อยู่ต่างแดน อยู่ไกล
เหงามั๊ย หลายคนอาจมีคำถาม
ขอแทนตัวว่า แคท นะคะ
ตัวผู้เขียนเอง ตอนนี้อยู่ไกลบ้าน ในดินแดนที่มีจิงโจ้กระโดดไปมา โคอาล่า เดินเกลื่อนเมือง
ฮ่า ฮ่า นั่นมันในจินตนาการค่ะ
เรื่องจริงคือ ผู้เขียน อยู่ที่ประเทศ ออสเตรเลีย ในตัวเมืองที่เรียก ว่าซิดนีย์
สวรรค์ของนักช๊อป แบรนด์เนม
กว่าจะเจอจิงโจ้อย่างที่ จินตนาการไว้ ต้องไปดูที่สวนสัตว์ค่ะ
อย่าคิดว่าแคท ดับฝันนักอ่าน นักท่องเที่ยวธรรมชาตินะคะ
จิงโจ้ป่ายังมีอยู่ทั่วไป เพียงแต่ต้องออกนอกเมืองไปหน่อยเท่านั้นเอง

ตัวแคทเอง ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร (เอ๊ะ ไม่รวยแล้วมาอยู่ต่างแดนได้ไง)
นั่นเพราะความกระ

กระสน ปน ถูลู่ถูกัง มา
ตอนเด็กๆ เห็นลุง เห็นน้า ไปเมืองนอกกลับมา
ตื่นตาตื่นใจ หรูจัง ไฮโซ แต่ไม่คิดอาจเอื้อม ด้วยเจียมตน เราไม่รวยอย่างใครเค้า
แคทโตมากับครอบครัวคนจีน พอมีอันจะกิน (เน้นย้ำ ครอบครัวมี แต่แคทไม่มี ทำไมล่ะ นั่นสิ )
เหตุเกิดมาว่า คุณแม่ของแคท เป็นคุณหนูไฮโซ พบรักกับ คุณพ่อ ซึ่งเป็นคนไทย ผิวคล้ำ (นิยายเกาหลีชัดๆ สาวสวยกับหนุ่มขี้เหร่)
เท่านั้นแหล่ะค่ะ ประกาศิตฟ้าฟาด สองครอบครัวมิอาจเข้ากันได้ ความเศร้าจึงบังเกิดผลที่เรา
โตมาในดงคนจีน ขาว ซ้ายขาว ขวาขาว หันมองตัวเรา โอ้อนิจจา ข้าวนอกนาตัวจริง
ถ้าเกิดทันเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ต้องเคยเห็น ตุ๊กตายาง เด็กนิโกรตัวดำนั่งร้องไห้ผมหยิกหยอย บีบแล้วดัวปี๊บๆ
นั่นแหล่ะค่ะ แกะดำในฝูงแกะขาว อีกาบินหลงฝูง จึงมีชื่อเรียกน่ารักๆ แปลเป็นไทยว่าอีดำค่ะ
กลับมาๆ นอกเรื่องไปยาว
การได้มาอยู่ต่างแดน เหตุเกิดจาก เพื่อน เพื่อนไฮโซอีกเช่นเคย โปรไฟล์ดี
เรียนจบ มาจากสวิสเซอร์แลนด์ ทำงานเป็นเชฟ
ส่วนแคท ตอนนั้นทำงานโรงแรมค่ะ พอได้พบปะ ชาวต่างชาตฺ มากหน้าหลายตา
ภาษาไม่ต้องพูดถึง คุยกันเมื่อยมือค่ะ อาศัยใจกล้า น่าด้าน
มาถึงตรงนี้ ต้องกราบขอบพระคุณ คุณเพื่อน ผู้จุดประกาย ให้มาเฉิดฉายขี่จิงโจ้ที่นี่
ด้วยคำพูดเล็ก และความอวดเก่ง ทะเยอทะยาน อดได้ อายไม่ได้
เพื่อนถามว่า จะอยู่ทำงานในไทยไปอีกนานมั๊ย (นั่นสิ )
แล้วจะทำงาน อย่างนี้ได้อีกกี่ปี (เออว่ะ)
บอก เค (ชื่อแทนตัวเพื่อน) ไปว่า อยากไปเมืองนอกเหมือนกัน แต่กลัวไม่รอด
เค ถามต่อ ไม่เคยลอง จะรู้ได้ไง ( จริงของ)
จากนั้น นังแคท ปากรั่วค่ะ แคทกำลังคิดๆอยู่ว่าจะไปออสเตรเลีย (แหม อวดบ้าง เด๋วหาว่าไม่มีที่ไป)
เอาแล้ว กระบวนการ อดได้ อายไม่ได้เริ่มจ้า
ปากรั่ว พร้อมกระเป๋าตังค์ก็รั่ว จะไปยังไงวะเนี่ยตรู
เหตุการณ์ ต่อมายังตอกย้ำใจมากมาย
เมื่อเจอกันอีกครั้ง
คุณเค ไม่ลืมค่ะ เฮ้ย!!!!
