คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
การวางแผนรถไฟฟ้า ใช้แนวคิด และหลักการ และวิธีการ ถอดแบบสากลมาเลยครับ
แนวคิดการออกแบบรถไฟฟ้าของ กทม. (และเมืองอื่นๆ) เปรียบเมืองเป็นวงกลม (กทม. เราตีความว่าวงแหวนรัชดาภิเษก คือ กทม. ชั้นในครับ) จะมีการพัฒนา 3 ลักษณะ คือ
1. การพัฒนาเส้นทางตามแนวรัศมีของวงกลม เพื่อนำคนจากชานเมือง เข้าสู่ใจกลางเมือง ให้เร็วที่สุดครับ สำหรับ กทม. เราก็คือ สายสีเขียว (BTS) สายสีม่วง สายสีส้ม และสายสีแดง ครับ
2. การพัฒนาแบบเส้นรอบรูป อันนี้ เอาไว้กระจายการเดินทางภายในเมืองให้ทั่วถึง ครับ (ไม่จำเป็นต้องกลมดิ๊ก หรือครบรอบ แต่มีลักษณะเป็นการกระจายการเดินทางในเมืองชั้นใน) แบบรถไฟใต้ดิน และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เป็นต้น
3. การพัฒนาแบบสายส่งผู้โดยสาร (Feeder) หรือ แบบนอกเมืองไปนอกเมือง อันนี้ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งผู้โดยสารเข้าระบบหลัก และกระจายระบบขนส่งมวลชนรองรับพื้นที่ให้มากที่สุดครับ โดยมากจะมีขนาดเล็กหรือย่อมลงหน่อย (เพราะผู้โดยสารจะน้อยกว่า) ลักษณะนี้ ก็เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีชมพู เป็นต้น
ทีนั้ เมื่อได้หลักการข้างต้นแล้ว จะเลือกอย่างไรว่า จะเอารัศมีเส้นไหน อย่างไร? เขาก็มีวิธีคิดครับ แต่โดยสามัญสำนึก เราชอบคิดว่าถนนไหนรถติดก็สร้างเข้าไปสิ รถจะได้หายติด ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไปครับ เรามาดูวิธีที่เขาคิดกันครับ โดยเริ่มจากทางทฤษฎีก่อน
1. การพยากรณ์และวางแผนการขนส่งในเมือง ส่วนใหญ่ในโลกนิยมใช้วิธีการที่เรียกว่า 4 Steps Planning Process
ซึ่งมีวิธีคิดคำนวณ (เฉพาะหลักการนะครับ เดี๋ยวยาวเกิน) อย่างนี้ครับ
1.1 Trip Generation หรือการเกิดขอ Trip ซึ่งเป็นการคำนวณว่าพื้นที่ไหน มีการเกิดของการเดินทางมากน้อยแค่ไหน
1.2 Trip Distribution ก็เป็นการคำนวณว่าการเดินทางที่จะเกิดขึ้นนั้น จะมีต้นทางปลายทางอย่างไร
ตอนนี้ เราก็รู้และว่ามีการเดินทางจากไหนไปไหนมากที่สุด เราก็วางแผนออกแบบได้แล้ว ว่าควรจะวางโครงสร้างรถไฟฟ้าจากไหนไปไหนดี ตามหลักการข้างต้น ตามวัตถุประสงค์ของรถไฟฟ้าแต่ละประเภท
1.3 Modal Split หรือ Mode choice ขั้นตอนนี้แหละครับ ที่จะได้ผลออกมาว่า เมื่อมีรถไฟฟ้าแล้ว คนจะเลือกเดินทาง ด้วยรถไฟฟ้าเป็นจำนวนเท่าไหร่
1.4 Network Assignment อันนี้ ก็เอามาลงรายละเอียด ว่าในแต่ละรูปแบบการเดินทาง คนจะเลือกเดินทางทางไหนบ้าง (สำหรับข้อนี้ เน้นที่กรณีถนน)
นี่คือหลักการทางทฤษฎี ซึ่งได้ต้นทางปลายทาง คร่าวๆ ทีนี้ ก็เป็นขั้นตอนการออกแบบจริงที่ต้องลงพื้นที่สำรวจ ซี่งมีองค์ประกอบและข้อจำกัดอีกมากมาย เช่น ข้อจำกัดทางกายภาพตามธรรมชาติ (แม่น้ำลำคลอง) ข้อจำกัดด้านพื้นที่ เช่น ชุมชน โบราณสถาน วัด โบสถ์ ด้านสิ่งแวดล้อม การต่อต้านจากพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งโดยหลักการแล้ว ก็พยายามให้มีการเวนคืน หรือข้อจำกัดอื่นๆ ให้น้อยที่สุด จึงมักจะลงเอยตามแนวถนนใหญ่ๆ (เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะ และฐานลูกค้าอยู่แล้ว)
คร่าวๆ ก็ประมาณนี้นะครับ
เพิ่มเติมเรื่องลำดับความสำคัญครับ
หลักการ ก็แนวรัศมี กับ แนวเส้นรอบรูปในเมือง จะมีความสำคัญสูงครับ ต้องทำไปพร้อมๆ กัน ส่วนรัศมีเส้นไหนก่อน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณผู้โดยสาร (รัฐอยากให้เกิดผลดีมาก ก็ต้องเลือกเส้นทางที่มีคนเยอะก่อน) หรือ ความพร้อมด้านพื้นที่ (เช่น เคลียร์พื้นที่ได้เร็ว หรือพื้นที่ของหน่วยงานเอง) เป็นต้น
