Exclusive : สัมภาษณ์ เจมส์ มาร์ : ดาราที่เคยคิดว่าถูกเซ็ตโปรแกรมและแอ๊บเก่ง ...ปัจจุบัน ขนาด “เห็นหมี” ก็ยังแอ๊บได้

กระทู้ตกเร็วจนคนทำใจหาย แต่ด้วยเกียรติของผู้หญิงที่ “คุณชายรณพีร์” บอกว่า “คุณเป็นผู้หญิงของผม”   วันนี้เลยมาทำตามสัญญาใจที่ให้ไว้ว่าจะมาแบบ SEE YOU SOON ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ในกระทู้ที่แล้ว http://pantip.com/topic/35337503  นะคะ ถึงกระทู้ที่แล้วจะตกเร็วเวอร์เหมือนชะตาของ “พ่อเหม” ที่ตกไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างก็ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ  นาทีนี้เพื่อ “หมอวรรษ”  สามีแห่งชาติ และบรรดา  “อนุศนิยา” ทั่วประเทศอย่างเพื่อนๆ ทั้งหลายแล้ว  จขกท. ยอมทำให้ด้วยใจจริงๆ   


    ขอสารภาพว่า เมื่อก่อนไม่มีความคิดว่าอยากจะสัมภาษณ์ “เจมส์ มาร์” เลยนะคะ เพราะเจมส์เป็นคน “นิ่ง” มาก เวลาถามอะไรไป รู้เลยว่าคำตอบที่ได้จะเป็นยังไง จะตอบออกมาแนวไหน  เคยคิดด้วยซ้ำว่าดาราคนนี้ถูกตั้งโปรแกรมเซ็ตคำตอบมาอย่างดีแล้วว่า ถ้าเจอคำถามแบบนี้ๆจะมีแพทเทิร์นคำตอบออกมาเป็นแบบไหน  เช่น ถ้าถามว่าไอดอลของคุณคือใคร คำตอบก็คือ พี่ณเดชน์... ถ้าโดนด่าแล้วจะเป็นไง คำตอบคือ เก็บเอาไปปรับปรุง ...คิดยังไงกับฉายาตี๋รอวันตุ๊ดแตก คำตอบคือ ผมเป็นผู้ชาย 100 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ  
       แต่พอเวลาผ่านไปหลายปีๆเข้า  ก็เริ่มมองเห็นประจักษ์ว่าในนาทีที่ไม่ต้องสร้างพื้นที่ให้ตัวเองมีที่ยืนและสร้างภาพอีกเหมือนเดิมแล้ว เจมส์ มาร์ ก็ยังคงเป็น "เจมส์ มาร์"  อยู่เหมือนเดิม คำตอบของเขาก็ยังคงเป็นคำตอบเดิมๆ โดยเฉพาะคำตอบที่เป็นเรื่องงาน
      และที่ยังเป็นเหมือนเดิมยิ่งกว่าเหมือนเดิมก็คือ ถ้านักข่าวสัมภาษณ์ดาราเป็นกลุ่ม...เจมส์ มาร์ ก็จะยังคงเป็นคนที่ได้แอร์ไทม์น้อยที่สุด เพราะเขายังคงเป็นคนที่นิ่งและตอบน้อยที่สุด แถมยังชอบยืนแอบขอบอยู่ในกลุ่มเช่นเดิม ถ้าไม่ระบุว่าถามเจมส์ตรงๆ เจมส์แทบจะไม่เคยแจม ไม่เคยแย่งซีนคนอื่นตอบเลย ดังนั้นการจะคุยอะไรกับเขาจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก

    สิ่งที่ทำให้อยากคุยกับเจมส์ มาร์ เริ่มจาก ชอบที่เขาพูดว่า “ครับผม” ก่อน แล้วตามด้วยเสียงจากคนรอบข้างที่เชียร์ให้ได้ยินอยู่ตลอด นับแต่ผู้จัด เพื่อนนักแสดง เพื่อนร่วมงาน  ฯลฯ ที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  ตี๋อินเตอร์ที่มีความเป็นไทยสูงแต่พูดอังกฤษไฟแลบขัดกับหน้าตาคนนี้
         “ถ้ามีร้อย คนอื่นจะทำเต็มร้อย แต่ถ้าเป็นเจมส์ มาร์ น้องจะทำเป็นสองร้อย ยิ่งดนด่าเยอะเท่าไหร่ น้องยิ่งทำมากเท่านั้น ทำแบบเรียกว่า "ถวายหัว"ทำให้เลยก็ว่าได้”  