ไหนว่าจะไป ออสเตรเลียไง ไม่ไปแล้วเหรอ
จะไปเร็วๆนี้แหล่ะ ใกล้แล้ว
ยังจ้า ยัง ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการใดๆทั้งนั้นเลย T T
รีบค้นหาวิธี อย่างไว ทำยังไง จะได้ไปเหยียบแดนจิงโจ้
ด้วยอายุอานาม ที่เดินไปมา น้องๆยกมือไหว้กันเป็นแถว
อากู๋ช่วยได้ค่ะ สรุปแคทเลือกวิธีให้เอเจ้นท์ ช่วยเดินเรื่องวีซ่าให้
เอเจ้นท์ที่แคทเลือก ค่อนข้างแพง แต่สะดวก โยนทุกเรื่องให้เอเจ้นท์ทำค่ะ เรานั่งกระดิกเท้ารอ
ตกลงว่า แคท ผู้ซึ่งเกลียดการเรียนเป็น ชีวิตจิตใจ ทำยังไงก็ได้ ให้จบเร็วที่สุด (เกลียด แต่เรียนจบ นะเธอ)
มาออสด้วยวีซ่านักเรียนจ้า สมเหตุ สมผลที่สุด คิดสั้นมาก กะว่าเรียนภาษา จะได้เก่งๆ
กลับไปทำงานเลื่อนตำแหน่ง นั่นไง ยังไม่เห็นความก้าวหน้าอีก ถ้าคุณ เค รู้ คงหัวเราะฟันโยก
ผลพวงจากวีซ่านักเรียน คือค่าเทอม !!!! มันแพงมากกกกกก !!!!! (แอบคิดว่าเอเจ้นท์ บวกเยอะเกินไปนะ 55)
มิได้จ่ายเป็นเทอมนะจ๊ะ จ่ายเป็นรายสัปดาห์
ค่าประกันสุขภาพ
ค่าวีซ่า
บวกกับ โชคเข้าข้าง ค่าเงินออส สูงสุดในรอบหลายปีจ้า
หาทุกวิถี แถ ขูด ครืดคราด จน
แท๊ แด เรามายืนอยู่ที่ออสเตรเลียแล้วจ้า
จำวินาทีที่ ที่พ่อกับแม่มาส่งได้ ดูเค้าเป็นห่วง สภาพลูกสาวที่ไม่ค่อยมีอันจะกินได้
เราหันไปโบกมือ ตอนเดินผ่านด่านตรวจ พร้อมส่งสายตา บอกว่าไม่ต้องห่วง ลูกสาวเก่งอยู่แล้ว
ในใจตรู เนี่ยสิ โหวงเหวง ว้าวุ่น ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน
น่ากลัว เดินทางไหนฟะ เป๋าหนักไปมั๊ย
จะซื้อเบอเกอร์กินเป็นรึเปล่า
สุดท้ายก็ยัดตัวเอง ขึ้นเครื่องพร้อมความรู้สึก กระอักกระอ่วน
ขึ้นเครื่องครั้งแรก เมาเครื่อง ิบ อ๋าย ค่ะ
ดีหน่อยที่มีเพื่อนอยู่ที่นี่ หนึ่งคน นี่คือบุคคลที่สอง ที่ต้อง กราบงามๆ จากใจ
นัท จัดแจงหาที่อยู่ไว้รอ มายืนรอรับหน้า สถานีรถไฟ
ห๊าาาาาาาาา เสียงยาว รถไฟ ตรูมาเครื่อง

รอสถานี รถไฟคือไร ยังไง
อีแคทหาทาง งมมาค่ะ ซื้อตั๋วรถไฟมาลงที่สถานีเซ็นทรัล
ทุกวันนี้ยัง งง มายังไงฟะ
มาถึงเข้าที่พักค่ะ สืบทราบมาคร่าวๆถึงลักษณะที่พัก อันแสนหดหู่ ของที่นี่มาแล้ว
มันเป็นเยี่ยงนั้น น้ำตาจะไหล
นึกสภาพนะคะ เหมือนหนังฝรั่งเลย เปิดประตูห้องมา เจอห้องนั่งเล่น เดินไปอีกหน่อย มีห้องครัวแบ่งเป็นสัดส่วน
มีห้องน้ำ สำหรับแขก ห้องนอนมีสองห้อง
ห้องแรกใหญ่ค่ะ มีห้องน้ำในตัว เรียกกันว่า มาสเตอร์รูม
ห้องที่สอง เล็กกว่าหน่อย ใช้ห้องน้ำในส่วนรับแขก เสมือนเป็นห้องนอนแขก หรือลูก
เดินออกไประเบียง มีที่สำหรับตากผ้า แต่ระเบียงที่นี่ มีกระจกให้ปิดได้รอบนะ ไว้กันลมจ้า
เป็นไงคะ นึกภาพตาม ฟังดูดีเนอะ น่าอยู่ แต่มันไม่ใช่!