แนวคิดการออกแบบรถไฟฟ้าของ กทม. (และเมืองอื่นๆ) เปรียบเมืองเป็นวงกลม (กทม. เราตีความว่าวงแหวนรัชดาภิเษก คือ กทม. ชั้นในครับ) จะมีการพัฒนา 3 ลักษณะ คือ
1. การพัฒนาเส้นทางตามแนวรัศมีของวงกลม เพื่อนำคนจากชานเมือง เข้าสู่ใจกลางเมือง ให้เร็วที่สุดครับ สำหรับ กทม. เราก็คือ สายสีเขียว (BTS) สายสีม่วง สายสีส้ม และสายสีแดง ครับ
2. การพัฒนาแบบเส้นรอบรูป อันนี้ เอาไว้กระจายการเดินทางภายในเมืองให้ทั่วถึง ครับ (ไม่จำเป็นต้องกลมดิ๊ก หรือครบรอบ แต่มีลักษณะเป็นการกระจายการเดินทางในเมืองชั้นใน) แบบรถไฟใต้ดิน และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เป็นต้น
3. การพัฒนาแบบสายส่งผู้โดยสาร (Feeder) หรือ แบบนอกเมืองไปนอกเมือง อันนี้ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งผู้โดยสารเข้าระบบหลัก และกระจายระบบขนส่งมวลชนรองรับพื้นที่ให้มากที่สุดครับ โดยมากจะมีขนาดเล็กหรือย่อมลงหน่อย (เพราะผู้โดยสารจะน้อยกว่า) ลักษณะนี้ ก็เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีชมพู เป็นต้น
ทีนั้ เมื่อได้หลักการข้างต้นแล้ว จะเลือกอย่างไรว่า จะเอารัศมีเส้นไหน อย่างไร? เขาก็มีวิธีคิดครับ แต่โดยสามัญสำนึก เราชอบคิดว่าถนนไหนรถติดก็สร้างเข้าไปสิ รถจะได้หายติด ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไปครับ เรามาดูวิธีที่เขาคิดกันครับ โดยเริ่มจากทางทฤษฎีก่อน
1. การพยากรณ์และวางแผนการขนส่งในเมือง ส่วนใหญ่ในโลกนิยมใช้วิธีการที่เรียกว่า 4 Steps Planning Process
ซึ่งมีวิธีคิดคำนวณ (เฉพาะหลักการนะครับ เดี๋ยวยาวเกิน) อย่างนี้ครับ
1.1 Trip Generation หรือการเกิดขอ Trip ซึ่งเป็นการคำนวณว่าพื้นที่ไหน มีการเกิดของการเดินทางมากน้อยแค่ไหน
1.2 Trip Distribution ก็เป็นการคำนวณว่าการเดินทางที่จะเกิดขึ้นนั้น จะมีต้นทางปลายทางอย่างไร
ตอนนี้ เราก็รู้และว่ามีการเดินทางจากไหนไปไหนมากที่สุด เราก็วางแผนออกแบบได้แล้ว ว่าควรจะวางโครงสร้างรถไฟฟ้าจากไหนไปไหนดี ตามหลักการข้างต้น ตามวัตถุประสงค์ของรถไฟฟ้าแต่ละประเภท
1.3 Modal Split หรือ Mode choice ขั้นตอนนี้แหละครับ ที่จะได้ผลออกมาว่า เมื่อมีรถไฟฟ้าแล้ว คนจะเลือกเดินทาง ด้วยรถไฟฟ้าเป็นจำนวนเท่าไหร่
1.4 Network Assignment อันนี้ ก็เอามาลงรายละเอียด ว่าในแต่ละรูปแบบการเดินทาง คนจะเลือกเดินทางทางไหนบ้าง (สำหรับข้อนี้ เน้นที่กรณีถนน)
นี่คือหลักการทางทฤษฎี ซึ่งได้ต้นทางปลายทาง คร่าวๆ ทีนี้ ก็เป็นขั้นตอนการออกแบบจริงที่ต้องลงพื้นที่สำรวจ ซี่งมีองค์ประกอบและข้อจำกัดอีกมากมาย เช่น ข้อจำกัดทางกายภาพตามธรรมชาติ (แม่น้ำลำคลอง) ข้อจำกัดด้านพื้นที่ เช่น ชุมชน โบราณสถาน วัด โบสถ์ ด้านสิ่งแวดล้อม การต่อต้านจากพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งโดยหลักการแล้ว ก็พยายามให้มีการเวนคืน หรือข้อจำกัดอื่นๆ ให้น้อยที่สุด จึงมักจะลงเอยตามแนวถนนใหญ่ๆ (เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะ และฐานลูกค้าอยู่แล้ว)
คร่าวๆ ก็ประมาณนี้นะครับ
เพิ่มเติมเรื่องลำดับความสำคัญครับ
หลักการ ก็แนวรัศมี กับ แนวเส้นรอบรูปในเมือง จะมีความสำคัญสูงครับ ต้องทำไปพร้อมๆ กัน ส่วนรัศมีเส้นไหนก่อน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณผู้โดยสาร (รัฐอยากให้เกิดผลดีมาก ก็ต้องเลือกเส้นทางที่มีคนเยอะก่อน) หรือ ความพร้อมด้านพื้นที่ (เช่น เคลียร์พื้นที่ได้เร็ว หรือพื้นที่ของหน่วยงานเอง) เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
การสร้างรถไฟฟ้า เอาอะไรมาตัดสินว่าจะสร้างเส้นทางไหน