แชร์ประสบการณ์การไปเรียนภาษาที่เมลเบิร์น แบบความรู้แน่น ๆ

สวัสดีครับ กระทู้นี้ผมอยากเขียนเพื่อแชร์ประสบการณ์การไปเรียนภาษาที่เมลเบิร์น โดยมีที่มาที่ไปจากการที่เพื่อนของผมหลาย ๆคนที่มีความสนใจจะไปเรียนภาษาต่างประเทศ ก็จะทักแชทมาถามรายละเอียดของค่าใช้จ่าย ความเป็นอยู่ การหางาน ผมก็พยายามตอบเพื่อนไปอย่างละเอียดและพยายามตอบให้มากกว่าคำถามที่เพื่อนถามเสียอีก เพราะรู้ว่าตอนเวลาที่ผมกำลังจะตัดสินใจมาเรียนก็อยากได้ข้อมูลเยอะ ๆเหมือนกันและก็มีเพื่อน ๆถามผมมาตั้งแต่เริ่มไปจนกระทั่งตอนนี้ผมกลับมาอยู่ไทยได้สักระยะหนึ่งแล้ว
     ความอยากไปเรียนภาษาของผมเริ่มจากหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ทำงานเป็นวิศวกรในโรงงานมาได้สักระยะหนึ่ง โดยที่ผมรู้สึกว่าภาษาอังกฤษคือปัญหาสำหรับผมมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่ตอนเรียนก็ไม่เคยได้เกรดภาษาอังกฤษเกินเกรด C พอเริ่มหางานก็เป็นปัญหาอีกเพราะทำให้ตัวเลือกในการหางานน้อยลง ประจวบกับเบื่องานที่ทำและคิดว่าถ้าได้มีโอกาสไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศจะทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆให้กับชีวิต


1.1 การเลือกประเทศและเมือง
     การเลือกประเทศที่จะไปเรียน โดยมีเกณฑ์คือ ต้องเป็นประเทศที่ผมสามารถทำงานหารายได้เลี้ยงตัวเองระหว่างเรียนได้และมีค่าเรียนที่ไม่เกินงบที่ตั้งไว้ โดยมี 3 ตัวเลือก คือ 1. นิวซีแลนด์ 2.ออสเตรเลีย 3.อังกฤษ ผมเลือกออสเตรเลียเพราะมีค่าเรียนที่ถูกกว่านิวซีแลนด์และอังกฤษ
     ส่วนเมือง ผมจะเลือกเมืองที่เป็นเมืองขนาดใหญ่ จะได้มีงานให้เลือกได้เยอะ แต่ก็จะต้องแลกกับการที่มีคู่แข่งเยอะตามมาด้วยเช่นกัน และตัวเลือกของผมก็คือ ซิดนีย์ เมลเบิร์น บริสเบน เพิร์ท และสุดท้ายผมก็เลือกเมลเบิร์น เพราะคิดว่ามีคนไทยอยู่เยอะรองจากซิดนีย์น่าจะมีงานให้เลือกพอสมควร

1.2 ระยะเวลาที่ต้องการไปเรียน
     ตอนแรกผมตั้งใจว่าอยากจะไปเรียนภาษาสัก 6 เดือนแต่โดนที่บ้านห้ามไว้เพราะที่บ้านบอกว่าเวลามันสั้นไป เลยเปลี่ยนเป็นลงเรียนภาษา 1ปีแทน และพอไปเรียนจริงๆแล้วผมกับคิดว่าการลงเรียนภาษาสัก 6 เดือนและต่อด้วยคอร์สดิปโพลม่าน่าจะดีกว่า เพราะการลงเรียนภาษาอย่างเดียวนาน ๆมันทำให้ผมเบื่อ

1.3 งบประมาณของค่าใช้จ่าย
     ผมตั้งบประมาณไว้ไม่เกิน 4-5 แสนบาทเพราะผมมีเงินเก็บอยู่ประมาณหนึ่ง ถ้าจะต้องขอยืมจากพ่อแม่ก็คงไม่มากจนเกินไป (ยืมหรือเปล่าไม่แน่ใจ 55555)