ในความเป็นจริงคือ นางกั้นห้องค่ะ โซนระเบียงตากผ้า แคทตากไม่ได้ นางทำเป็นห้องนอน ปล่อยให้คนเช่า
ส่วนห้องที่แคทนอน คือ ......... ห้องรับแขกจ้า นางเอาม่าน กั้น เอาตู้บัง ตั้งฉากแบ่งได้อีกสองห้อง
น้ำตาตกใน ตอนที่ต้องจ่ายค่าห้อง (อีม่านกั้น ในห้องรับแขกนั่นแหล่ะ) สัปดาห์ละ 130 ดอลล์ (ดอลล์ละ 33 บาท)
ล่วงหน้า สองสัปดาห์ มัดจำอีกสอง สัปดาห์ ยังไม่จบ มีค่ามัดจำกุญแจห้องอีก 100 ดอลล์ รวมเป็น 620 ดอลล์
คือมีเงินติดกระเป๋า มาแค่ พันเดียวไง จ่ายค่าห้อง เกินครึ่งไปและ ชีวิตที่เหลือ เอาไงฟะ
วันแรก รอดค่ะ เพื่อนเลี้ยง ทั้งวัน บวกพาเที่ยว รอบเมือง
โทรกลับบ้าน บอกพ่อ กับ แม่ว่า มาถึงแล้วนะ สบายดี ไม่ต้องห่วง
พ่อบอกว่า ไม่ไหวก็กลับบ้านเรานะลูก ( คือ ไม่ได้แล้วไง เงินไม่พอซื้อตั๋วกลับ ต้องพยายามดิ้นรนอยู่ต่อไป)
วันที่สอง เอาล่ะสิ กินที่ไหน อะไร ยังไง หันไปเจอ 7/11 ค่ะ (ใครจะมาออส อ่านไปเรื่อยๆนะ แล้วจะรู้ว่า เซเว่นแมร่ง แพงมาก)
เดินสำรวจ ทั่วร้าน ชั่งใจอยู่นาน กินไรดีฟะ นับเหรีญในกระเป๋า สรุป ซื้อนมกล่องเล็กมาค่ะ ราคา 1.50
แซนวิส อีกหนึ่งอัน 4.50 พร้อมทั้ง เดินไปนั่งเล่นที่เก้าอีใน พาร์ค ซึมซับ บรรยากาศ ฟินๆของปลายเดือนสิงหา ใบไม้ปลิวไปตามลม ที่พัดเบาๆ ค่อยๆบรรจงแกะนมออกดื่ม พร้อมทั้ง แซนวิสครึ่งชิ้น
แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก
อีนกซีกรู อีนางนวล อีนกเวร มันทำลายบรรยากาศ
ด้วยการล้อมวง บางตัวพยายามกระเถิบตัวมาใกล้ๆ กล่องแซนวิส ที่วางไว้
บางตัว บินไปมา เตรียมโฉบแซนวิสในมือ
(ตรูเข้าใจแล้ว ที่น้องเคยเตือน ระวังนกนางนวลนะพี่ T T )
สรุป มื้อนั้นผ่านไปด้วยการระแวด ระวัง บวกระแวง กับนมครึ่งกล่องและแซนวิส ครึ่งชิ้น
อีกครึ่งนึงเซฟไว้ มื้อเย็นค่ะ
ระหว่างวันก็คร่ำเคร่งกับการหางาน
ต้องบอกก่อนนะคะ แคท ค่อนข้างโชคดีกว่าคนหลายๆคนมาก เนื่องจาก
แคททำงานโรงแรม ที่มีร้านอาหารชื่อดังระดับโลก ที่มีเชฟฝีมือระดับพระกาฬ เป็นชาวออสเตรเลีย
ผู้มีพระคุณ เรียกได้ว่าเป็นผู้ให้ชีวิตเลยก็ว่าได้ เป็นทั้งหัวหน้า เป็นทั้งครู และเป็นผู้ให้อนาคต ต้องขอกราบแทบเท้า เชฟและคู่ชีวิต ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ตอนเชฟรู้ว่าจะมาออสเตรเลีย เชฟช่วย แนะนำงาน ฝากฝังงาน พร้อมทั้งออกจดหมายรับรองให้ด้วย
