[กระทู้ฟุตบอลโลก & ฟุตบอลยูโร] รำลึกถึงจากบอลโลก 1982 ถึงยูโร 2016 : 18 ทัวร์นาเมนต์ในความทรงจำ (มี clip)

ผมขอทบทวนบอลโลกและบอลยูโรฯ ที่ผมเคยดูทันมากัน

1. บอลโลก 1982 ที่สเปน :

เกิด surprise ใหญ่ขึ้น เมื่ออิตาลี ที่รอบแรกเสมอทั้ง 3 นัด เข้ารอบที่ 2 ไปเจอเต็งแชมป์อย่างบราซิลที่นำโดย ซิโก้, โซคราติส และฟัลเกา  เปาโล รอสซี่ของอิตาลีที่หลุดข้อหาล้มบอลมาท็อปฟอร์มในนัดนี้พอดี เขายิงให้อิตาลีนำไปก่อน แม้โซเครติซจะตีเสมอได้ แต่รอสซี่ก็ยิงพาอิตาลีนำ 2-1 บราซิลในยุคที่ทุกคนเชื่อว่า "เกมบุกคือเกมรุกที่ดีที่สุด" และการที่ฟัลเกายิงตีเสมอได้ ก็ดูเหมือนจะทำให้คนทั้งโลกมั่นใจในนิยามนี้ แต่การป้องกันเตะมุมที่หล่ะหลวม ทำให้รอสซี่ทำแฮทริคได้ และอิตาลีก็เข้ารอบไปแบบช็อคโลก

รอบชิง เยอรมันมาพบอิตาลีตามนัด แต่ตอนนั้น ไม่มีใครหยุดอิตาลีได้อีกแล้ว อิตาลียิงเอาชนะเยอรมันไปได้ด้วยสกอร์ 3-1

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

2. ยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส :

ไม่มี surprise ใดๆ เมื่อ ฝรั่งเศสเจ้าภาพที่มีทหารเสือระดับโลก 4 คน (The magic square) มีมิเชล พลาตินี่เป็นเพลย์เมคเกอร์ และมีฌ็อง ตีกานา, อาแล็ง ฌีแร็ส และลูยส์ แฟร์น็องแดซ เป็นกองกลาง classic 3 คน  นำทีมฝรั่งเศสชนะทุกนัด ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มกับเดนมาร์ก (ชนะ 1-0) กับเบลเยี่ยม (ชนะ 5-0) กับยูโกสโลวาเกีย (3-2) ไปเข้าชิงกับสเปน ซึ่งพลาตินี่ก็ยิง 2 ประตูวให้ฝรั่งเศสชนะ 2-0 ทำให้เจ้าภาพเป็นแชมป์ตามความคาดหมาย และนำเป็นดาวยิงสูงสุดของยูโรที่ 9 ประตูมาจนถึงปัจจุบัน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

3. บอลโลก 1986 ที่แม็กซิโก้ :

ต้องขอบคุณ “บิ๊กจิ๋ว” เมื่อมีคำสั่งกระทันหันให้ถ่ายทอดบอลโลกตั้งแต่รอบ quarter final นัดแรก แมทช์หยุดโลกระหว่างบราซิลและฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสที่นำโดยพลาตินี่ได้พบกับบราซิลที่นำโดย ซิโก้ หรือ เปเล่ขาว เป็นแมทช์คลาสิกที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยเทคนิคที่สุดยอด ในที่สุดหลังต่อเวลาแล้วยังเสมอ 1-1 ต้องยิงลุกโทษ โซคราติส กับ พลาตินี่นักเตะคนสำคัญของทั้งสองทีมยิงพลาด ฝรั่งเศสเอาชนะจุดโทษไปได้ 4-3

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
รอบ semi-final เยอรมันอาศัยความแข็งแกร่งและแน่นอนเอาชนะฝรั่งเศสไป 2-0 เข้าไปพบกับเต็งหนึ่งอย่างอาร์เจนติน่าที่นำโดยดีเอโก้ มาราโดน่า ที่รอบข้างของเขามียอดนักเตะเช่น นายทวารบุมปิโก้, เซอร์จิโอ้ บาติต้า, และจอร์เก้ เบอร์รูชาก้า

