เรื่องราวอาจจะยาวนิดนึงนะ
ในวันที่ฉันอ่อนแอและรู้สึกเหงา ใครคนหนึ่งทักฉันมาในไลน์ ฉันได้คุยได้ทำความรู้จักกับเขาผ่านทางข้อความในไลน์ ในวันนั้น หลังคุยกันครั้งแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากหลังคุยเสร็จต่างคนต่างเข้านอนเตรียมตัวทำงานในวันต่อไป วันถัดมาในเวลาเดิมใครคนนั้นทักฉันมาอีก หลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันทุกวันในเวลาเดิมๆจากที่เพียงแค่คุยกันผ่านข้อความในไลน์อย่างเดียว ก็เริ่มมีการคุยแบบเห็นหน้า คุยกันทุกวันในเวลาเดิมๆ หลายๆนาที จนเริ่มมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น เขาบอกว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟนมาได้ประมาณเดือนนึง และเขาก็เคยแต่งงานมาแล้วครั้งนึงแต่ไม่ใช่แต่งกับคนที่เพิ่งเลิกกัน ฉันถามเขาแค่ว่าทำไมอยู่ดีๆมาบอกว่าเคยแต่งงานไม่ได้อยากรู้สักหน่อย เขาบอกกลับมาว่า อยากบอกเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ถ้ารับได้จะได้คุยกันต่อรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉันบอกแค่ว่านั่นมันคืออดีตให้อดีตเป็นบทเรียนสอนเราในการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าดีกว่า แล้วเราก็คุยกันเรื่อยมา จนเขาเริ่มมีการชวนไปเที่ยวด้วยกัน แต่ฉันไม่ได้ตอบตกลงในทันที บอกแค่ว่าขอคิดดูก่อน เพื่อกลับไปสืบให้แน่ใจว่าเขากับแฟนเลิกกันจริงๆมั้ย โดยการแอบเข้าไปส่องในเฟชบุ๊ค จนเจอเฟชบุ๊คของผู้หญิงคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นแฟนเก่า และลองหาไอจีของผู้หญิงคนนั้นจนเจอข้อความในโพสต์บางโพสต์ที่ทำให้แน่ใจว่าเขาเลิกกันแล้วจริงๆ จึงตัดสินใจตอบตกลงไปเที่ยวด้วยกัน เราเริ่มคุยกันในวันที่ 4 สิงหา ผ่านทางไลน์ หลังจากนั้นพัฒนามาเป็นการคุยแบบเห็นหน้า คุยผ่านโทรศัพท์ คุยครั้งละนานๆทุกวันก่อนนอน และในวันที่ 8 ตุลา เราได้เจอกันเป็นครั้งแรกและไปเที่ยวด้วยกันที่ภูทับเบิกและเชียงคาน เขาดูแลเทคแคร์ฉันอย่างดี ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆในแบบที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แต่หลังจากกลับจากเที่ยวในวันนั้นก็แอบหวั่นๆอยู่ในใจว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับฉันต่อ สุดท้ายแล้วหลังจากที่แยกย้ายกัน เขาก็ยังโทรหายังไลน์มาคุยตามปกติ และเราก็ตกลงคบกัน เขาบอกว่าเขาจะไม่ทำให้ฉันเสียใจ ฉันถามเขาว่าถ้าแฟนเก่ากลับมาขอคืนดีจะกลับไปมั้ย? เพราะเขาเคยบอกกับฉันว่า เขาทั้งสองคนจากกันด้วยดี ฝ่ายแฟนเก่าเป็นคนบอกว่าเขาไม่สารถมารถดูแลแฟนเก่าได้ และฝ่ายแฟนเก่าไม่สามารถฝากชีวิตไว้กับเขาได้ ฉันจึงคิดว่านั่นเป็นประโยคสำคัญที่ทำให้เขาไม่กลับไปคืนดีกับแฟนเก่า จึงมีการตกลงร่วมกันว่า ต่างฝ่ายห้ามเอาแต่ใจ ให้ใช้เหตุผลคุยกันเวลามีปัญหา มีอะไรจะไม่ปิดบังกัน ไม่โกหกกัน และที่สำคัญจะต้องซื่อสัตย์และไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาแปลกไป จึงถามเขาไปตรงๆว่ามีอะไรปิดบังรึเปล่า จนเขาบอกกลับมาว่าแฟนเก่าเขาส่งเมล์มาขอคืนดี ฉันถามเขากลับไปว่าได้ตอบเขาไปว่าไง เขาบอกกับฉันว่า เขาบอกปฏิเสธแบบอ้อมๆไป แต่ฝ่ายแฟนเก่ามีการชวนเขาไปทำบุญด้วยกัน โดยอ้างว่าแม่ของแฟนเก่าอยากให้เขาไปด้วยซึ่งแม่ของแฟนเก่ายังไม่ได้รับรู้ว่าทั้งสองเลิกกัน ฉันเห็นว่าเขาเป็นคนชอบทำบุญและไม่อยากให้เขาลำบากใจ จึงอนุญาติให้เขาไปทำบุญกับแฟนเก่า และบอกว่าฉันเชื่อใจเขา เพราะเขากล้าพูดความจริงกับฉัน แต่ในใจก็แอบหวั่นๆ ในวันที่เขาไปทำบุญกันฉันโทรหาเขาเขารับสายและถามฉันกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลและดูเป็นห่วงความรู้สึกฉันเอาซะมากๆว่า "ยังเชื่อใจกันอยู่ใช่มั้ย?" มันทำให้ฉันยิ่งเชื่อใจว่าเขาจะไม่หักหลังฉัน