อ้าว ทำไม มีคนฝากงานแล้วยังต้องหางานอยู่อีก
มันไม่ใช่ได้เลยสิคะ การจะทำงานที่นี่ต้องมี เลขประจำตัวผู้เสียภาษีก่อน ซึ่งใช้เวลาในการขอ ประมาณหนึ่งสัปดาห์
ความควาย มาค่ะ วันนี้วันศุกร์ ยื่นขอไป ติดเสาร์ อาทิตย์
โรงเรียน โรงเรียน ย้ำ โรงเรียน(เสียงสูงปรี๊ด) เปิดเทอมวันจันทร์ มันกระชั้นชิดไปมั๊ย พี่ไม่มีเงิน พี่ไม่มีงาน แล้วยังไง พี่ต้องไปเรียน
แต่ด้วยความเห็นใจ บวกสมเพช ร้านเพื่อนขาดพนักงานเสริฟค่ะ
พระเจ้าเข้าข้างเราแล้ว สองวันก็เอา ดีกว่าอดตาย
ตกปากรับคำไป ร้านต้องนั่งรถไฟไปค่ะ ไปถึงก็ทำตัวเป็นเด็กดอย นั่งคอย เจ้าของร้านมารับ
คิดในใจ เอาตรูไปขาย ตรูก็ไม่รู้เรื่อง ที่ไหนฟะเนี่ย
สรุปทำงาน ไปสองวัน ได้กินข้าวฟรี แต่เงินนี่สิ ต้องเอาเงินมาจ่าย ค่าห้อง สัปดาห์ต่อไป
กลับเข้าเมืองมา
พร้อมกับ เปิดเทอมวันแรก
เรียนไป หิวไป พักกลางวัน เพื่อนๆมีข้าวกล่อง บางคนออกไปซื้อข้าวกิน
แคทก็ไปบ้างค่ะ แต่ไม่รู้จักทาง เลยเข้า เซเว่นที่เดิม ได้ช๊อกโกแลตลดราคามาสองแทม่ง สามดอลล์
ให้ทายค่ะ กินกี่มื้อ
แคท กินครึ่งแท่ง ตอนเที่ยง แล้วก็น้ำก๊อกตาม อีกครึ่ง ตอนเย็น ตามด้วยน้ำก๊อกเช่นเดิม
ส่วนแท่งที่สอง เหมือนเดิมในวันถัดไป
ถาม มาออสมันลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ จริงๆมันไม่ขนาดนั้นค่ะ แต่ด้วยความที่ไม่มีทุนมา ไม่มีงาน
และกลัวไม่มีตังค์จ่ายค่าที่ซุก หัวนอน
ที่นี้ ตอนนี้เปิดแผนที่เป็นแล้ว มันถึงเวลาต้องไปสมัครงานจ้า เป็น กูเกิลแมพ เดินตาม ไม่กล้านั่งรถเมล์ แพง ไม่อยากเสียตังค์ ประกอบกับกลัวหลง
แต่สุดท้าย หลงค่ะ เดินเลย ไปเป็นกิโล
เดินเข้าไปในร้าน บอกเค้า เรามาหาคนชื่อหลุย คนที่เราบอก เดินหายไปในครัวค่ะ
ซักพักเดียวเท่านั้น มีเชฟ อืนเดีย เคราดก เดินมาจับ พร้อมพูดทักทาย
บลา บลา บลา @ @ คือ เด๋ว ช้า ช้าๆ ฟังไม่ทันจ้า
สรุปคุยไปคุยมา เชฟส่งต่อให้ไปสัมภาษณ์งานกับผู้จัดการ แผนกเสิร์ฟอาหาร
ขออนุญาติ ค้างไว้เท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะรีบมาเล่าต่อ
อยู่ต่างแดน เหงามั๊ย
เหงามั๊ย หลายคนอาจมีคำถาม
ขอแทนตัวว่า แคท นะคะ
ตัวผู้เขียนเอง ตอนนี้อยู่ไกลบ้าน ในดินแดนที่มีจิงโจ้กระโดดไปมา โคอาล่า เดินเกลื่อนเมือง
ฮ่า ฮ่า นั่นมันในจินตนาการค่ะ
เรื่องจริงคือ ผู้เขียน อยู่ที่ประเทศ ออสเตรเลีย ในตัวเมืองที่เรียก ว่าซิดนีย์