ส่วนอีกสายหนึ่ง ในรอบ quarter-final อาร์เจนติน่าพบกับอังกฤษ เกิด “Hand of God” ที่มาราโดน่ากระโดดใช้มือปัดลูกบอลกลางอากาศข้ามมือปีเตอร์ ชิลตันนำอังกฤษไปก่อน 1-0 โดยกรรมการ “มองไม่เห็นว่ามีแฮนด์บอล”  แต่ไม่นาน มาราโดน่าได้ทำ “ประตูแห่งทศวรรษ” (ตามนิยามของฟีฟ่า) เมื่อมาราโดน่าลากเลื้อยจากกลางสนามผ่านนักเตะอังกฤษ 5 คน เข้าไปยิงผ่านมือชิลตันได้อย่างปราศจากข้อสงสัย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
จากนั้น ในรอบ semi-finals อาร์เจนติน่า เอาชนะเบลเยี่ยมที่นำทัพโดยเอ็นโซ่ ฟีโฟ่ไปได้ด้วยสกอร์ 2-0

อาร์เจนติน่าเข้าพบกับเยอรมันตะวันตกในรอบชิงตามนัด เยอรมันที่ never say die ตามตีเสมอ 2-2 จากคาลร์ลไฮซ์ รุมเมนิเก้ และ รูดี้ โหลเลอร์ แต่ตอนนั้น ทีมเน้นบุกมากไป ทำให้มาราโดน่าฉวยโอกาสจ่ายบอลยาวให้เบอร์รูชาก้ายิงดับฝันเยอรมันไป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

4. ฟุตบอลยูโร 1988 ที่เยอรมัน :

เนเธอร์แลนด์ (หรือที่พวกเราเรียกว่าฮอลแลนด์), อังกฤษ, ไอร์แลนด์ และรัสเซียอยู่ร่วมกลุ่ม B โดยนัดแรก อังกฤษแพ้ไอร์แลนด์ 0-1  เนเธอร์แลนด์ก็แพ้รัสเซีย (ยังเป็นสหภาพโซเวียตอยู่) ไป 0-1 เช่นกัน

แมทช์ที่อังกฤษพบเนเธอร์แลนด์จึงต้องการเอาชนะทั้งคู่  อังกฤษที่ขาดยอดกองหลังอย่างเทอร์รี่ บุสเชอร์ (โทนี่ อดัมน์ที่เป็นดาวรุ่งในสมัยนั้นลงเล่นแทน)  มาร์โก แวน บาสเท่นช่วยห้เนเธอร์แลนด์เอาชนะไปได้ 3-1

เนเธอร์แลนด์พบเยอรมันตะวันตกเจ้าภาพใรอบ semi-final เยอรมันนำไปก่อนจากจุดโทษของโลธาร์ มัทเธอุส  โรนัล คูมันน์ยิงตีเสมอไปได้ ทำให้ต้องต่อเวลา และแวน บาสเท่นยิงประตูชัย 2-1

เนเธอร์แลนด์ไปล้างแค้นสหภาพสหภาพโซเวียดได้ 2-0 ในรอบชิง จากการยิงของกัปตันทีมรุดด์ กุลลิท และดาวยิงของทัวร์นาเมนต์อย่างแวน บาสเท่น ด้วยประตูฮาล์ฟวอลเล่ยที่เป็นหนึ่งประตูที่สวยงามที่สุดของยูโรฯ ตลอดกาล เป็นการแจ้งเกิด 3 ทหารเสือชาวดัทช์อย่าง แวน บาสเท่น, กุลลิท และแฟร้งค์ ไรจ์การ์ด รวมทั้งนำ total football ให้โลกรู้จัก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

5. ฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี :

เยอรมันที่นำโดยโลธาร์ มัทเธอุส, เบรห์เม่ และคลิ้นส์มันน์ โชว์ฟอร์มแกร่งตั้งแต่นัดแรก เอาชนะยูโก สโลวาเกียไปถึง 4-1 เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในขณะที่อิตาลีเจ้าภาพก็โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม แมทช์แรกเอาชนะออสเตรียไปได้ 1-0 จากตัวสำรองอย่างซาวาโตเร่ สคิลลารี่ และแล้วโลกได้รู้จักยอดดาวรุ่งอย่างโรแบร์โต้ บัจโจ้ใน (ที่เดิมมักเป็นตัวสำรองของจิอันลูก้า วิอัลลี่) นัดสุดท้ายของนัดแรกด้วยประตูที่สวยงามที่สุดของทัวร์นาเมนต์ประตูที่ 2 ที่ยิงสสาธารณรัฐเช็ค

เยอรมันและอิตาลีที่เอาชนะรวดในรอบแบ่งกลุ่มน่าจะได้ไปพบกันในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อสคิลลารี่ยิงนำอาร์เจนติน่าไปก่อนในรอบ semi-final แต่มาราโดน่าจ่ายบอลไปทางซ้ายให้เพื่อนโยนต่อให้คานิเกียโหม่งทำประตูตีเสมอได้ทำให้ต้องต่อเวลา อาร์เจนติน่าชนะจุดโทษไป 4-3 (1-1 ในเวลา)
โดยก่อนหน้านั้นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย มาราโดน่าจ่ายให้คานิเกียยิงประตูชัยเหนือบราซิล เป็นการ assist ในความทรงจำอีกช็อตหนึ่งของมาราโดน่า

เยอรมันที่ชนะอังกฤษไปได้จากจุดโทษเช่นกัน เข้าไปพบอาร์เจนติน่า  ในเกมนัดชิงชนะเลิศบอลโลกที่น่าเบื่อที่สุดในประวัติศาสตร์  เปรโด มอนซ่าของอาร์เจนติน่า โดนใบแดงเป็นคนแรกในรอบชิงบอลโลก ครึ่งหลังเยอรมันได้ลูกโทษ อันเดรียส เบร่ห์เม่ แบ็คซ้ายยิงเข้าไม่พลาด โดยสุดท้ายอาร์เจนติน่าเหลือ 9 คน โดยกัสตูโว่ ดิซอฟติโดนใบแดงไล่ออกไป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

6. ฟุตบอลยูโร 1992 ที่สวีเดน

นักเตะเดนมาร์คที่กำลังพักผ่อนได้เข้ารอบสุดท้ายมาแทนยูโกสโลวาเกียที่โดนยูฟ่าแบนเนื่องจากภาวะสงคราม เดนมาร์กเข้ามารอบ semi-final จากการเป็นที่ 2 รองจากสวีเดนในกลุ่มเดียวกัน ไปพบกับเนเธอร์แลนด์ในรอบ semi-final เทพนิยายเดนส์เริ่มในรอบนี้เมือ ปีเตอร์ ชไมเติ่ล ที่ยังเป็น no name อยู่เลย เซฟลูกจุดโทษของแวน บาสเท่นหลังเสมอกัน 2-2 หลังการต่อเวลา และเอาชนะไปได้ 5-4 (2-2) และช็อคโลกอีกครั้งเมื่อเอาชนะเยอรมันไปได้ 2-0 ในรอบชิง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ถ้าจะบอกทัวร์นาเมนต์ที่ surprise ที่สุดก็เป็นทัวร์นาเมนต์นี้แหล่ะ เพราะเป็นเดนมาร์กมาเป็นตัวแทนยูโกสโลวาเกียที่มีเวลาเตรียมตัวไม่กี่สัปดาห์


7. ฟุตบอลโลก 1994 ที่อเมริกา

สหรัฐอเมริกาได้เป็นเจ้าภาพ ทำสถิติมีผู้ชมเฉลี่ยต่อสนาม 69,000 คน ซึ่งยังคงเป็นจำนวนผู้ชมสูงสุดอยู่จนถึงทุกวันนี้