    น่าแปลกใจว่า คุณหนูลูกคนรวยระดับมหาเศรษฐี ทำไมถึงยอมมาทนลำบากลำบนให้คนก่นด่าอย่างนี้ เขายอมมาจับดาบ ขี่ช้าง ขับเครื่องบินฯลฯ  ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยสักนิดเพราะอะไร ส่งผลให้จากที่ไม่เคยคิดว่าจะคุยกับเจมส์ มาร์ เลย ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนไป  
            
                       -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

                  คราวก่อนยังเหลือประเด็นที่น่าสนใจอีกนิดหน่อย คราวนี้ขอมาต่อให้จบนะคะ  ขอย้ำอีกทีว่าทั้งหมดที่จะได้อ่านกันนี้เก็บตกมาจากที่เคยได้คุยไว้ และจะขอเลือกมาเฉพาะประเด็นที่ไม่ซ้ำและไม่ช้ำเท่านั้นนะคะ

        จากกระทู้ก่อน ที่บอกว่าน้องไม่ยอมทำศัลยกรรม ทั้งๆที่ในรุ่นเดียวกันมีคนทำแล้วประสบความสำเร็จไปหลายคน  ทำให้มีคนสงสัยว่า น้องหน้าตาดีอยู่แล้วจะทำไปทำไม จะทำไปเพื่ออะไร  คำตอบคือ ทำเพื่อเสริมโหงวเฮ้งค่ะ  มีบางคนมีตาเหมือนน้อง ไปทำแล้วก็ดูดีขึ้นจริง มีราศีขึ้นจริง และก็ประสบความสำเร็จจริงๆ ตามคำทักของหมอดูหรือกูรู   แต่ขอโทษค่ะ เจมส์ มาร์ ยืนยันที่จะไม่ทำ เพราะ
               “ผมเป็นคนจีน เป็นลูกครึ่งฮ่องกง ถ้าทำตาให้โตก็ไม่ใช่ลูกครึ่งฮ่องกงสิคร้าบบบบบบบ ผมขอหล่อแบบตี๋ๆ ของผมดีกว่าครับผม”

                อีกสิ่งหนึ่งที่น้องไม่ยอมเปลี่ยนคือ “ชื่อ” ค่ะ   เอาความจริงคือ ชื่อ “เจมส์”  เป็นชื่อที่ฟังแล้วดูไม่สะดุดปึ้ง แทบจะไร้การจดจำเลย   ก็ว่าได้  แล้วยิ่งต้องมาเล่นซีรีย์เรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพร่วมกับ “อีกเจมส์” ด้วย ยิ่งซ้ำไปกันใหญ่  เคยถามว่าถ้าย้อนเวลาไป จะเปลี่ยนชื่อเพื่อเข้าวงการหรือไม่ พี่เอไม่แนะนำให้เปลี่ยนหรือ เพราะปกติเด็กพี่เอบางคนก็เปลี่ยนกันจนเป็นเรื่องธรรมดา  คำตอบคือ
             “คนที่เปลี่ยนก็มีเหตุผลของเขา  ส่วนผมไม่เปลี่ยน ผมก็มีเหตุผลของผมครับผม   ผมภูมิใจชื่อของตัวเองและก็ชินกับชื่อนี้มาตั้งแต่เกิด กลัวเปลี่ยน เวลามีคนเรียกชื่อใหม่แล้วจะไม่หัน  ก็เลยไม่อยากเปลี่ยนครับ  ถึงชื่อจะซ้ำไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะคนเราก็ชื่อซ้ำกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ดีเสียอีก ที่คนจะเรียกผมแบบเต็มยศทั้งชื่อและนามสกุลว่า เจมส์ มาร์   
          เจมส์นี่คือชื่อจริงแล้วนะครับ ผมมีชื่อเล่นกับชื่อจริงเป็นชื่อเดียวกัน
           ส่วนนามสกุล จริงๆ สะกด MA  (มา) เฉยๆ   แต่พี่เอเห็นว่า ถ้าสะกดว่า มา จะดูเป็นภาษาไทยไป และคนก็จะล้อว่า เจมส์ มา  เจมส์ ไป    ก็เลยขอใส่ ร เรือ การันต์ เข้ามาเพิ่ม  ผมฟังเหตุผลพี่เอแล้ว ก็เชื่อและเห็นด้วยครับ  “มา” เป็นแซ่ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนามสกุลไทยครับ นามสกุลไทยผมอ่านยาก   ก็เลยคิดว่าใช้ มาร์ ดีกว่า อ่านง่าย จำง่าย เจมส์ไหน อ๋อ เจมส์ มาร์.......... จบ  แล้วอีกอย่างใช้ “มาร์” แล้ว ไม่กระทบกระเทือนกับความเป็นส่วนตัวของคนในครอบครัวด้วยครับผม”
        