- [ ] หลังกลับจากทำบุญเขาโทรหาฉันตามปกติ ฉันถามว่าเป็นยังไงบ้าง ได้คุยกับแฟนเก่าไหม เขาเล่าให้ฟังว่า แฟนเก่าเขาบอกว่าขอโทษวันนั้นที่พูดไปเพราะอารมณ์โกรธอารมณ์น้อยใจ เขาบอกกลับไปว่ามันไม่สายไปเหรอ แต่ก็ได้รับความเงียบกลับมาจากแฟนเก่า หลังจากนั้นเราก็คุยกันตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
- [ ] ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ไม่นานเขาเริ่มมีอาการแปลกๆอีก จนต้องซักถามกันพักใหญ่ จึงบอกกลับมาว่า แฟนเก่ามาขอความช่วยเหลือ เรื่องแม่ไม่สบายต้องมารักษาที่ กทม ลำบากเรื่องที่อยู่ แฟนเก่าจะขอให้แม่มาอยู่กับเขาด้วยสักพักเพื่อรักษาตัว แต่เขาไม่รู้ว่าจะนานเท่าไหร่ซึ่งโรคที่แม่ของแฟนเก่าเป็นรักษาไม่หายขาดรักษาได้ตามอาการเท่านั้น และเขาเองไม่กล้าปฏิเสธการขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ เนื่องด้วยทางครอบครัวของแฟนเก่า รวมทั้งตัวแฟนเก่าเองมีบุญคุณกับเขา เขาเองก็อยากทดแทนบุญคุณในเมื่อมีโอกาส เพราะถ้าไม่ทดแทนกันชาตินี้ก็ไม่รู้จะทดแทนกันชาติไหน แต่เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความรู้สึกฉัน ฉันบอกได้แค่ว่าไม่เป็นไร ฉันเชื่อใจเขา เพราะอยากให้เขาสบายใจไม่ต้องคิดมาก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เป็นข้ออ้างของฝ่ายแฟนเก่ารึเปล่า ที่เอาแม่มาอ้าง เพื่อให้ทั้งสองได้กลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะเคยแอบเห็นโพสต์ในไอจีของฝ่ายแฟนเก่าที่โพสต์ ในทำนองอาลัยอาวรณ์ ว่า "คิดถึง แต่เค้าไม่คิดถึง เค้ามีความสุข เค้ามีแฟนใหม่แล้ว" ตั้งแต่ตอนที่เราทั้งสองไปเที่ยวภูทับเบิกและเชียงคานด้วยกัน ฉันรู้สึกเหมือนแฟนเก่ารู้เรื่องราวของฉันกับเขาทุกอย่าง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะรักและเชื่อใจเขาอยู่ตลอด เพียงแค่ได้แง่คิดว่า "อย่าบอกเลิกใครทั้งๆที่ยังรัก เพราะถ้าวันใดที่เราอยากกลับมา มันมีแต่คนเจ็บ" แต่นั่นก็ทำให้ฉันกับเขาได้คุยกันน้อยลง แต่ฉันก็ยังเชื่อใจเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาเองก็เคยถามว่าถ้าเราได้คุยกันน้อยลง จะยังเชื่อใจ จะยังเป็นเหมือนเดิมมั้ย? ฉันบอกกับเขาว่า บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องคุยกันทุกวันก็ได้ แค่เข้าใจกัน เชื่อใจกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน นั่นหมายถึงฉันเข้าใจถึงเหตุจำเป็นที่เกิดขึ้น และกี่ครั้งๆที่มานั่งคิดว่าเขาหลอกฉันรึเปล่า เขาแค่เหงารึเปล่าที่มาคบกับฉัน ตอนที่มีอะไรด้วยกันมันเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า แต่ทั้งหมดที่คิดถูกหักล้างออกไป เพราะการกระทำและคำพูดดีดีที่เขาแสดงออกมา