บราซิลที่นำโดยนายทวารทาฟฟาเรล, คาฟู และเบเบโต้ ที่ชนะ 2 เสมอ 1 ในรอบแบ่งกลุ่ม (นัดสุดท้ายเสมอสวีเดน 1-1 ในเกมที่บราซิลได้เป็นแชมป์กลุ่มแล้ว) และชนะรวดกับสหรัฐ (1-0), เนเธอร์แลนด์ (3-2), สวีเดน (1-0) ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย, ชนะสหรัฐ (1-0) quarter-final ชนะเนเธอร์แลนด์ 3-2, รอบ semi-final ชนะสวีเดน (1-0) เข้าไปพบอิตาลีในรอบชิง
หมายเหตุ : แมทช์บราซิลชนะเนเธอร์แลนด์ เบเบโต้เมื่อทำสกอร์ได้ก็ทำท่าอุ้มลูกที่เพิ่งเกิดฉลอง เป็น 1 ในท่าดีใจระดับตำนานของฟุตบอลโลก

อิตาลี ที่นำโดยบักโจ้, มัลดินี่และบาเรซี่ในรอบแบ่งกลุ่มทำได้ไม่ดีนัก ชนะ 1, เสมอ 1, แพ้ 1 ได้เข้ารอบ knock-out ด้วยการเป็นอันดับ 3 ที่คะแนนดีที่สุด  ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อิตาลีชนะไนจีเรีย 2-1 รอบ quarter-final ชนะสเปน 2-1 รอบ semi-final ชนะบัลแกเรีย 2-1 เข้าชิงด้วยสถิติสวยหรูในรอบ knock-out

ในรอบชิงชนะเลิศ  อิตาลีและบราซิลเสมอกันไปในรอบต่อเวลาพิเศษ 0-0 ทำให้เป็นครั้งแรกที่บอลโลกตัดสินกันด้วยจุดโทษ และบราซิลเป็นฝ่ายได้แชมป์ไปเมื่อบัจโจ้ยิงจุดโทษคนสุดท้ายข้ามคานด้วยสกอร์ 3-2

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

8. ฟุตบอลยูโร 1996 ที่อังกฤษ

เป็นครั้งแรกที่รอบสุดท้ายมี 16 ทีม  เยอรมันที่รวมชาติกัน (เยอรมันตะวันตกกับเยอรมันตะวันออก รวมตัวกันเป็นเยอรมัน)  ในรอบแบ่งกลุ่ม เอาชนะสาธารณรัฐเช็ค 2-0,ชนะรัสเซียไป 3-0 ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม อิตาลีต้องเอาชนะเยอรมันให้ได้เพื่อเข้ารอบ แต่ทำได้ดีที่สุดคือเสมอ

สาธารณรัญเช็คเอาชนะโปรตุเกสไปได้ 1-0, ชนะฝรั่งเศสจากจุดโทษหลังต่อเวลาแล้วเสมอกัน 0-0 ด้วยสกอร์ 6-5 ในรอบ quarter-final และ semi-final ตามลำดับ เข้าไปรอล้างแค้นและชิงแชมป์กับเยอรมัน

เยอรมันที่เอาชนะโครเอเชียได้ 2-1 และชนะอังกฤษในรอบ semi-final จากจุดโทษหลังต่อเวลาเสมอกันไป 1-1 (6-5)

เยอรมันได้เป็นแชมป์จาก goldern gold ในช่วงต่อเวลาพิเศษเป็นครั้งแรกในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ โอลิเวอร์ เบียร์ฮอฟเป็นตัวสำรองที่ถูกส่งลงมายิงประตูตีเสมอ 1-1 และทำ golden goal ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้เยอรมันสามารถเอาชนะสาธารณะรัฐเช็ค 2-1 ครองแชมป์ไป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

