัท ไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัดได้ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าถือเป็นครั้งแรกในไทย สำหรับวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของสถานที่หรือหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ได้มีการเดินพาดสายไฟฟ้าออกจากโรงไฟฟ้าเป็นส่วนเฉพาะ แยกกันต่างหากกับส่วนที่จ่ายไฟฟ้าไปตามบ้านเรือน เป็นมิเตอร์ขนาดใหญ่ติดตั้งไว้ในห้องที่โรงไฟฟ้า ใส่แม่กุญแจ 2 ดอก รัฐบาลกับบริษัทแยกกันเก็บลูกกุญแจคนละชุดกัน โดยสามารถเห็นตัวเลขได้ชัดเจนจากภายนอกห้อง บริษัทจะต้องจดบันทึกเลขมิเตอร์และเวลาขณะเปิดและปิดไฟฟ้าแล้วส่งให้รัฐบาลก่อนเวลา 9.00 น. ของวันใหม่ทุกวัน

พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 มิสเตอร์ เบนเน็ต ผู้จัดการบริษัท ไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัดได้ทำข้อตกลงหรือสัญญาว่าจะขายสัมปทานกิจการไฟฟ้าให้แก่ชาวเดนมาร์ก ซึ่งต่อมาชาวเดนมาร์กนี้ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นที่กรุงโคเปนเฮเก็นประเทศเดนมาร์กใช้ชื่อว่าบริษัท สยามอิเล็กตริซิตี จำกัดมีมิสเตอร์ เวสเต็นโฮลช์เป็นผู้จัดการ ซึ่งต่อมาไม่นานมิสเตอร์เบนเน็ตก็ได้มีการขายสัมปทานนี้ไป

1 มกราคม พ.ศ. 2441 บริษัท สยามอิเล็กตริซิตี จำกัด (Siam Electricity Co.,Ltd) ได้ทำบันทึกข้อตกลงและข้อสัญญากับรัฐบาลไทย บริษัทนี้ถูกเรียกเป็นภาษาไทยอยู่อีกชื่อหนึ่งว่าบริษัท ไฟฟ้าสยาม จำกัด

9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 รัฐบาลได้ทำสัญญาฉบับใหม่กับบริษัทสยามอิเล็กตริซิตี จำกัดเป็นการยกเลิกสัญญาฉบับเก่า ซึ่งเป็นการควบรวมสัมปทานด้านไฟฟ้าและรถรางทั้งหมดให้อยู่เพียงสัญญาบริษัทเดียว ได้ปรับปรุงสัญญาให้เหมาะสมแก่การพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น เช่น อัตราค่าไฟฟ้าในส่วนงานราชการ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ไฟฟ้า ค่าการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าที่หม้อแปลงและสายไฟฟ้า ฯลฯ

พ.ศ. 2444 รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จประพาสประเทศสิงคโปร์ ทรงมีพระราชดำริจะต้องพระราชประสงค์ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการไฟฟ้าที่รัฐบาลของประเทศสิงคโปร์ได้ดำเนินการอยู่ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ส่งข้อมูลนั้นมาให้ผู้บัญชาการกรมศุขาภิบาลคิดเปรียบเทียบกับไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในกรุงเทพฯ ว่าจะถูกจะแพงกว่ากันอย่างไรบ้าง (จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ รหัสเอกสาร มร -5 รล/2 ร.ล1/36)

ปี พ.ศ. 2446 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริจะให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าสำหรับทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ คือบริเวณสวนดุสิต จนนำไปสู่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าสามเสนเพื่อจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่บริษัทปูนซีเมนต์ไทยจำกัด (บางซื่อ) โรงยาฝิ่น และการขยายตัวของบ้านเรือนด้วย

10 กรกฎาคม พ.ศ. 2446 รัชกาลที่ 5 ทรงพระบรมราชวินิจฉัยให้ผู้เข้าประมูลที่เป็นคนไทยได้ทำสัญญากับรัฐบาล ในการทำกิจการรถรางไฟฟ้าอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งได้ก่อตั้งเป็นชื่อบริษัท รถรางไทย ทุนจำกัด เพื่อไม่ให้บริษัท สยามอิเล็กตริซิตี จำกัดซึ่งเข้าร่วมประมูลได้ผูกขาดกิจการอันใหญ่โตในกรุงเทพฯ แต่เพียงบริษัทเดียว ซ้ำยังเป็นของชาวต่างชาติอีกด้วย

22 สิงหาคม พ.ศ. 2448 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาไปยังผู้บัญชาการกรมศุขาภิบาล ให้ไปจัดการว่ากล่าวกับบริษัท ไฟฟ้าสยาม จำกัดให้คิดป้องกันแก้ไขอย่าให้เถ้าแกลบจากปล่องควันโรงไฟฟ้าที่วัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) ปลิวตกในที่ทั้งปวงเป็นการเดือดร้อนแก่พระสงฆ์สามเณรและราษฎรเป็นอันมาก เมื่อบริษัทจะคิดแก้ไขด้วยประการใด ให้เอ็นจิเนียของกรมศุขาภิบาลเป็นผู้ตรวจจนเป็นที่พอใจว่าจะแก้ไขได้จริงถึงให้ลงมือทำ หรือมิฉะนั้นให้เอ็นจิเนียของกรมศุขาภิบาลเป็นผู้คิดให้บริษัททำตาม (จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ รหัสเอกสาร น 37/7)