2.1 การเลือกเอเจนซี่
  จริง ๆแล้วการสมัครเรียนเองก็ไม่ยากจนเกินไป แต่ตอนนั้นผมทำงานอยู่ต่างจังหวัดก็เลยไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่ จึงเลือกใช้บริการจากเอเจนซี่ ซึ่งเอเจนซี่ก็มีหน้าที่ดำเนินทุกอย่างให้กับเราทั้งติดต่อโรงเรียน ดำเนินการเรื่องเอกสารต่างๆ ซึ่งแต่ละเอเจนซี่ก็พยายามแนะนำโรงเรียนที่เขาได้เปอร์เซ็นต์จากโรงเรียนเยอะๆ แต่เอเจนซี่ที่ผมเลือกคือแบบไม่ตื้อเหมือนขายของจนเกินไปและตอบต้องคำถามเราทุกครั้งที่เราถามไป

2.2 การเลือกโรงเรียน
โรงเรียนจะมี 4 แบบ คือ
1. โรงเรียนภาษาเอกชนขนาดเล็ก ค่าเรียนประมาณ $150 ขึ้นไปต่อสัปดาห์ สภาพตึกเรียนก็อาจจะมีขนาดเล็ก คล้ายๆโรงเรียนภาษาตามห้างสรรพสินค้าในไทย โรงเรียนแบบนี้จะเหมาะกับการลงเรียนเพื่อเอาวีซ่าแต่ไม่เน้นเรียนมากนะ อาจจะเรียน 2-3 วันต่อสัปดาห์ เน้นเอาเวลาไปทำงานหาเงินมากกว่า
2. โรงเรียนภาษาเอกชนขนาดกลางและใหญ่ ค่าเรียนประมาณ $190 - 260 ต่อสัปดาห์ ก็จะมีอาคาร ห้องเรียน อุปกรณ์การสอน ที่ทันสมัยและครบครัน จะมีการแบ่งห้องเรียนที่เหมาะสม ประมาณห้องละไม่เกิน 10 คน
3. โรงเรียนภาษาแบบ TAFE คือจะมีการสอนทั้งภาษาและวิชาชีพ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล ค่าเรียนประมาณ $ 250 ขึ้นไปต่อสัปดาห์ สภาพโรงเรียนก็มีขนาดใหญ่ ครูผู้สอนก็จะผ่านการควอลิฟายการสอนมาแล้ว
4. โรงเรียนสอนภาษาของมหาวิทยาลัย ค่าเรียนประมาณ $ 350 ขึ้นไปต่อสัปดาห์ คุณภาพการเรียนการสอนดี เหมาะสำหรับคนที่ มีทุนทรัพย์เยอะๆ และต้องการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ
     สรุปคือยิ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงในแบบที่ 2 3 พอจบคอร์สภาษาระดับ upper intermediate ก็สามารถเข้าเรียนต่อดิปโพลม่าที่สถาบันอื่นได้เลย โดยไม่ต้องมีผลสอบ IELTS และผมก็เลยเลือกโรงเรียนแบบที่ 3 คือ TAFE เพราะคิดว่าต้องดีแน่ ๆ เดี๋ยวจะมาเล่ารายละเอียดอีกที่ว่ามันจะดีอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า

2.3 ขั้นตอนการสมัครเรียน
     หลักจากติดต่อเอเจนซี่ และเลือกโรงเรียนที่เราสนใจ เอเจนซี่ก็จะติดต่อไปยังโรงเรียนเพื่อสมัครเรียนให้ หลังจากนั้นก็จะได้ใบตอบรับจากโรงเรียน จากนั้นให้เราก็จ่ายเงินค่าเรียน แล้วก็จะได้ใบยืนยันไปใช้สำหรับการขอวีซ่า รวมทุกอย่างใช้เวลาไม่เกิน 1-2 เดือนเท่านั้น ซึ่งสำหรับการลงเรียนเกิน 10 เดือน ของผมใช้ statement ประมาณ 800,000 บาท