         
        
           ขอย้อนกลับมาเรื่องที่โดนด่าอีกนิดนะคะ เป็นไปไม่ได้หรอกที่ถูกด่าขนาดนี้แล้วจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่อย่างที่บอกไปคราวก่อนคือ น้องใช้พลังบวกมาต้านพลังลบ  ดังนั้น ขอเพิ่มเติมประเด็นนี้อีกนิดนะคะเพราะชอบคำตอบของน้องมาก
           “ จริงๆ แล้ว เวลาผมโดนด่า ไม่ได้ถูกด่าคนเดียว แต่ผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส ให้การสนับสนุนผมก็เหมือนกับโดนด่าไปด้วย  ผมเลยมาคิดว่า ถ้าผมโดนด่าแล้วท้อแล้วนอยด์ ก็เท่ากับว่าทำตัวไม่เหมาะสมกับโอกาสที่ได้รับ  ที่สำคัญคือ เราต้องให้โอกาสตัวเราเองด้วย  เพราะถึงเราจะได้รับโอกาสจากคนอื่นยังไง  แต่ถ้าเราไม่ให้โอกาสตัวเอง ก็น่าเสียดายแทนคนอื่นที่เขาอาจไม่ได้รับโอกาสดีๆเหมือนเรา   ดังนั้นเราก็ต้องให้โอกาสตัวเราเองก่อน  เรารับเอาคำด่าไปปรับปรุงตัวเองก่อน ถ้าปรับปรุงแล้ว เสียงด่าน้อยลง เท่ากับว่าชนะตัวเราเอง แต่ถ้าปรับปรุงแล้ว ยังมีเสียงด่าอยู่ เราก็ต้องยิ่งปรับปรุงตัวเองเพิ่มขึ้นครับผม”