สวรรค์ของนักช๊อป แบรนด์เนม
กว่าจะเจอจิงโจ้อย่างที่ จินตนาการไว้ ต้องไปดูที่สวนสัตว์ค่ะ
อย่าคิดว่าแคท ดับฝันนักอ่าน นักท่องเที่ยวธรรมชาตินะคะ
จิงโจ้ป่ายังมีอยู่ทั่วไป เพียงแต่ต้องออกนอกเมืองไปหน่อยเท่านั้นเอง
ตัวแคทเอง ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร (เอ๊ะ ไม่รวยแล้วมาอยู่ต่างแดนได้ไง)
นั่นเพราะความกระ
ตอนเด็กๆ เห็นลุง เห็นน้า ไปเมืองนอกกลับมา
ตื่นตาตื่นใจ หรูจัง ไฮโซ แต่ไม่คิดอาจเอื้อม ด้วยเจียมตน เราไม่รวยอย่างใครเค้า
แคทโตมากับครอบครัวคนจีน พอมีอันจะกิน (เน้นย้ำ ครอบครัวมี แต่แคทไม่มี ทำไมล่ะ นั่นสิ )
เหตุเกิดมาว่า คุณแม่ของแคท เป็นคุณหนูไฮโซ พบรักกับ คุณพ่อ ซึ่งเป็นคนไทย ผิวคล้ำ (นิยายเกาหลีชัดๆ สาวสวยกับหนุ่มขี้เหร่)
เท่านั้นแหล่ะค่ะ ประกาศิตฟ้าฟาด สองครอบครัวมิอาจเข้ากันได้ ความเศร้าจึงบังเกิดผลที่เรา
โตมาในดงคนจีน ขาว ซ้ายขาว ขวาขาว หันมองตัวเรา โอ้อนิจจา ข้าวนอกนาตัวจริง
ถ้าเกิดทันเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ต้องเคยเห็น ตุ๊กตายาง เด็กนิโกรตัวดำนั่งร้องไห้ผมหยิกหยอย บีบแล้วดัวปี๊บๆ
นั่นแหล่ะค่ะ แกะดำในฝูงแกะขาว อีกาบินหลงฝูง จึงมีชื่อเรียกน่ารักๆ แปลเป็นไทยว่าอีดำค่ะ
กลับมาๆ นอกเรื่องไปยาว
การได้มาอยู่ต่างแดน เหตุเกิดจาก เพื่อน เพื่อนไฮโซอีกเช่นเคย โปรไฟล์ดี
เรียนจบ มาจากสวิสเซอร์แลนด์ ทำงานเป็นเชฟ
ส่วนแคท ตอนนั้นทำงานโรงแรมค่ะ พอได้พบปะ ชาวต่างชาตฺ มากหน้าหลายตา
ภาษาไม่ต้องพูดถึง คุยกันเมื่อยมือค่ะ อาศัยใจกล้า น่าด้าน
มาถึงตรงนี้ ต้องกราบขอบพระคุณ คุณเพื่อน ผู้จุดประกาย ให้มาเฉิดฉายขี่จิงโจ้ที่นี่
ด้วยคำพูดเล็ก และความอวดเก่ง ทะเยอทะยาน อดได้ อายไม่ได้
เพื่อนถามว่า จะอยู่ทำงานในไทยไปอีกนานมั๊ย (นั่นสิ )
แล้วจะทำงาน อย่างนี้ได้อีกกี่ปี (เออว่ะ)
บอก เค (ชื่อแทนตัวเพื่อน) ไปว่า อยากไปเมืองนอกเหมือนกัน แต่กลัวไม่รอด
เค ถามต่อ ไม่เคยลอง จะรู้ได้ไง ( จริงของ)
จากนั้น นังแคท ปากรั่วค่ะ แคทกำลังคิดๆอยู่ว่าจะไปออสเตรเลีย (แหม อวดบ้าง เด๋วหาว่าไม่มีที่ไป)
เอาแล้ว กระบวนการ อดได้ อายไม่ได้เริ่มจ้า
ปากรั่ว พร้อมกระเป๋าตังค์ก็รั่ว จะไปยังไงวะเนี่ยตรู
เหตุการณ์ ต่อมายังตอกย้ำใจมากมาย
เมื่อเจอกันอีกครั้ง
คุณเค ไม่ลืมค่ะ เฮ้ย!!!!