2.4 สรุปค่าใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
1. ค่าเรียน 40 สัปดาห์ เป็นเงิน $9216
2. ค่าอุปกรณ์การเรียน $50
3. ประกันสุขภาพ 13 เดือน $588
4. ค่าจองที่พัก $240
5.ค่าที่พักแบบ Home stay (4 สัปดาห์) เป็นเงิน $1400
6.ค่ารับส่งสนามบิน เป็นเงิน = $140
7. ค่าวีซ่า 16,900 บาท + VFS 600 บาท
8. ค่าตั๋วเครื่องบินขาไปอย่างเดียวประมาณ 15,000 บาท
9. เงินพ็อกเก็ตมันนี่ $3000
รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 430,000 บาท

3. การจัดกระเป๋า
    ก็เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะกับฤดู เนื่องจากเดือนที่ผมกำลังจะไปคือเดือนมีนาคม คือฤดูใบ้ไม้ร่วง อุณหภูมิประมาณ 12 – 24 องศาและพอเดือนมิถุนายนจะเข้าหน้าหนาวซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 5 – 13 องศาซึ่งพอไปอยู่จริงบางวันในตอนเช้าของฤดูหนาวอุณหภูมิอาจลงถึง -1 ก็แล้วแต่ปี สิ่งที่ควรเตรียมคือ เสื้อกันหนาว เสื้อกันฝน และร่ม เพราะในฤดูหนาวอากาศค่อนข้างแปรปรวน มีทั้ง ฝน หนาว และตอนบ่ายอุณหภูมิอาจจะอยู่ที่ประมาณ 20 องศาขึ้นไป และในหน้าร้อนคือเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ก็จะร้อนมาก ๆตอนผมอยู่ก็มีบางวันอุณหภูมิสูงถึง 45 องศา เรียกได้ว่าร้อนเห้ ๆ

4. วันออกเดินทาง
    หลังจากลาออกจากงานก็มีเวลาเตรียมตัวประมาณ 13 วัน ก่อนออกเดินทางก็ค่อนข้างมีเวลาเตรียมข้าวของ อุปกรณ์ และเสื้อผ้า เรียกได้ว่าทุกอย่างพร้อมมากยกเว้นใจ เริ่มมีอาการกลัวเพราะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรก  ชั่งตื่นเต้นอะไรเช่นนี้ ตลอดเวลาบนเครื่องบินก็หลับ ๆตื่น ๆ โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง

5. ชีวิตวันแรกในเมลเบิร์น
     หลังจากเครื่องบินลงจอดจากนั้นก็ไปรับกระเป็าของตัวเองมาแล้ว ก็รีบเดินไปยังร้านขายซิมโทรศัพท์ ซึ่งเดินออกมาจะเจอทันที และผมก็เลือกแบบเติมเงิน $30 ซื้อซิมเสร็จพนักงานก็ทำการเปิดการใช้งานให้ทันทีโดยไม่ต้องร้องขอ พอเสร็จก็ออกจากร้านเดินตามหาคนที่จะมารับ เนื่องจากจ่ายค่ารับส่งสนามบินไปตั้ง $140 แต่ไม่เห็นมีใครมารับเลย ผมก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ที่เหมือนจะมีไว้บริการอะไรซักอย่าง ไม่แน่ใจ คุยกับคุณลุงด้วยภาษางู ๆปลา ๆคุณลุงเขาก็พอจะเข้าใจว่าผมต้องการอะไรคุณลุงก็เลยโทรหาคนที่จะมารับให้ สรุปได้ใจความว่าไม่มีใครมารับผม ให้ผมหาทางไปบ้านโฮสเอง แหม่เพิ่งมาถึงก็ทำให้ใจสั่นซะแล้ว ผมก็เดินวนไปวนมา สุดท้ายก็ใช้บริการพี่ Taxi ซึ่งใคร ๆก็บอกว่ามันแพง แต่พอขึ้นรถปุ๊บก็รีบยื่นที่อยู่ให้คนขับเลย เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และด้วยความที่โชคดีบ้านโฮสอยู่ใกล้สนามบิน เสียค่ารถไปแค่ $30 ถูกกว่าไอค่าจ้างคนมารับตั้งหลายเท่า ไม่รู้ยอมจ่ายไปได้ยังไง พอลงรถเสร็จก็เจอโฮสพอดี ซึ่งออกมายืนรับอยู่หน้าบ้าน ด้วยหน้าตาที่ใจดีและอบอุ่น (หลังจากถึงบ้านโฮส โฮสก็จัดแจกโทรไปขอรีฟันเงินค่าคนไปรับที่สนามบินให้)

6.บ้านโฮส


     หลังจากเข้ามาในบ้านโฮสก็จะแนะนำเกี่ยวกับกฎของบ้าน วิธีการเดินทางไปโรงเรียนพร้อมแผนที่ ก็ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่รีบออกตัวบอกโฮสไปก่อนว่าภาษาผมแย่มากเลยนะ ช่วยพูดช้า ๆหน่อยนะ
โดยเริ่มจากกฎของบ้านนี้คือ
1. ห้ามใช้ครัวทำกับข้าว แต่จะมีตู้เย็นและไมโครเวฟแยกให้ใช้
2. ห้ามอาบน้ำเกิน 10 นาทีต่อครั้ง
3. การซักเสื้อผ้าต้องรอซักรวมกับเพื่อนคนที่อื่น ๆที่อยู่ในบ้านโดยโฮสจะมาเรียกให้เอาผ้าไปใส่เครื่อง อาทิตย์ละ1ครั้ง ซึ่งบางทีกลิ่นของคนอื่นมันช่างแย่ซะเหลือเกิน
4.การใช้อินเตอร์เน็ต ต้องจ่ายอาทิตย์ละ $10 แถมเวลาโฮสไม่อยู่ดึงปลั๊กไฟของโมเดมออกอีกต่างหาก และก็จะมาบ่นกลางโต๊ะอาหารว่าทุกคนใช้อินเตอร์เน็ตเยอะ มีเด็กมาพักตั้ง 4 คนแต่ดันสมัครเน็ตรายเดือนแบบ 80 Gb ครึ่งเดือนก็หมดแล้ว ซึ่งจริง ๆอินเตอร์เน็ตบ้านแบบอันลิมิเต็ดรายเดือนไม่ถึง $100 กำไรแบบเห็น ๆ
5.วันเสาร์และอาทิตย์ก็ห้ามอยู่บ้าน ข้อนี้เขาก็ไม่ได้บอกแต่พอตอนโรงเรียนหยุด ผมก็เจอเคาะประตูบอกว่าอยู่ทำไมแต่ในห้อง เปลืองอินเตอร์เน็ต เอ่อ เอาเข้าไป ผมจ่ายตังอยู่นะเนี่ยไม่ได้มาขออยู่ฟรี
6.ห้ามกินขนมในห้อง แม่เจ้า อันนี้ก็ไม่ได้บอกอีกเหมือนกัน แต่ผมโดนบ่นว่าฉันเห็นเธอไว้ขนมในห้อง กินขนมก็ผิดหรอว้า

     จบไปแลวกับกฎเล็ก ๆน้อย ๆของบ้านหลังนี้ โดยบ้านโฮสนี่ก็แล้วแต่ดวงว่าจะเจอคนแบบไหน ก็มีบ้างคนเจอคนดีๆจนน่าอิจฉา แบบว่าพาไปเที่ยวเหมือนคนในครอบครัว และส่วนใหญ่บ้านโฮสจะอยุ่นอกเมืองซึ่งไกลพอสมควร อย่างของผมใช้เวลาเดินไปขึ้นแทรม 10 นาที รอรถแทรม ขึ้นรถแทรมอีกประมาณ 10 นาทีกว่าจะถึงสถานีรถไฟ รอรถไฟ นั่งรถไฟเข้าเมืองอีก 30 นาที คือต้องดูตารางเวลารถแทรมและรถไฟไว้ล่วงหน้า ถ้าตกรอบรถไฟก็รออีกประมาณ 30 นาที