             อีกคำถามนึงคือ นอกจากจะได้บทที่ยากเกินตัวและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว “นางเอก” แต่ละคนของเจมส์ มาร์ ต่างก็มีทั้ง “คู่จิ้น-คู่จริง” อยู่แล้วกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น มินต์-หมาก (ตอนนั้น) แมท-เกรท  คิม-หมาก (ตอนนี้)  รวมไปถึงมาร์กี้-บอย  ลำพังตัวเองยังจะเอาไม่รอดเลย แล้วมีวิธียังไงถึงจะเล่นละครกับนางเอกที่มีแฟนแล้วทั้งในจอและชีวิตจริงให้คนดูอินได้
           “ นอกจากผมจะเครียดที่มีคนโจมตีว่าเป็นจุดอ่อนของละครแล้ว สิ่งหนึ่งที่แอบเครียดกว่าก็คือ กดดันกลัวว่าจะเล่นคู่กับนางเอกของผมได้ไม่ดีเท่าที่ตั้งใจไว้ แต่นางเอกของผมแต่ละคนน่ารักมาก คอยเป็นกำลังใจและให้คำแนะนำผมตลอด  แต่ก่อนจะมาปรับทัศนคติเรื่องนางเอก ผมก็ต้องมาปรับที่ตัวเองก่อน โอเค ถึงหน้าตาผมจะไม่เข้ากับบท  หน้าตาผมอาจไม่ใช่พิมพ์นิยม  แต่เราเป็นตัวนำ เราก็ต้องเอาคนดูให้อยู่ให้ได้  เราต้องเชื่อตัวเองก่อน ก่อนที่จะให้คนอื่นมาเชื่อเรา  ยอมรับว่าผมอดคิดไม่ได้ว่าคนดูดูแล้วจะชอบ ดูแล้วจะมีความสุขกับเรามั้ย  ดูแล้วเขาจะว่ายังไงกันบ้าง   ผมเลยคิดว่าถ้าผมตั้งใจเล่นให้ออกมาสมกับบทบาทให้คนดูลืมเรื่องหน้าตาไปได้ เสน่ห์หรือทุกอย่างมันก็จะออกมาจากการแสดงของเราเอง เราทำตามที่ผู้กำกับต้องการให้ได้ แล้วทุกอย่างมันก็จะดีเองครับผม
            แล้วทีนี้พอเราตั้งใจเล่นทุกซีนให้ส่วนของเราให้แข็งได้แล้ว ที่เหลือเคมีกับนางเอกมันก็จะมาของมันเอง ตามคาแรกเตอร์ของตัวละครที่ได้รับในเรื่องนั้นๆ  ที่สำคัญคือนางเอกของผมแต่ละคนเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีของผมมากๆ  ถ้าไม่ได้นางเอกช่วยซัพพอร์ต ช่วยส่งอารมณ์ให้ ช่วยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ ฯลฯ  ลำพังผมคนเดียว ก็ทำไม่ได้หรอกครับผม ”

                 
       ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    
    


               
  
          จากเมื่อก่อนที่เคยคิดว่า  เจมส์ มาร์ แอ๊บสุภาพเรียบร้อยเวลาอยู่หน้าจอเก่ง แต่ตอนนี้เชื่อแล้วว่าเขาไม่ได้แอ๊บ ไม่ได้ประดิษฐ์ ยิ่งได้เห็นเวลาเขาทำอะไร “สดๆ” เช่น ไลฟ์สด หรือออกรายการสด ก็ยิ่งได้รู้ว่า เนื้อแท้แล้ว เจมส์ มาร์ มีความเป็น “ผู้ดี” สูง   แถมยังรู้สึกได้ว่าในความนิ่งนั้นเขามีเสน่ห์ มีไอคิว-อีคิว  ฉลาด ไหวพริบดี  มีวุฒิภาวะทางอารมณ์   สุภาพ พูดจาไพเราะ  (ย้ำหลงรักน้องเพราะคำว่า “ครับผม” เป็นสิ่งแรก) มีความอ่อนน้อมถ่อมตน  มีสัมมาคารวะ รู้ความควรไม่ควร รู้จักกาลเทศะ  และก็เริ่มทำลายกรอบของตัวเองมา “รั่ว” แบบน่ารักๆ บ้างแล้ว ที่สำคัญมีดื้อตาใสจนนักข่าวคิดว่าเป็นไบโพลาร์เป็นบางครั้ง