ไหนว่าจะไป ออสเตรเลียไง ไม่ไปแล้วเหรอ
จะไปเร็วๆนี้แหล่ะ ใกล้แล้ว
ยังจ้า ยัง ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการใดๆทั้งนั้นเลย T T
รีบค้นหาวิธี อย่างไว ทำยังไง จะได้ไปเหยียบแดนจิงโจ้
ด้วยอายุอานาม ที่เดินไปมา น้องๆยกมือไหว้กันเป็นแถว
อากู๋ช่วยได้ค่ะ สรุปแคทเลือกวิธีให้เอเจ้นท์ ช่วยเดินเรื่องวีซ่าให้
เอเจ้นท์ที่แคทเลือก ค่อนข้างแพง แต่สะดวก โยนทุกเรื่องให้เอเจ้นท์ทำค่ะ เรานั่งกระดิกเท้ารอ
ตกลงว่า แคท ผู้ซึ่งเกลียดการเรียนเป็น ชีวิตจิตใจ ทำยังไงก็ได้ ให้จบเร็วที่สุด (เกลียด แต่เรียนจบ นะเธอ)
มาออสด้วยวีซ่านักเรียนจ้า สมเหตุ สมผลที่สุด คิดสั้นมาก กะว่าเรียนภาษา จะได้เก่งๆ
กลับไปทำงานเลื่อนตำแหน่ง นั่นไง ยังไม่เห็นความก้าวหน้าอีก ถ้าคุณ เค รู้ คงหัวเราะฟันโยก
ผลพวงจากวีซ่านักเรียน คือค่าเทอม !!!! มันแพงมากกกกกก !!!!! (แอบคิดว่าเอเจ้นท์ บวกเยอะเกินไปนะ 55)
มิได้จ่ายเป็นเทอมนะจ๊ะ จ่ายเป็นรายสัปดาห์
ค่าประกันสุขภาพ
ค่าวีซ่า
บวกกับ โชคเข้าข้าง ค่าเงินออส สูงสุดในรอบหลายปีจ้า
หาทุกวิถี แถ ขูด ครืดคราด จน
แท๊ แด เรามายืนอยู่ที่ออสเตรเลียแล้วจ้า
จำวินาทีที่ ที่พ่อกับแม่มาส่งได้ ดูเค้าเป็นห่วง สภาพลูกสาวที่ไม่ค่อยมีอันจะกินได้
เราหันไปโบกมือ ตอนเดินผ่านด่านตรวจ พร้อมส่งสายตา บอกว่าไม่ต้องห่วง ลูกสาวเก่งอยู่แล้ว
ในใจตรู เนี่ยสิ โหวงเหวง ว้าวุ่น ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน
น่ากลัว เดินทางไหนฟะ เป๋าหนักไปมั๊ย
จะซื้อเบอเกอร์กินเป็นรึเปล่า
สุดท้ายก็ยัดตัวเอง ขึ้นเครื่องพร้อมความรู้สึก กระอักกระอ่วน
ขึ้นเครื่องครั้งแรก เมาเครื่อง ิบ อ๋าย ค่ะ
ดีหน่อยที่มีเพื่อนอยู่ที่นี่ หนึ่งคน นี่คือบุคคลที่สอง ที่ต้อง กราบงามๆ จากใจ
นัท จัดแจงหาที่อยู่ไว้รอ มายืนรอรับหน้า สถานีรถไฟ
ห๊าาาาาาาาา เสียงยาว รถไฟ ตรูมาเครื่อง
อีแคทหาทาง งมมาค่ะ ซื้อตั๋วรถไฟมาลงที่สถานีเซ็นทรัล
ทุกวันนี้ยัง งง มายังไงฟะ
มาถึงเข้าที่พักค่ะ สืบทราบมาคร่าวๆถึงลักษณะที่พัก อันแสนหดหู่ ของที่นี่มาแล้ว
มันเป็นเยี่ยงนั้น น้ำตาจะไหล
นึกสภาพนะคะ เหมือนหนังฝรั่งเลย เปิดประตูห้องมา เจอห้องนั่งเล่น เดินไปอีกหน่อย มีห้องครัวแบ่งเป็นสัดส่วน
มีห้องน้ำ สำหรับแขก ห้องนอนมีสองห้อง
ห้องแรกใหญ่ค่ะ มีห้องน้ำในตัว เรียกกันว่า มาสเตอร์รูม
ห้องที่สอง เล็กกว่าหน่อย ใช้ห้องน้ำในส่วนรับแขก เสมือนเป็นห้องนอนแขก หรือลูก
เดินออกไประเบียง มีที่สำหรับตากผ้า แต่ระเบียงที่นี่ มีกระจกให้ปิดได้รอบนะ ไว้กันลมจ้า
เป็นไงคะ นึกภาพตาม ฟังดูดีเนอะ น่าอยู่ แต่มันไม่ใช่!