     มาถึงอาหารการกินของบ้านโฮสคือมี 2 มื้อ คือมื้อเช้าจะเป็น นม ขนมปังและคอร์นเฟลก และอีกหนึ่งมื้อคือมื้อเย็นซึ่งสำหรับผมมันเป็นอะไรที่แย่ เพราะ แทบทุกมื้ออาหารจะประกอบไปด้วยถั่ว ถามว่ากินได้ไหม ก็กินได้ครับแต่มันมาทุกวันเลยนะสิ ซึ่งหน้าก็เป็นแบบนี้


7.การเรียน
     โรงเรียนภาษาของผมเป็นแบบ TAFE ซึ่งผมคิดว่ามันต้องดีมากๆเลย มีรัฐบาลดูแลขนาดนี้ มีโรงเรียนขนาดใหญ่โตอยู่ในเมือง แต่มาพบความจริงว่าตึกสำหรับสอนภาษาได้ปิดไปแล้วเลยมาขอใช้ตึกรวมกับตึกสายช่างยนต์ ทำให้ห้องเรียนมีเพียงแค่ 4 - 5 ห้อง โดยแบ่งเป็น 4 เลเวล ๆละ 1 ห้อง ผมเริ่มจาก Pre-intermediate ซึ่งเป็นห้องต่ำสุดของโรงเรียนนี้นั่นเอง แต่ก็มีบางคนในห้องที่ภาษาแย่กว่าผมมากคือครูสอนพูดอะไรไปเขาไม่ตอบเลยสักคำเพราะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีคลาสสำหรับเขา ซึ่งโรงเรียนอื่นมีห้อง Elementary แถมในแต่ละห้องของโรงเรียนนี้ แต่ละคลาสยังจุนักเรียนไว้ห้องละเกือบ 20 คน แถมเป็นคนไทยไปเกือบครึ่งหนึ่ง จับคู่สนทนายังไงก็ต้องเจอคนไทยละครับ เพราะโรงเรียนนี้มีโปรสมัครเรียน 9 สัปดาห์แถม 1 สัปดาห์นั่นเอง การเรียนช่วงแรกจึงเป็น คนไทยครึ่งคนซาอุดิอาระเบียครึ่ง พออัพคลาสก็กลายเป็น คนไทยครึ่งเวียดนามครึ่ง พอย้ายไปอีกคลาสก็กลายเป็น คนไทยครึ่งคนจีนครึ่ง และคลาสสุดท้ายผมก็เจอคนไทยครึ่งชิลีครึ่ง ชาติอื่น ๆมีหลงเข้ามาน้อยมาก ๆ


     การเรียนจะเป็นแบบเรียน 10 สัปดาห์ โรงเรียนจะหยุดให้ 2 สัปดาห์ เรียนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เริ่มตั้งแต่ 8.30 – 12.45 และจะมีสอบ Present ห้องหน้าเรียนวันพุธสัปดาห์เว้นสัปดาห์ โดยให้หัวข้อมา 1 วันก่อนสอบ ให้เตรียมตัวทำ Power point และมาสอบในวันถัดมา และวันพุธของอีกสัปดาห์จะเป็นการสอบแบบสนทนากลุ่ม โดนจะให้คะแนนตามความสามารถซึ่งจะต้องคอยถามและตอบเพื่อน ๆในกลุ่ม และในทุก ๆวันศุกร์จะเป็นการสอบเนื้อหาประจำสัปดาห์ แกรมม่า ฟัง และเขียน  เกณฑ์การผ่านเลเวลคือ จะมีการสอบใหญ่ทุก 3 สัปดาห์ ซึ่งใน 1 เลเวลจะได้สอบใหญ่ 3 ครั้งและต้องผ่าน 2 ใน 3 ของการสอบ มีพาร์ท ฟัง อ่าน และเขียน และโรงเรียนจะเข้มงวดกับเปอร์เซ็นการมาเรียน ถ้าต่ำกว่า 80% จะโดนเรียกไปคุยและออกใบเตือนทันที

เดี๋ยวผมมาอธิบายมาต่อในเรื่อง การหางานและตำแหน่งงาน ที่พัก และชีวิตความเป็นอยู่

หากเพื่อน ๆมีข้อสงสัย อยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ หากเนื้อหาส่วนไหนผิดพลาดก็ชี้แนะผมได้นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่