        ล่าสุด ความคิดที่คิดว่าเจมส์ มาร์ แอ๊บเรียบร้อย ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง  จากการได้ดูเขาในรายการสดคืนสำคัญของ “น้าเน็ก” ที่น้าเน็กแซวแฟนคลับซึ่งขึ้นมาร่วมสนุกบนเวที  แฟนคลับคนนี้ชื่อ “รัศมี” ชื่อเล่นว่า   “หมี”  น้าเน็กเล่นมุกพูดกับแฟนคลับคนนี้ว่า “ทุกคนเห็นหมีกันหมดแล้ว” ในขณะที่คนดูบางคนอึ้งที่น้าเน็กกล้าเล่นมุกหยาบคายและไม่ให้เกียรติผู้หญิงแบบนี้ออกทีวีในรายการสด  และบางคนหัวเราะขำเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน (จขกท.เป็นคนทะลึ่งยังอึ้งกิมกี่) แต่ เจมส์ มาร์ กลับนิ่งมาก นิ่งเสียจนคิดว่าน้องไม่รู้ความหมายหรือผวนคำไม่เป็นหรือเปล่า  แต่การนิ่งของน้องและทำหน้าสงสัยเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ถือเป็นการให้เกียรติแฟนคลับของน้องอย่างสูงสุด  พี่นี้ถึงกับยืนปรบมือ          สแตนดิ้ง โอเวชัน  ให้น้องหน้าทีวีเลย  ไม่นับรวมกับมุกสองแง่สองง่ามเรื่องลูกกอล์ฟและด้ามไม้ของโปรอีกนะ ช่วงนี้พี่ยอมใจให้เลยว่า น้องของพี่เป็นผู้ชายที่รู้กาลเทศะ ให้เกียรติผู้หญิงและผู้ใหญ่ที่เล่นมุกชนิดไม่ยอมให้เสียหน้าแบบ "บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น" ดีมากเลยทีเดียว       เจมส์ มาร์ เอ๋ย

       ด้วยความสงสัยเรื่อง "เห็นหมี" เลยไป แอบสอบถามดาราและกูรูที่เคยร่วมงานกับน้อง คำตอบที่ได้ คือ คิดว่าน้องน่าจะรู้ แต่น้องเก็บอาการได้เก่งมาก ถือว่าเป็นคนมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง  มีไหวพริบ แก้ปัญหาในสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่ง (ที่บอกว่าลูกเกินพาร์) และก็แก้แบบสุภาพอ่อนน้อมมาก  และมีสิ่งหนึ่งที่คนไม่รู้อีกอย่างก็คือ ถึงหน้าตาน้องจะไม่ให้ในละครทั้งสองเรื่อง แต่สิ่งที่น้องมีอยู่ในตัวก่อนได้เล่นละคร คือ ความเป็น "ผู้ดี" และมีความเป็น "สุภาพบุรุษ" ในตัวอย่างเป็นธรรมชาติ น้องจึงได้เป็นคุณชายรณพีร์ และพ่อเหม ผู้ชายในฝันของเราในวันนี้  จนมาถึงบท "หมอวรรษ" หมอไต ที่ใครๆ ก็อยากไตหาหัวจามกับหมอด้วยค่ะ

                                                       ปลาดาว มาร์  / STARFISH MA /    金鱼 [jīnyú] MA


หมายเหตุ - เจอกันอีกครั้งเรื่อง อาคม-สายธารหัวใจ นะคะ ถ้ากระทู้ไม่ตกเร็วเกินไป สัญญาค่ะว่า จะสัมภาษณ์แบบอัพเดตมาให้ แถมด้วยอาปิ่น-และคุณเจ็ตค่ะ



เพิ่มเติมนะคะ
          เห็นด้วยกับความเห็นที่บอกว่า น้องออกเสียงคำควบกล้ำไม่ชัด ตอนดูข้าบดินทร์ ทั้ง 2 รอบ พี่ทึ่งความสามารถในการใช้ภาษาไทยแบบก้าวกระโดดของน้องมาก แต่พอละครจบ น้องก็กลับมาเป็น อังกิด เป็น พ้อม เป็นเปี่ยนแปง อีก ยิ่งในคลิปสัมภาษณ์ล่าสุดที่พาหม่ามี้ไปสมุย แทบหาคำควบกล้ำแทบไม่ได้เลย อีพี่ปวดใจยิ่งนัก  เพราะปกติจะชอบแต่ดาราที่พูดไทยชัด และสะกดภาษาไทยถูกต้องเป๊ะๆเท่านั้น

           ต่อไปนี้ เอาเป็นว่า ถ้าเกิดน้องยังพูดไม่ชัดอีก พี่จะบุกไปยึดลูกกอล์ฟสองลูกของน้องเป็นการทำโทษดีมั้ยครับ

         

         ล้อเล่นนะครับ
         แแแแแแแแแแแแแฮ่


(ชอบเสียง "แฮ่" ของเจมส์มาก หลุดกรอบ เป็นธรรมชาติอย่างนี้บ้างอะไรบ้าง น่ารักมาก รู้มั้ย)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่