- [ ] ปลายปี ช่วงเดือนธันวาคม ดูเหมือนอะไรๆจะดีขึ้นปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ฉันถามเขาถึงเรื่องปัญหาของแฟนเก่า เขาบอกเพียงว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วมั้ง แม่เขาก็กลับไปแล้ว ฉันจึงบินจากภูเก็ตไปหาเขาที่ กทม เขาพาฉันไปเที่ยวเขาใหญ่ และวังน้ำเขียว แต่การพบเจอกันครั้งนี้ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเขาคิดอะไรในใจตลอดเวลา แต่สุดท้ายแล้วคำพูดและการกระทำของเขาก็ทำให้ฉันกลับมารู้สึกดี หลังจากที่ฉันบินกลับมาภูเก็ต เราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม แต่อาจจะมีบางวันที่ไม่ได้คุยกันด้วยเหตุที่ว่าเขางานยุ่ง วันศุกร์มีเลี้ยงสังสรรค์กันอยู่ทุกศุกร์ ซึ่งฉันก็ปล่อยเขา ไม่ค่อยโทรหาในวันศุกร์อยู่แล้ว แต่ปกติแล้วเวลาโทรหาถ้าเขาไม่ได้รับสาย จะรีบโทรกลับมาในวันนั้น ไม่เคยปล่อยให้ข้ามคืนข้ามวัน จนถึงในช่วงวันหยุดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเขาเคยบอกว่าคงไม่ได้ลงมาทางใต้ ฉันก็แอบผิดหวังอยู่นิดๆ และก่อนวันหยุดฉันโทรหาเขา แต่เขาไม่รับสายกลับปล่อยให้ฉันคอยการโทรกลับมานานกว่าปกติ เขาโทรกลับหาฉันตอนเกือบเที่ยงคืนบอกว่าขอโทษพอดีมีเลี้ยงสังสรรค์ส่งท้ายปีกันที่ทำงาน และพูดทีเล่นทีจริงว่า พรุ่งนี้เจอกัน ทำให้ฉันแอบดีใจอยู่ไม่น้อย และวันรุ่งขึ้นเขาก็ขับรถมาหาฉันที่ภูเก็ตจริงๆ ฉันพาเขาไปเที่ยวงานคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ชายหาดแถวป่าตอง มีผู้คนมากมายมีการจุดพลุ และมีช่วงที่เกิดพลุล้มพุ่งใส่เข้าหาผู้คน เขาก็ดูแลปกป้องฉันอย่างดี ตอนฉันพาเขาไปเที่ยวตามที่ต่างๆเขาก็ดูแลเทคแคร์ฉันในแบบของสุภาพบุรุษที่น่ารัก ฉันเห็นถึงความอ่อนโยนที่เค้ามีให้ฉัน มันจึงทำให้ฉันมั่นใจว่าเค้ายังเหมือนเดิม แต่ในไอจีของแฟนเก่าก็โพสต์ในทำนองอาลัยอาวรณ์เหมือนเดิม ว่า "ปีใหม่ปีนี้ฉันคงไม่ต้องร้องไห้"
- [ ] หลังผ่านช่วงปีใหม่ไป ดูเหมือนปัญหาเดิมๆจะกลับมาอีก เรื่องแฟนเก่ากับแม่ จนทำให้ฉันเริ่มสงสัยว่าเขายังรักแฟนเก่าอยู่รึเปล่า จึงตัดสินใจคุยเรื่องนี้กันจริงๆจังๆ เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความรู้สึกฉัน ไม่อยากเห็นแก่ตัวที่ปล่อยให้ฉันต้องรอเขาอยู่อย่างนี้ เพราะดูเหมือนฝ่ายแฟนเก่ายังไม่ได้บอกแม่ตัวเองว่าเขาทั้งสองเลิกกันแล้ว แต่จะให้ฝ่ายชายเป็นคนบอกเองมันก็ดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป และเขาเองก็ไม่รู้จะหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้นยังไง เขาอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉันจึงถามย้ำเค้าอีกครั้งว่า เขายังรักแฟนเก่าอยู่รึเปล่า ถ้ายังรักกันก็กลับไปคืนดีกันซะ ฉันไม่เป็นไร ถ้าเขามีความสุขฉันก็ยินดี เขาบอกกับฉันว่าเขาไม่ได้รัก แค่ยังมีความรู้สึกดีๆให้กัน เพราะเขาสองคนคบกันมาตั้งแปดปี ซึ่งฉันก็เข้าใจดีว่าระยะเวลาแปดปีย่อมมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งจากกันด้วยดีก็ยิ่งยากจะลืม ต่างกับฉันที่เพิ่งคบได้แค่ไม่กี่เดือน แต่เขาก็บอกกับฉันว่าถึงจะไม่กี่เดือนก็มีสิ่งดีๆเกิดขึ้น เขามีความรู้สึกดีๆกับฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกันและก็รู้สึกดีมาตลอด เขาไม่อยากให้ต้องเสียความรู้สึกดีดีไปและเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดระหว่างเขากับฉัน เขายืนยันว่าไม่ได้เกิดจากความเหงา หรืออารมชั่ววูบ มันเกิดจากความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้น ฉันบอกแค่ว่าให้เขากลับไปถามตัวเองให้แน่ใจว่าเขารักใครกันแน่ และจะคุยเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เขาก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเขาแค่ยังมีความรู้สึกดีๆกับแฟนเก่าก็แค่นั้น ซึ่งในความคิดของฉัน คำว่ารักกับรู้สึกดีมันต่างกัน ฉันจึงทำได้แค่ให้เวลาเขาจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น และหวังอยู่ในใจว่าแฟนเก่าเขาจะยอมรับความจริงได้สักที หลังจากวันนั้น เราก็ได้คุยกันน้อยลง เพราะเขาบอกว่าแฟนเก่าต้องย้ายมาอยู่ดูแลแม่ที่บ้านของเขาด้วย ฉันเองก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจเพราะเขาเกรงใจแม่ของแฟนเก่าเนื่องด้วยบุญคุณ เลยไปค่อยโทรไปรบกวน แต่เขาก็มีติดต่อมาบ้างก่อนกลับบ้านหลังเลิกงาน ฉันก็โทรหาเขาบ้างในช่วงที่เขาใกล้เลิกงาน จากที่เคยคุยกันทุกวันพอมีเรื่องนี้เข้ามา เราก็ลดการคุยกันเหลือแค่อาทิตย์ละสองสามครั้งครั้งละไม่กี่นาที จนนานเข้ามันทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ชัดเจนในความรู้สึก แต่สำหรับฉันความรู้สึกนั้นยังคงชัดเจนอยู่ตลอด มาถึงเดือนเมษายน ในวันเกิดฉัน เค้าโทรมาอวยพรวันเกิดฉันแต่เช้า ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาอีกครั้ง ด้านแฟนเก่าก็โพสต์ข้อความในทำนองที่ดูเหมือนว่าเธอกำลังวิ่งตามความรักอยู่ ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก หลังจากนั้นฉันคุยเกริ่นๆว่าฉันจะขึ้นไปงานรับปริญญาของอาที่ชลบุรี แต่จะแวะหาเพื่อนใน กทม ก่อน เขาเพียงแค่รับรู้ มันทำให้ฉันเริ่มไม่แน่ใจในท่าที พอถึงวันเดินทาง ฉันโทรหาเขาก่อนขึ้นเครื่อง อยากบอกกับเขาใจแทบขาดว่าฉันคิดถึงและอยากเจอเขามากแค่ไหน แต่กลัวคำตอบที่ได้รับเลยไม่กล้าพูดอะไรออกไป เขาเพียงแค่ถามว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันบอกว่าอยู่ที่สนามบินกำลังจะไป กทม หลังจากนั้นฉันก็ปิดมือถือเดินขึ้นเครื่องไป โดยไม่หวังว่าจะได้เจอเขา พอไปถึงดอนเมือง ฉันเห็นข้อความที่เขาส่งมาบอกว่า "จะมารับ มาถึงแล้วให้โทรหา" เขาพาฉันเดินไปขึ้นรถ หลังจากนั้นเขาก็ดึงฉันเข้าไปกอดแล้วบอกว่าคิดถึง ฉันบอกเขากลับไปแบบเสียงสั่นๆว่าคิดถึงเหมือนกัน อารมณ์อยากจะร้องไห้ แต่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้กลัวเขาไม่สบายใจ เขาพาฉันแวะกินข้าวก่อนไปส่งฉันที่ห้องเพื่อน ระหว่างทางเขาก็ดึงฉันไปกอดอยู่หลายครั้ง มันเป็นครั้งแรกที่ฉันมาถึง กทม แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา วันรุ่งเช้าฉันต้องเดินทางไปที่ชลบุรี เขาอาสาไปส่ง ระหว่างที่เขาขับรถอยู่เขาดึงฉันไปกอดและซบอกไว้ เหมือนสื่อให้รู้ว่าเขาคิดถึงฉันมาก หลังกลับมาถึงภูเก็ตเราก็ยังคุยกับแบบอาทิตย์ละสองสามครั้งครั้งละไม่กี่นาที เหมือนเดิมจนบางครั้งก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยท้อใจและก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ทุกทีว่าเขาน่าจะยังรักแฟนเก่าอยู่ แต่พอช่วงเดือนมิถุนายน จากที่ไม่ได้คุยกันแบบเห็นหน้ากันมานาน ก็เริ่มได้คุยกันแบบเห็นหน้า และเริ่มคุยกันนานมากกว่าปกติ มันทำให้ฉันเริ่มมีความหวังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเขาน่าจะจัดการมันได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เอยปากถามถึงเรื่องนี้ เพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่จะทำให้รู้สึกแย่อีก (มีต่อ)
เคยต้องเป็นมือที่สามในชีวิตใครแบบไม่ได้ตั้งใจมั้ย?