ในความเป็นจริงคือ นางกั้นห้องค่ะ โซนระเบียงตากผ้า แคทตากไม่ได้ นางทำเป็นห้องนอน ปล่อยให้คนเช่า
ส่วนห้องที่แคทนอน คือ ......... ห้องรับแขกจ้า นางเอาม่าน กั้น เอาตู้บัง ตั้งฉากแบ่งได้อีกสองห้อง
น้ำตาตกใน ตอนที่ต้องจ่ายค่าห้อง (อีม่านกั้น ในห้องรับแขกนั่นแหล่ะ) สัปดาห์ละ 130 ดอลล์ (ดอลล์ละ 33 บาท)
ล่วงหน้า สองสัปดาห์ มัดจำอีกสอง สัปดาห์ ยังไม่จบ มีค่ามัดจำกุญแจห้องอีก 100 ดอลล์ รวมเป็น 620 ดอลล์
คือมีเงินติดกระเป๋า มาแค่ พันเดียวไง จ่ายค่าห้อง เกินครึ่งไปและ ชีวิตที่เหลือ เอาไงฟะ
วันแรก รอดค่ะ เพื่อนเลี้ยง ทั้งวัน บวกพาเที่ยว รอบเมือง
โทรกลับบ้าน บอกพ่อ กับ แม่ว่า มาถึงแล้วนะ สบายดี ไม่ต้องห่วง
พ่อบอกว่า ไม่ไหวก็กลับบ้านเรานะลูก ( คือ ไม่ได้แล้วไง เงินไม่พอซื้อตั๋วกลับ ต้องพยายามดิ้นรนอยู่ต่อไป)
วันที่สอง เอาล่ะสิ กินที่ไหน อะไร ยังไง หันไปเจอ 7/11 ค่ะ (ใครจะมาออส อ่านไปเรื่อยๆนะ แล้วจะรู้ว่า เซเว่นแมร่ง แพงมาก)
เดินสำรวจ ทั่วร้าน ชั่งใจอยู่นาน กินไรดีฟะ นับเหรีญในกระเป๋า สรุป ซื้อนมกล่องเล็กมาค่ะ ราคา 1.50
แซนวิส อีกหนึ่งอัน 4.50 พร้อมทั้ง เดินไปนั่งเล่นที่เก้าอีใน พาร์ค ซึมซับ บรรยากาศ ฟินๆของปลายเดือนสิงหา ใบไม้ปลิวไปตามลม ที่พัดเบาๆ ค่อยๆบรรจงแกะนมออกดื่ม พร้อมทั้ง แซนวิสครึ่งชิ้น
แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก
อีนกซีกรู อีนางนวล อีนกเวร มันทำลายบรรยากาศ
ด้วยการล้อมวง บางตัวพยายามกระเถิบตัวมาใกล้ๆ กล่องแซนวิส ที่วางไว้
บางตัว บินไปมา เตรียมโฉบแซนวิสในมือ
(ตรูเข้าใจแล้ว ที่น้องเคยเตือน ระวังนกนางนวลนะพี่ T T )
สรุป มื้อนั้นผ่านไปด้วยการระแวด ระวัง บวกระแวง กับนมครึ่งกล่องและแซนวิส ครึ่งชิ้น
อีกครึ่งนึงเซฟไว้ มื้อเย็นค่ะ
ระหว่างวันก็คร่ำเคร่งกับการหางาน
ต้องบอกก่อนนะคะ แคท ค่อนข้างโชคดีกว่าคนหลายๆคนมาก เนื่องจาก
แคททำงานโรงแรม ที่มีร้านอาหารชื่อดังระดับโลก ที่มีเชฟฝีมือระดับพระกาฬ เป็นชาวออสเตรเลีย
ผู้มีพระคุณ เรียกได้ว่าเป็นผู้ให้ชีวิตเลยก็ว่าได้ เป็นทั้งหัวหน้า เป็นทั้งครู และเป็นผู้ให้อนาคต ต้องขอกราบแทบเท้า เชฟและคู่ชีวิต ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ตอนเชฟรู้ว่าจะมาออสเตรเลีย เชฟช่วย แนะนำงาน ฝากฝังงาน พร้อมทั้งออกจดหมายรับรองให้ด้วย
