สรุปภาพเศรษฐกิจโลกและไทยหลัง BREXIT กับโอกาสลงทุน

ผมได้รับเชิญร่วมงาน Krungsri Economic Midyear Outlook 2016 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจัดโดย Krungsri Exclusive ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ มีคนสนใจเข้าร่วมฟังกันแน่นห้องแกรนด์บอลรูมเลยทีเดียว เป็นโอกาสดีที่ได้อัพเดททิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนจากเหล่ากูรูทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ J.P. Morgan ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธ.กรุงศรี เลยอยากมาสรุปประเด็นสำคัญให้รู้กันไว้นะครับ

== มุมมองเศรษฐกิจโลกจากคุณ Tai Hui J.P. Morgan ==
> สหรัฐอเมริกา : เศรษฐกิจไม่ได้ดูแย่กว่าที่คิด โดยปีนี้น่าจะเติบโต 2% และปีหน้า 1.5% ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ออกมาส่งสัญญาณพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ดูสถานการณ์แล้วไม่น่าใช่ปีนี้
> ญี่ปุ่นและยุโรป : ออกมาตรการอัดฉีดเงิน (พิมพ์เงิน, QE) เข้าสู่ระบบปริมาณมหาศาล เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ พร้อมประกาศใช้ดอกเบี้ยติดลบ ไล่เงินออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยไปสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกันอย่างหนักหน่วง
> จีน : เศรษฐกิจชะลอความร้อนแรงลง แต่ไม่น่าจะเกิดปัญหาถึงขั้นที่เรียกว่า Hard Landing ในอีก 2 ปีข้างหน้านับจากนี้ไป
> BREXIT : สถานการณ์ยังอยู่ในวงจำกัดในกลุ่มประเทศอังกฤษ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยน้อย อาจมีผลกระทบมากหน่อยกับประเทศค้าขายกับอังกฤษเยอะ
> ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ : แข็งค่าขึ้นมา 4 ปีกำลังมาถึงจุดสูงแต่ไม่รู้แน่ชัดว่าเมื่อไร เพราะ FED ออกมาส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
> ราคาน้ำมัน : ผ่านจุดต่ำสุดแล้วหลังจากที่เคยร่วงไปถึงราว 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ก็ไม่สามารถกลับขึ้นไปเหนือ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่าง OPEC ยังคงปริมาณการผลิตทั้งๆที่น้ำมันล้นตลาดเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด ราคาจึงน่าจะอยู่ราว 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
> กลยุทธ์การลงทุน : ท่ามกลางความผันผวนขนาดนี้ไม่มีสินทรัพย์ไหนให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดตลอดเวลา ดังนั้นควรกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อลดความผันผวน โดยเน้นการลงทุนตราสารหนี้ที่จ่ายผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอนไม่ว่าจะพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือ หรือลงทุนในหุ้นปันผลสม่ำเสมออย่าดูแต่กำไรจากส่วนต่างราคา

== มุมมองเศรษฐกิจไทยจาก ดร. รุ่ง มัลลิกะมาส ธนาคารแห่งประเทศไทย ==
> เศรษฐกิจไทย : 5 เดือนแรกถือว่าดีพอใช้ แต่ยังคงเปราะบางต่อการรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อน ส่วนภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกเป็นตัวฉุด ธุรกิจที่เติบโตดีก็คือโทรคมนาคมและพลังงานทดแทน ตามเทรนด์สมัยใหม่ ธุรกิจที่ชะลอตัวก็คืออสังหาริมทรัพย์ จากปัญหาคอนโดล้นตลาด (Oversupply) แต่ถือว่าดีแตะเบรกบ้าง ทำให้คาดการณ์ GDP ไว้ที่ 3.1% สำหรับปีนี้ และ 3.2% สำหรับปีหน้า ยังไม่มีปัจจัยอะไรทำให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่วนเงินเฟ้อ 0.6% สำหรับปีนี้ และ 2.2% สำหรับปีหน้า
> ภาคอุตสาหกรรม : แรงงานมีจำนวนชั่วโมงการทำงานน้อยลง เพราะกำลังการผลิตยังใช้ไม่เต็มที่ปัจจุบันอยู่ราว 60%-65% เท่านั้น
> ภาคส่งออก : คู่ค้าที่สำคัญอย่างจีนมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจลดการนำเข้าหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศ และปัญหาภายในประเทศไทยที่เปลี่ยนโครงสร้างการผลิตช้า อย่างสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของเราโตน้อย เพราะยังผลิตสินค้าในกลุ่มไม่ค่อยได้รับความนิยม ทำให้คาดการณ์การส่งออกไว้ที่ -2.5% สำหรับปีนี้ และ 0% สำหรับปีหน้า
> เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ : โดยรวมดีเพราะ หนี้สาธารณะไม่สูง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมั่นคง การว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ภาคครัวเรือนระมัดระวังการบริโภคโดยการลดรายจ่ายฟุ่มเฟือย
> สิ่งที่จับตามอง : อัตราผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และภาวะอสังหาริมทรัพย์ล้นตลาด

== มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนจาก ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ ธ.กรุงศรี และ คุณ ศิริพร สินาเจริญ บลจ.กรุงศรี ==
> เศรษฐกิจไทย : ภาคบริการเติบโตดีมีนักท่องเที่ยวมาไทยปีละ 14 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อวันสูงที่สุดราว 6,000 บาท ภาคการผลิตดีในกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเลียม ภาครัฐทำได้ดีเร่งคลอดโครงการใหม่ๆออกมาโดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ภาคส่งออกไม่ดีเกิดจากเศรษฐกิจคู่ค้าหลักชะลอตัวและต้องการบริโภคภายในประเทศลดการพึ่งพิงการนำเข้า
> BREXIT : ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้าน ด้านแรกการเคลื่อนย้ายเงินทุนซึ่งไม่น่ากังวลเพราะไทยมีเงินดอลลาร์เพียงพอ อัตราทุนสำรองระหว่างประเทศต่อ GDP สูงกว่าประเทศอื่นๆ และหนี้สินส่วนใหญ่กู้จากในประเทศ ด้านสองภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน (Stagflation) กระทบอังกฤษที่เดียว ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมิน GDP ไทยได้รับผลกระทบไม่ถึง 0.2% ด้านสามการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวอังกฤษมาไทยน้อยอยู่แล้วและกระจายไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆจึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบ
> ตลาดหุ้นไทย : ปีนี้ดัชนีหุ้นไทยเติบโตสูงที่ราว 13% พอๆกับฟิลิปปินส์ เพราะนักลงทุนคาดว่า FED ไม่ขึ้นดอกเบี้ยจึงเกิดกระแสเงินทุนไหลเข้ามาตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) โดยตอนนี้หุ้นไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจาก BREXIT เลย
> มุมมองการลงทุน : ทางบลจ.กรุงศรียังมีมุมมองเชิงบวกจากปัจจัยบวกเรื่องเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว บริษัทจดทะเบียนแข็งแรง อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ ธปทใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย การท่องเที่ยวสดใส และปัญหาภัยแล้งคลี่คลาย ส่วนปัจจัยลบเรื่องเศรษฐกิจโลกเปราะบาง ความผันผวนของตลาดการเงินเปลี่ยนเร็วมาก และการส่งออกแย่ ดังนั้นควรเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ PE ratio หุ้นไทยอยู่ที่ราว 16 เท่าต่ำกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ อัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ราว 3.2% สูงกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ด้วย โดยให้กรอบดัชนีหุ้นครึ่งปีหลังไว้ที่ 1,200 – 1,600 จุด ซึ่งในพอร์ตการลงทุนแบบปานกลาง บลจ.กรุงศรีแนะนำให้มีตราสารหนี้ 37% และหุ้น 63%

ผมหวังว่าข้อมูลที่สรุปมาให้นี้เป็นประโยชน์สำหรับการลงทุนไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับเรื่อง Brexit ส่วนตัวมองว่าเพิ่งเริ่มต้นยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดยากที่จะคาดเดา และสุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ทาง Krungsri Exclusive เชิญร่วมงานเสวนาพิเศษสุด เป็นงานสำหรับลูกค้ากรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ และลูกค้าบลจ.กรุงศรี เท่านั้น สามารถดูข้อมูลรายละเอียดได้ใน www.krungsri.com/krungsriexclusive

บทความนี้มาจาก https://www.facebook.com/maibat.money/posts/1759636557591608

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่