ทั้งที่ทุกคนดีกับเรา แต่ทำไมเรากลับรุ้สึกอึดอัด รุ้สึกว่าเยอะ

เราเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ทุกคนในครอบครัวของแม่เลี้ยงก็ดีกับเราหมดทุกคนแหละ แต่คำพูดพวกเขาจะไม่ค่อยรักษาจิตใจกันสักเท่าไหร่ เพราะพวกเขาจะบอกเสมอว่าตัวเองเป็นคนตรงๆ อันนี้ก็เข้าใจ แต่บางทีมันตรงจนสะเทือนใจ

เราเป็นคนเงียบๆเข้าขั้นเก็บกด ตามประสาเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ได้เรียนจบแค่ ป.6 แม่ก็ไม่ให้เรียนต่อ ไม่ให้เรียนต่อจริงๆไม่ใช่ไม่มีเงินเอยปากขอเขาก็ไม่ให้เรียน แม่ค่อนข้างมีฐานะ
แม่มีลูกจริงๆ 4 คนทุกคนเรียนจบปริญญาหมด
บอกเลยว่านี่ถือเป็นปมแรกๆและนี่คือจุดเริ่มต้นของความรุ้สึกทั้งหมด เวลามีคนถามว่าเรียนจบหรือยัง จบอะไร หรือเรียนอยุ่โรงเรียนไหน เรานี่น้ำตาคลอตลอด แทบจะร้องให้แต่ต้องกลั้นน้ำตาไว้ แล้วยิ้มกับเงียบเท่านั้น เวลาผ่านไปเรื่อยๆมีแต่ความรุ้สึก
เจ็บปวด ผิดหวัง เหนื่อย ท้อ ร้องให้จนเริ่มจะไม่มีน้ำตา กลายเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูดจา เก็บกด
เคยถึงขั้นอดข้าวอดน้ำประชด กรีดแขน ข่วนแขนหวังให้ตายๆไปเลยจะได้จบสิ้นกันสักทีมีเพียงสิ่งเดียวที่รับฟังเราคือ สมุดบันทึก
และสิ่งเดียวที่ทำให้เรายิ้มและหัวเราะได้คือแมว
ซึ่งเป็นสัตว์ที่แม่ไม่ชอบ
จนกระทั่งเราอายุ 20 กว่าไปขอแม่เรียน กศน.  คราวนี้เขาให้เราเรียน คอยไปรับไปส่ง สอบก็ไปนั่งรอ
แต่เรารุ้สึกไม่ชอบและอึดอัด เพราะเขามักจะเอาไปพูดกับใครๆว่าเขาไม่เคยทำแบบนี้กับลูกคนไหน
ความเป็นจริงเราไม่ได้อยากให้เขาทำเลย
แม่เป็นโรคอยุ่คนเดียวไม่ได้ไม่เป็น จะมีเราคอยอยุ่ด้วยคอยตามตลอด ซึ่งเราคิดว่านี่เป็นเหตุผลหลักๆที่เขาเอาเรามาเลี้ยง แล้วไม่ให้เราเรียนต่อ เพราะไม่งั้นเราคงไม่อยุ่กับเขา

เราอยุ่กับเขาด้วยความอดทนมากๆจนเข้าสู่วัยเบญจเพส เราหนีออกจากบ้านโดยมีพี่สาวซึ่งเป็นลูกสาวของแม่เป็นคนช่วย ตอนแรกแม่ไม่รุ้คิดว่าหนีตามผู้ชาย แต่ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆเขาก็รุ้ เพราะเขาโทรมาถามพี่สาวตรงๆพี่สาวก็ตอบตรงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พี่สาวก็มาบอกเราว่า บอกแม่ไปตรงๆแล้ว
เขาจะได้สบายใจไม่ต้องห่วง เพราะเขาก็เป็นห่วงเรานะแหละ
แต่ในใจเรามันไม่คิดแบบนั้น
บอกตามตรงเลยจากความเจ็บปวดเสียใจผิดหวังตลอดเวลาที่ผ่านมา มันทำให้เราหมดความรุ้สึกกับแม่แล้ว มันไม่รุ้สึกอะไรเลยมีแต่ความชินชา เฉยชา
เราไม่รุ้สึกว่าเขาห่วงเราเลย