หมายเหตุ : golden gold เป็นกติกาที่กีฬาฮ็อคกี้ใช้กันอย่างแพร่หลายมาก่อน  ฟีฟ่าและยูฟ่าใช้กันในช่วงปี 1992-2002 โดยถ้าเสมอกันแล้วต่อเวลาพิเศษ ทีมใดที่ยิงก่อนจะถือว่าชนะเลย  โดยเป็นการพยายามหาวิธีมาแทนการดวลจุดโทษ  แต่ก็ต้องเลิกใช้หลังใช้ราว 10 ปี เพราะความโหดร้ายที่ทำให้ทีมที่ตามไม่โอกาสจะแก้ตัว


9. ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสชุดที่แข็งแกร่งที่สุดชุดหนึ่ง นำโดยมาร์แซล เดอไซยี่, เอ็มมานูเอล เปอร์ตีย์ และ ซีนาดีน ซีดาน เอาชนะรวดในรอบแบ่งกลุ่ม  และยังชนะรวดในช่วง knock-out โดยชนะปารากัย 1-0, ชนะอิตาลีด้วยจุดโทษหลังต่อเวลายังเสมอ 0-0 ชนะโครเอเชีย 2-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย, quarter-final และ semi-fianl ตามลำดับเข้าไปชิงชนะเลิศ

ส่วนบราซิลที่ที่นำโดยดุงก้า, ริวัลโด้ และ โรนัลโด้ ชนะ 2 แพ้ 1 ในรอบแบ่งกลุ่ม โดยแพ้นอร์เวย์ 0-1 เพราะจัดตัวสำรองลงเพราะได้เป็นแชมป์กลุ่มแน่นอนแล้ว  ในช่วง knock-out ชนะชิลี 4-1, ชนะเดนมาร์ก 3-2, ชนะเนเธอร์แลนด์จากลูกจุดโทษหลังเสมอกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย, quarter-final และ semi-final ตามลำดับ

ก่อนเตะในรอบชิงชนะเลิศ โรนัลโด้ถูกตัดชื่อออกจาก team sheet ที่จะเล่นกับฝรั่งเศส แต่ก่อนเริ่มแข่งไม่นานกลับมีชื่อเป็นตัวจริงก่อนเริ่มเกมไม่กี่นาที (มีข่าวว่าเขาต้องไปโรงพยาบาลด้วย) ทำให้เป็นปริศนาถึงทุกวันนี้ว่า ความจริงแล้วโรนัลโด้มีอาการลมบ้าหมูตามข่าวจริงหรือไม่ ?

โดยฝรั่งเศสเอาชนะไปได้ 3-0 จากซีดาน 2 ลูกและเปอร์ตีย์อีก 1 ลูกช่วงต่อเวลา

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

10. ฟุตบอลยูโร 2000 ที่เบลเยี่ยม & เนเธอร์แลนด์

เริ่มด้วย surprise เล็กๆ เมื่อโปรตุเกสชนะ 3 นัดรวดในรอบแบ่งกลุ่ม เอาชนะเยอรมัน, โรมาเนีย และอังกฤษไปได้ แต่พวกเขาก็ไปพ่ายฝรั่งเศสในรอบ semi-final 2-1

ฝรั่งเศสที่ยังคงแข็งแกร่งจากชุดเมื่อ 2 ปีก่อน โดยมีการเปลี่ยนแปลง 11 คนแรกจาก 2 ปีก่อน 2 คน คือ เทียร์รี่ อองรีและวิเอร่ามาเพิ่มเข้ามาเป็นกำลังสำคัญ (ส่วนใหญ่เชื่อว่า ฝรั่งเศสชุดนี้แข็งแกร่งกว่าชุดบอลโลกเมื่อ 2 ปีก่อนเสียอีก) พบกับอิตาลีที่นำโดยมัลดินี่, คันนาวาโร่ และฟรานเชสโก้ ตอตติ ในรอบชิงชนะเลิศ

โดยซิลแวงค์ วิลตอร์ยิงตีเสมออิตาลี 1-1 ในช่วงทดเวลา และ เดวิด เทรเซเก้ ยิง goldern gold ในรอบต่อเวลาพิเศษ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่