อ้าว ทำไม มีคนฝากงานแล้วยังต้องหางานอยู่อีก
มันไม่ใช่ได้เลยสิคะ การจะทำงานที่นี่ต้องมี เลขประจำตัวผู้เสียภาษีก่อน ซึ่งใช้เวลาในการขอ ประมาณหนึ่งสัปดาห์
ความควาย มาค่ะ วันนี้วันศุกร์ ยื่นขอไป ติดเสาร์ อาทิตย์
โรงเรียน โรงเรียน ย้ำ โรงเรียน(เสียงสูงปรี๊ด) เปิดเทอมวันจันทร์ มันกระชั้นชิดไปมั๊ย พี่ไม่มีเงิน พี่ไม่มีงาน แล้วยังไง พี่ต้องไปเรียน
แต่ด้วยความเห็นใจ บวกสมเพช ร้านเพื่อนขาดพนักงานเสริฟค่ะ
พระเจ้าเข้าข้างเราแล้ว สองวันก็เอา ดีกว่าอดตาย
ตกปากรับคำไป ร้านต้องนั่งรถไฟไปค่ะ ไปถึงก็ทำตัวเป็นเด็กดอย นั่งคอย เจ้าของร้านมารับ
คิดในใจ เอาตรูไปขาย ตรูก็ไม่รู้เรื่อง ที่ไหนฟะเนี่ย
สรุปทำงาน ไปสองวัน ได้กินข้าวฟรี แต่เงินนี่สิ ต้องเอาเงินมาจ่าย ค่าห้อง สัปดาห์ต่อไป
กลับเข้าเมืองมา
พร้อมกับ เปิดเทอมวันแรก
เรียนไป หิวไป พักกลางวัน เพื่อนๆมีข้าวกล่อง บางคนออกไปซื้อข้าวกิน
แคทก็ไปบ้างค่ะ แต่ไม่รู้จักทาง เลยเข้า เซเว่นที่เดิม ได้ช๊อกโกแลตลดราคามาสองแทม่ง สามดอลล์
ให้ทายค่ะ กินกี่มื้อ
แคท กินครึ่งแท่ง ตอนเที่ยง แล้วก็น้ำก๊อกตาม อีกครึ่ง ตอนเย็น ตามด้วยน้ำก๊อกเช่นเดิม
ส่วนแท่งที่สอง เหมือนเดิมในวันถัดไป
ถาม มาออสมันลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ จริงๆมันไม่ขนาดนั้นค่ะ แต่ด้วยความที่ไม่มีทุนมา ไม่มีงาน
และกลัวไม่มีตังค์จ่ายค่าที่ซุก หัวนอน
ที่นี้ ตอนนี้เปิดแผนที่เป็นแล้ว มันถึงเวลาต้องไปสมัครงานจ้า เป็น กูเกิลแมพ เดินตาม ไม่กล้านั่งรถเมล์ แพง ไม่อยากเสียตังค์ ประกอบกับกลัวหลง
แต่สุดท้าย หลงค่ะ เดินเลย ไปเป็นกิโล
เดินเข้าไปในร้าน บอกเค้า เรามาหาคนชื่อหลุย คนที่เราบอก เดินหายไปในครัวค่ะ
ซักพักเดียวเท่านั้น มีเชฟ อืนเดีย เคราดก เดินมาจับ พร้อมพูดทักทาย
บลา บลา บลา @ @ คือ เด๋ว ช้า ช้าๆ ฟังไม่ทันจ้า
สรุปคุยไปคุยมา เชฟส่งต่อให้ไปสัมภาษณ์งานกับผู้จัดการ แผนกเสิร์ฟอาหาร
ขออนุญาติ ค้างไว้เท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะรีบมาเล่าต่อ