ในวันที่ฉันอ่อนแอและรู้สึกเหงา ใครคนหนึ่งทักฉันมาในไลน์ ฉันได้คุยได้ทำความรู้จักกับเขาผ่านทางข้อความในไลน์ ในวันนั้น หลังคุยกันครั้งแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากหลังคุยเสร็จต่างคนต่างเข้านอนเตรียมตัวทำงานในวันต่อไป วันถัดมาในเวลาเดิมใครคนนั้นทักฉันมาอีก หลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันทุกวันในเวลาเดิมๆจากที่เพียงแค่คุยกันผ่านข้อความในไลน์อย่างเดียว ก็เริ่มมีการคุยแบบเห็นหน้า คุยกันทุกวันในเวลาเดิมๆ หลายๆนาที จนเริ่มมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น เขาบอกว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟนมาได้ประมาณเดือนนึง และเขาก็เคยแต่งงานมาแล้วครั้งนึงแต่ไม่ใช่แต่งกับคนที่เพิ่งเลิกกัน ฉันถามเขาแค่ว่าทำไมอยู่ดีๆมาบอกว่าเคยแต่งงานไม่ได้อยากรู้สักหน่อย เขาบอกกลับมาว่า อยากบอกเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ถ้ารับได้จะได้คุยกันต่อรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉันบอกแค่ว่านั่นมันคืออดีตให้อดีตเป็นบทเรียนสอนเราในการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าดีกว่า แล้วเราก็คุยกันเรื่อยมา จนเขาเริ่มมีการชวนไปเที่ยวด้วยกัน แต่ฉันไม่ได้ตอบตกลงในทันที บอกแค่ว่าขอคิดดูก่อน เพื่อกลับไปสืบให้แน่ใจว่าเขากับแฟนเลิกกันจริงๆมั้ย โดยการแอบเข้าไปส่องในเฟชบุ๊ค จนเจอเฟชบุ๊คของผู้หญิงคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นแฟนเก่า และลองหาไอจีของผู้หญิงคนนั้นจนเจอข้อความในโพสต์บางโพสต์ที่ทำให้แน่ใจว่าเขาเลิกกันแล้วจริงๆ จึงตัดสินใจตอบตกลงไปเที่ยวด้วยกัน เราเริ่มคุยกันในวันที่ 4 สิงหา ผ่านทางไลน์ หลังจากนั้นพัฒนามาเป็นการคุยแบบเห็นหน้า คุยผ่านโทรศัพท์ คุยครั้งละนานๆทุกวันก่อนนอน และในวันที่ 8 ตุลา เราได้เจอกันเป็นครั้งแรกและไปเที่ยวด้วยกันที่ภูทับเบิกและเชียงคาน เขาดูแลเทคแคร์ฉันอย่างดี ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆในแบบที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แต่หลังจากกลับจากเที่ยวในวันนั้นก็แอบหวั่นๆอยู่ในใจว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับฉันต่อ สุดท้ายแล้วหลังจากที่แยกย้ายกัน เขาก็ยังโทรหายังไลน์มาคุยตามปกติ และเราก็ตกลงคบกัน เขาบอกว่าเขาจะไม่ทำให้ฉันเสียใจ ฉันถามเขาว่าถ้าแฟนเก่ากลับมาขอคืนดีจะกลับไปมั้ย? เพราะเขาเคยบอกกับฉันว่า เขาทั้งสองคนจากกันด้วยดี ฝ่ายแฟนเก่าเป็นคนบอกว่าเขาไม่สารถมารถดูแลแฟนเก่าได้ และฝ่ายแฟนเก่าไม่สามารถฝากชีวิตไว้กับเขาได้ ฉันจึงคิดว่านั่นเป็นประโยคสำคัญที่ทำให้เขาไม่กลับไปคืนดีกับแฟนเก่า จึงมีการตกลงร่วมกันว่า ต่างฝ่ายห้ามเอาแต่ใจ ให้ใช้เหตุผลคุยกันเวลามีปัญหา มีอะไรจะไม่ปิดบังกัน ไม่โกหกกัน และที่สำคัญจะต้องซื่อสัตย์และไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาแปลกไป จึงถามเขาไปตรงๆว่ามีอะไรปิดบังรึเปล่า จนเขาบอกกลับมาว่าแฟนเก่าเขาส่งเมล์มาขอคืนดี ฉันถามเขากลับไปว่าได้ตอบเขาไปว่าไง เขาบอกกับฉันว่า เขาบอกปฏิเสธแบบอ้อมๆไป แต่ฝ่ายแฟนเก่ามีการชวนเขาไปทำบุญด้วยกัน โดยอ้างว่าแม่ของแฟนเก่าอยากให้เขาไปด้วยซึ่งแม่ของแฟนเก่ายังไม่ได้รับรู้ว่าทั้งสองเลิกกัน ฉันเห็นว่าเขาเป็นคนชอบทำบุญและไม่อยากให้เขาลำบากใจ จึงอนุญาติให้เขาไปทำบุญกับแฟนเก่า และบอกว่าฉันเชื่อใจเขา เพราะเขากล้าพูดความจริงกับฉัน แต่ในใจก็แอบหวั่นๆ ในวันที่เขาไปทำบุญกันฉันโทรหาเขาเขารับสายและถามฉันกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลและดูเป็นห่วงความรู้สึกฉันเอาซะมากๆว่า "ยังเชื่อใจกันอยู่ใช่มั้ย?" มันทำให้ฉันยิ่งเชื่อใจว่าเขาจะไม่หักหลังฉัน