เราอยุ่กับพี่สาวมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ การงานพี่สาวหาให้ฝากให้ตลอด แต่พี่สาวเป็นคนค่อนข้างเป๊ะและระเบียบจัด แต่เราเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย
คำพูดคำจาก็ค่อนข้างทำร้ายจิตใจ
ปนๆกับคำสอน คือคนในครอบครัวแม่จะสอนคนแบบฮาร์ทคอกันหมดทุกคน

ดังนั้นคนที่ค่อนข้างเซนซีทีฟง่ายอย่างเราจึงค่อนข้างสะเทียนใจเป็นพิเศษตามประสาคนที่คิดน้อย
แต่เราเป็นคนเก็บ อดทนได้อด ไม่สุดๆจริงๆจะไม่พูดไม่แสดงอาการ เราอยุ่กับพี่สาวเกือบปี เราก็เริ่มมีปัญหากับพี่สาว เพราะความรุ้สึกเรามันสุดๆแล้วจริงๆ
เราเดินออกมาจากห้องพี่สาวโดยไม่บอกไม่อะไรใคร
เดินไปร้องไห้ไป แล้วส่งข้อความไปหาลูกชายพี่สาว
เพราะคิดว่าเดียวน้องก็ต้องเอาให้พี่สาวอ่าน
เราเขียนไปประมาณว่า คำพูด สายตา ท่าทางที่พี่แสดงกับเรามันทำให้เรารุ้สึกแย่ มันดูเป็นการกดดันเรา แล้วเหมือนมาระบายอารมณ์กับเรา เวลาพี่เครียดพี่จะแสดงอาการฟาดอารมณ์ไส่ ซึ่งเราโดนมาหลายครั้งจนทนไม่ไหว เลยส่งข้อความไป

เราหายออกไปหลายชั่วโมง พี่สาวก็ไลน์มาว่าให้ พูดประมาณว่า ถ้าเก่งหนักก็ออกไปอยุ่คนเดียวเลย
บลาๆๆ
วันนั้นเราไม่กลับไปนอนบ้านเลย
จนเช้าวันรุ่งขึ้น กลับบ้าน แม่ก็บอกให้ขอโทษพี่สาวสะ เราก็ขอโทษ เพราะเรื่องมันไม่ได้ใหญ่โตอะไรแค่เราน้อยใจ คิดน้อย สะเทือนใจ
แล้วพี่สาวก็ถามว่า จะเอายังไงจะอยุ่ที่บ้านหรือจะออกไปอยุ่ข้างนอก แต่เราตัดสินใจแล้วว่าจะออกมาอยุ่ข้างนอกเพื่อรักษาความรุ้สึกกันไว้
ไม่อยากรุ้สึกแย่กันไปมากกว่านี้  บางทีมันใกล้กันจนเกิดไปแล้วทำให้อะไรๆมันแย่ลง

คือจริงๆครอบครัวนี้ก็ถือว่าดีนะ แต่เรามันคนมีปม
ถูกความเจ็บปวดมันฝั่งใจฝั่งความคิดแล้วว่าเรามันเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง
เวลาโดนแสดงอาการ สีหน้า ท่าทาง คำพูดแรงๆ
เราก็จะพาลคิดไปว่า เพราะเราไม่ใช่ลูกเขา ไม่ใช่คนในครอบครัวเขา มันเลยเป็นแบบนี้
เราไม่เคยคิดว่าพวกเขารักเราหรือเป็นห่วงเราเลย
ความรุ้สึกที่เรามีต่อพวกเขามันติดลบไปหมดเลย

เคยมีบางคนบอกเราว่า แค่เขาเลี้ยงเรามาทั้งๆที่ไม่ใช่ลูกก็บุญโขแล้ว
  
ความรุ้สึกของเรา เราไม่เคยรุ้สึกว่าเขาเลี้ยงเราเป็นลูกเลย. แต่รุ้สึกเหมือนถูกเลี้ยงมาแบบสุนัขเฝ้าบ้าน
แค่ให้ข้าวให้น้ำก็บุญโขแล้ว.

อาจเป็นเพราะเราคาดหวังมากเกินไป พอผิดหวังความรุ้สึกมันเลยติดลบหมดจนไม่เหลือความรุ้สึกอะไรเลย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่