1 ตุลาคม พ.ศ. 2448 รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำสิทธิ์กรรมและเปิดทางรถรางของบริษัท รถรางไทย ทุนจำกัด ณ โรงไฟฟ้าซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินที่เช่าจากวัดเทวราชกุญชร

10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448 มิสเตอร์แอฟโลตล์ซึ่งเป็นผู้แทนห้างบิกริมแอนโก้ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายโคมไฟแด่รัชกาลที่ 5 เพื่อจะได้ทรงทอดพระเนตร ทรงพระราชประสงค์ให้ทำการทดลองแขวนโคมนี้ในสวนที่ทรงใช้เป็นสถานที่เสวยพระกระยาหาร เป็นโคมไฟใช้หลอดอาร์คไลท์รุ่นใหม่ขนาด 160 วัตต์ ให้แสงสีนวล สว่างและประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น (จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ รหัสเอกสาร มร.5 ต/15)

ช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2450 โรงไฟฟ้าได้ประสบภาวะขาดฟืนทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ตามปกติ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการจ่ายไฟฟ้าโดยหยุดการจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับในเวลากลางวันตลอดทุกสาย (ยกเว้นไฟฟ้ากระแสตรงสำหรับรถราง) กำหนดจ่ายให้ส่วนราชการในช่วงเวลา 17.15 น. ถึง 23.30 น. ส่วนบุคคลทั่วไปจ่ายในช่วงเวลา 17.15 น. ถึงตีหนึ่งครึ่ง หากจ่ายน้อยกว่านี้โรงไฟฟ้าจะต้องเสียค่าปรับให้รัฐบาลวันละ 20 บาท

16 พฤษภาคม พ.ศ. 2452 กรมเจ้าท่าออกประกาศกฎเกณฑ์ให้ผู้ใช้เรือทราบ ว่าได้มีการวางสายไฟฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองสมเด็จและกรมไปรษณีย์ ห้ามไม่ให้ทอดสมอเรือชนิดใดๆ หรือเกาสมอเรือเป็นอันขาดจากสายไฟฟ้าในระยะ 100 หลา โดยมีป้ายวงกลมสีขาวขนาดใหญ่แจ้งบอกตำแหน่งแนวสายไฟฟ้าไว้ที่ชายฝั่งทั้งสองข้าง

17 เมษายน พ.ศ. 2453 พระยารัษฎานุประดิษฐ์ซึ่งมีอาการป่วยออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปประเทศสิงคโปร์เพื่อติดต่อกับหมอกาลโลเวให้เข้ามาถวายการรักษาพระอาการประชวรของรัชกาลที่ 5 ด้วยเครื่องไฟฟ้ารักษาโรค ซึ่งพระยารัษฎานุประดิษฐ์ได้ให้หมอกาลโลเวทำการรักษา รู้สึกสบายดีขึ้นมาก จึงให้หมอเป็นธุระจัดซื้อเครื่องจากยุโรป แต่ได้เปลี่ยนโดยการหาเครื่องรุ่นใหม่และดีกว่าในยุโรป

5 กรกฎาคม พ.ศ. 2453 พระยาวิสูตรโกษา อัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอนได้สั่งซื้อเครื่องไฟฟ้ารักษาโรคจากห้างชาลแอนสัน กำหนดส่งลงเรือ 7 สิงหาคม ได้ว่าจ้างผู้ชำนาญการด้านไฟฟ้าเดินทางมาติดตั้ง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการทรงคาดการณ์จะมาถึงต้นเดือนตุลาคม แต่ได้เกิดเหตุขัดข้องไม่มีเรือที่ผู้ชำนาญการจะเดินทางมาได้ ทำให้กำหนดถึงล่าช้าออกไปอีกประมาณ 2 เดือนคือวันที่ 1 ธันวาคม อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงมีพระดำริว่าหากเครื่องมาถึง จะให้พระยาทิพโกษาซึ่งเป็นโรคเหน็บชาและพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองซึ่งป่วยเป็นโรคปาราไลซ์ที่แก้มได้ใช้ทดลองรักษาดู ก่อนที่จะถวายการรักษารัชกาลที่ 5

23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จสวรรคต ก่อนที่เครื่องไฟฟ้ารักษาโรคจะมาถึงประเทศไทย

ไฟฟ้าแสงสว่างไม่ได้ติดตั้งในประเทศไทยครั้งแรกในวันที่ 20 กันยนยน 2427

ไม่พบหลักฐานว่ารัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชกระแสรับสั่งอยู่เสมอว่า "ไฟฟ้าหลังคาตัดข้าไม่เชื่อ"

ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6576.60
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่