- [ ] หลังกลับจากทำบุญเขาโทรหาฉันตามปกติ ฉันถามว่าเป็นยังไงบ้าง ได้คุยกับแฟนเก่าไหม เขาเล่าให้ฟังว่า แฟนเก่าเขาบอกว่าขอโทษวันนั้นที่พูดไปเพราะอารมณ์โกรธอารมณ์น้อยใจ เขาบอกกลับไปว่ามันไม่สายไปเหรอ แต่ก็ได้รับความเงียบกลับมาจากแฟนเก่า หลังจากนั้นเราก็คุยกันตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
- [ ] ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ไม่นานเขาเริ่มมีอาการแปลกๆอีก จนต้องซักถามกันพักใหญ่ จึงบอกกลับมาว่า แฟนเก่ามาขอความช่วยเหลือ เรื่องแม่ไม่สบายต้องมารักษาที่ กทม ลำบากเรื่องที่อยู่ แฟนเก่าจะขอให้แม่มาอยู่กับเขาด้วยสักพักเพื่อรักษาตัว แต่เขาไม่รู้ว่าจะนานเท่าไหร่ซึ่งโรคที่แม่ของแฟนเก่าเป็นรักษาไม่หายขาดรักษาได้ตามอาการเท่านั้น และเขาเองไม่กล้าปฏิเสธการขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ เนื่องด้วยทางครอบครัวของแฟนเก่า รวมทั้งตัวแฟนเก่าเองมีบุญคุณกับเขา เขาเองก็อยากทดแทนบุญคุณในเมื่อมีโอกาส เพราะถ้าไม่ทดแทนกันชาตินี้ก็ไม่รู้จะทดแทนกันชาติไหน แต่เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความรู้สึกฉัน ฉันบอกได้แค่ว่าไม่เป็นไร ฉันเชื่อใจเขา เพราะอยากให้เขาสบายใจไม่ต้องคิดมาก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เป็นข้ออ้างของฝ่ายแฟนเก่ารึเปล่า ที่เอาแม่มาอ้าง เพื่อให้ทั้งสองได้กลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะเคยแอบเห็นโพสต์ในไอจีของฝ่ายแฟนเก่าที่โพสต์ ในทำนองอาลัยอาวรณ์ ว่า "คิดถึง แต่เค้าไม่คิดถึง เค้ามีความสุข เค้ามีแฟนใหม่แล้ว" ตั้งแต่ตอนที่เราทั้งสองไปเที่ยวภูทับเบิกและเชียงคานด้วยกัน ฉันรู้สึกเหมือนแฟนเก่ารู้เรื่องราวของฉันกับเขาทุกอย่าง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะรักและเชื่อใจเขาอยู่ตลอด เพียงแค่ได้แง่คิดว่า "อย่าบอกเลิกใครทั้งๆที่ยังรัก เพราะถ้าวันใดที่เราอยากกลับมา มันมีแต่คนเจ็บ" แต่นั่นก็ทำให้ฉันกับเขาได้คุยกันน้อยลง แต่ฉันก็ยังเชื่อใจเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาเองก็เคยถามว่าถ้าเราได้คุยกันน้อยลง จะยังเชื่อใจ จะยังเป็นเหมือนเดิมมั้ย? ฉันบอกกับเขาว่า บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องคุยกันทุกวันก็ได้ แค่เข้าใจกัน เชื่อใจกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน นั่นหมายถึงฉันเข้าใจถึงเหตุจำเป็นที่เกิดขึ้น และกี่ครั้งๆที่มานั่งคิดว่าเขาหลอกฉันรึเปล่า เขาแค่เหงารึเปล่าที่มาคบกับฉัน ตอนที่มีอะไรด้วยกันมันเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า แต่ทั้งหมดที่คิดถูกหักล้างออกไป เพราะการกระทำและคำพูดดีดีที่เขาแสดงออกมา
- [ ] ปลายปี ช่วงเดือนธันวาคม ดูเหมือนอะไรๆจะดีขึ้นปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ฉันถามเขาถึงเรื่องปัญหาของแฟนเก่า เขาบอกเพียงว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วมั้ง แม่เขาก็กลับไปแล้ว ฉันจึงบินจากภูเก็ตไปหาเขาที่ กทม เขาพาฉันไปเที่ยวเขาใหญ่ และวังน้ำเขียว แต่การพบเจอกันครั้งนี้ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเขาคิดอะไรในใจตลอดเวลา แต่สุดท้ายแล้วคำพูดและการกระทำของเขาก็ทำให้ฉันกลับมารู้สึกดี หลังจากที่ฉันบินกลับมาภูเก็ต เราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม แต่อาจจะมีบางวันที่ไม่ได้คุยกันด้วยเหตุที่ว่าเขางานยุ่ง วันศุกร์มีเลี้ยงสังสรรค์กันอยู่ทุกศุกร์ ซึ่งฉันก็ปล่อยเขา ไม่ค่อยโทรหาในวันศุกร์อยู่แล้ว แต่ปกติแล้วเวลาโทรหาถ้าเขาไม่ได้รับสาย จะรีบโทรกลับมาในวันนั้น ไม่เคยปล่อยให้ข้ามคืนข้ามวัน จนถึงในช่วงวันหยุดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเขาเคยบอกว่าคงไม่ได้ลงมาทางใต้ ฉันก็แอบผิดหวังอยู่นิดๆ และก่อนวันหยุดฉันโทรหาเขา แต่เขาไม่รับสายกลับปล่อยให้ฉันคอยการโทรกลับมานานกว่าปกติ เขาโทรกลับหาฉันตอนเกือบเที่ยงคืนบอกว่าขอโทษพอดีมีเลี้ยงสังสรรค์ส่งท้ายปีกันที่ทำงาน และพูดทีเล่นทีจริงว่า พรุ่งนี้เจอกัน ทำให้ฉันแอบดีใจอยู่ไม่น้อย และวันรุ่งขึ้นเขาก็ขับรถมาหาฉันที่ภูเก็ตจริงๆ ฉันพาเขาไปเที่ยวงานคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ชายหาดแถวป่าตอง มีผู้คนมากมายมีการจุดพลุ และมีช่วงที่เกิดพลุล้มพุ่งใส่เข้าหาผู้คน เขาก็ดูแลปกป้องฉันอย่างดี ตอนฉันพาเขาไปเที่ยวตามที่ต่างๆเขาก็ดูแลเทคแคร์ฉันในแบบของสุภาพบุรุษที่น่ารัก ฉันเห็นถึงความอ่อนโยนที่เค้ามีให้ฉัน มันจึงทำให้ฉันมั่นใจว่าเค้ายังเหมือนเดิม แต่ในไอจีของแฟนเก่าก็โพสต์ในทำนองอาลัยอาวรณ์เหมือนเดิม ว่า "ปีใหม่ปีนี้ฉันคงไม่ต้องร้องไห้"
- [ ] หลังผ่านช่วงปีใหม่ไป ดูเหมือนปัญหาเดิมๆจะกลับมาอีก เรื่องแฟนเก่ากับแม่ จนทำให้ฉันเริ่มสงสัยว่าเขายังรักแฟนเก่าอยู่รึเปล่า จึงตัดสินใจคุยเรื่องนี้กันจริงๆจังๆ เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความรู้สึกฉัน ไม่อยากเห็นแก่ตัวที่ปล่อยให้ฉันต้องรอเขาอยู่อย่างนี้ เพราะดูเหมือนฝ่ายแฟนเก่ายังไม่ได้บอกแม่ตัวเองว่าเขาทั้งสองเลิกกันแล้ว แต่จะให้ฝ่ายชายเป็นคนบอกเองมันก็ดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป และเขาเองก็ไม่รู้จะหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้นยังไง เขาอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉันจึงถามย้ำเค้าอีกครั้งว่า เขายังรักแฟนเก่าอยู่รึเปล่า ถ้ายังรักกันก็กลับไปคืนดีกันซะ ฉันไม่เป็นไร ถ้าเขามีความสุขฉันก็ยินดี เขาบอกกับฉันว่าเขาไม่ได้รัก แค่ยังมีความรู้สึกดีๆให้กัน เพราะเขาสองคนคบกันมาตั้งแปดปี ซึ่งฉันก็เข้าใจดีว่าระยะเวลาแปดปีย่อมมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งจากกันด้วยดีก็ยิ่งยากจะลืม ต่างกับฉันที่เพิ่งคบได้แค่ไม่กี่เดือน แต่เขาก็บอกกับฉันว่าถึงจะไม่กี่เดือนก็มีสิ่งดีๆเกิดขึ้น เขามีความรู้สึกดีๆกับฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกันและก็รู้สึกดีมาตลอด เขาไม่อยากให้ต้องเสียความรู้สึกดีดีไปและเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดระหว่างเขากับฉัน เขายืนยันว่าไม่ได้เกิดจากความเหงา หรืออารมชั่ววูบ มันเกิดจากความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้น ฉันบอกแค่ว่าให้เขากลับไปถามตัวเองให้แน่ใจว่าเขารักใครกันแน่ และจะคุยเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เขาก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเขาแค่ยังมีความรู้สึกดีๆกับแฟนเก่าก็แค่นั้น ซึ่งในความคิดของฉัน คำว่ารักกับรู้สึกดีมันต่างกัน ฉันจึงทำได้แค่ให้เวลาเขาจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น และหวังอยู่ในใจว่าแฟนเก่าเขาจะยอมรับความจริงได้สักที หลังจากวันนั้น เราก็ได้คุยกันน้อยลง เพราะเขาบอกว่าแฟนเก่าต้องย้ายมาอยู่ดูแลแม่ที่บ้านของเขาด้วย ฉันเองก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจเพราะเขาเกรงใจแม่ของแฟนเก่าเนื่องด้วยบุญคุณ เลยไปค่อยโทรไปรบกวน แต่เขาก็มีติดต่อมาบ้างก่อนกลับบ้านหลังเลิกงาน ฉันก็โทรหาเขาบ้างในช่วงที่เขาใกล้เลิกงาน จากที่เคยคุยกันทุกวันพอมีเรื่องนี้เข้ามา เราก็ลดการคุยกันเหลือแค่อาทิตย์ละสองสามครั้งครั้งละไม่กี่นาที จนนานเข้ามันทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ชัดเจนในความรู้สึก แต่สำหรับฉันความรู้สึกนั้นยังคงชัดเจนอยู่ตลอด มาถึงเดือนเมษายน ในวันเกิดฉัน เค้าโทรมาอวยพรวันเกิดฉันแต่เช้า ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาอีกครั้ง ด้านแฟนเก่าก็โพสต์ข้อความในทำนองที่ดูเหมือนว่าเธอกำลังวิ่งตามความรักอยู่ ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก หลังจากนั้นฉันคุยเกริ่นๆว่าฉันจะขึ้นไปงานรับปริญญาของอาที่ชลบุรี แต่จะแวะหาเพื่อนใน กทม ก่อน เขาเพียงแค่รับรู้ มันทำให้ฉันเริ่มไม่แน่ใจในท่าที พอถึงวันเดินทาง ฉันโทรหาเขาก่อนขึ้นเครื่อง อยากบอกกับเขาใจแทบขาดว่าฉันคิดถึงและอยากเจอเขามากแค่ไหน แต่กลัวคำตอบที่ได้รับเลยไม่กล้าพูดอะไรออกไป เขาเพียงแค่ถามว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันบอกว่าอยู่ที่สนามบินกำลังจะไป กทม หลังจากนั้นฉันก็ปิดมือถือเดินขึ้นเครื่องไป โดยไม่หวังว่าจะได้เจอเขา พอไปถึงดอนเมือง ฉันเห็นข้อความที่เขาส่งมาบอกว่า "จะมารับ มาถึงแล้วให้โทรหา" เขาพาฉันเดินไปขึ้นรถ หลังจากนั้นเขาก็ดึงฉันเข้าไปกอดแล้วบอกว่าคิดถึง ฉันบอกเขากลับไปแบบเสียงสั่นๆว่าคิดถึงเหมือนกัน อารมณ์อยากจะร้องไห้ แต่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้กลัวเขาไม่สบายใจ เขาพาฉันแวะกินข้าวก่อนไปส่งฉันที่ห้องเพื่อน ระหว่างทางเขาก็ดึงฉันไปกอดอยู่หลายครั้ง มันเป็นครั้งแรกที่ฉันมาถึง กทม แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา วันรุ่งเช้าฉันต้องเดินทางไปที่ชลบุรี เขาอาสาไปส่ง ระหว่างที่เขาขับรถอยู่เขาดึงฉันไปกอดและซบอกไว้ เหมือนสื่อให้รู้ว่าเขาคิดถึงฉันมาก หลังกลับมาถึงภูเก็ตเราก็ยังคุยกับแบบอาทิตย์ละสองสามครั้งครั้งละไม่กี่นาที เหมือนเดิมจนบางครั้งก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยท้อใจและก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ทุกทีว่าเขาน่าจะยังรักแฟนเก่าอยู่ แต่พอช่วงเดือนมิถุนายน จากที่ไม่ได้คุยกันแบบเห็นหน้ากันมานาน ก็เริ่มได้คุยกันแบบเห็นหน้า และเริ่มคุยกันนานมากกว่าปกติ มันทำให้ฉันเริ่มมีความหวังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเขาน่าจะจัดการมันได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เอยปากถามถึงเรื่องนี้ เพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่จะทำให้รู้สึกแย่อีก (มีต่อ)