สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะคะว่าตั้งแต่มีแอคเคาท์มาไม่เคยขียนเลย นี่คือครั้งแรกที่มาเขียนรีวิว บางครั้งอาจจะดูงงๆ ต้องขออภัยไว้ด้วยนะคะ
ทริปครั้งนี้เป็นทริปเยือนใต้ สมาชิกร่วมทริปมีทั้งหมด 6 คน รวมจขกท.ด้วย โดยงบนั้นขอไม่ระบุนะคะ เนื่องจากเพื่อนของจขกท. เป็นคนจังหวัดสตูลจึงมีที่พักฟรีและมีผู้สนับสนุนทริปในครั้งนี้ด้วย (จะมีงบสำหรับการไปเกาะหลีเป๊ะให้ค่ะ) รวมระยะเวลาทั้งหมดในการไปคือ ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2016 ถึง 8 เมษายน 2016 โดยการเดินทางครั้งนี้ไปรถไฟด่วนพิเศษ(บัตเตอร์เวิด) กรุงเทพ-หาดใหญ่ ชั้น 2
แพลนของเราคือ อยู่หาดใหญ่ 1 คืน อยู่สตูล 1 คืน อยู่เกาะ 2 คืน และกลับมาพักสตูลอีก 2 คืน
DAY1 วันที่ 31 มีนาคม
วันนี้เป็นวันที่ออกเดินทางจากศาลายา (นครปฐม) โดยรถไฟ ค่าโดยสารคนละ 843 บาท ลงที่สถานีหาดใหญ่ ขบวนที่ 36 เวลา 16.05 น. นี่คือครั้งแรกของ จขกท. ที่นั่งรถไฟไทย 5555 ตอนแรกก็แอบกลัวนะ แต่พอขึ้นไปก็โอเคดี เตียงนอนก็โอเค ไม่เมื่อยนะ ไม่ค่อยเพลีย นอนหลับสบายยยยย (ต้องขอบอกว่าเตียงที่ได้เป็นเตียงบน เนื่องจากเตียงล่างเต็มหมดเลย ถ้าจะไปควรจะจองล่วงหน้าไว้จะดี เพราะเตียงบนจะแคบและถูกกว่า จขกท.จองล่วงหน้าก่อนไป 4 วัน เตียงล่างยังเต็มเลย)
บนรถไฟก็จะมีห้องอาหารที่มีแค่อาหารจริงๆ ไม่มีขนม (ควรเตรียมไป555) เวลารถไฟจอดที่สถานีของแต่ละจังหวัดก็จะมีคนขึ้นมาขายของ ถ้าชอบก็ซื้อได้ เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัด(ราชบุรี) ขนมหวาน(เพชรบุรี) โดยแต่ละสถานีจะจอดไม่เกิน 2 นาที (ในตารางเขียน 1 นาที แต่คิดว่าเกิน) และมีห้องน้ำ ไม่มีที่อาบน้ำนะ มีที่สำหรับล้างหน้าแปรงฟันให้
พอประมาณสัก 18.00 น. พนักงานก็จะเริ่มกางเตียงให้ ถ้าใครอยากกางก่อนก็เรียกได้เลย แต่ด้วยที่ จขกท. ไปได้เตียงบน ถ้าเตียงล่างอยากกางก็ต้องอพยพขึ้นไปอยู่ด้านบน == และแล้วก็ได้เวลานอน หลับสบายยยยยยยยยยย เหมือนนอนอยู่ที่บ้าน 5555
DAY2 วันที่ 1 เมษายน
และแล้วก็เดินทางมาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่เวลาประมาณ 07.45 น. เราก็ไม่รอช้า เดินไปยังที่พัก เนื่องจากเพื่อนของ จขกท. มีที่พักอยู่ในหาดใหญ่ทำให้ไม่เสียค่าที่พัก ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟเลย เพื่อจะเดินทางไปตัวเมืองสงขลา ด้วยความหิวพวกเราจึงแวะร้าน “ต้าเหยิน” เป็นร้านติ่มซำ ขนมจีบ บักกุดเต๋ ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งในหาดใหญ่ (โดยสังเกตจะเห็นว่าส่วนมากในหาดใหญ่จะมีร้านจำพวกขนมจีบ ซาลาเปาอยู่มากกกกก เนื่องจากเป็นสมัยก่อนเป็นเมืองท่า จึงทำให้มีคนจีนเป็นส่วนมาก) ราคาก็พอสมควรไม่แพงมากเกินไป และก็ไม่ถูกมาก 555 ส่วนรสชาติอร่อยดี 555 ไม่รู้ว่าอร่อยหรือหิว เพราะสั่งกันมายังกับกิน 10 คนก็ว่าได้ สุดท้ายก็ไม่เหลือเลยสักอย่าง 55
การเดินทางไปในตัวเมืองสงขลา พวกเราตั้งใจจะไปถนนนางงาม ไปกินไอติมยิว (ได้แรงบันดาลใจมาจากพี่เรย์แมค เลยอยากตามรอย 55) เราเรียกรถตุ๊กๆ (ค่ารถก็แพงพอสมควรนะ คนละ 20 บาท ต่อเอาเหมาๆ 100 บาท เพราะไปตั้ง 6 คนแล้วระยะทางไม่ไกลมาก )ให้ไปส่งที่ท่ารถตู้ตรงหอนาฬิกา จะมีคิวรถตู้ไปตัวเมืองสงขลา รถจะออกก็ต่อเมื่อมีผู้โดยสารเต็มคัน ใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยบอกคนขับรถว่า ลงตรงหน้าอาชีวะ ซึ่งจะตรงกับทางเข้าไปถนนนางงาม ค่าโดยสารคนละ 30 บาท
และแล้วเราก็เดินมาถึงถนนนางงาม หลังจากที่ได้ดู และได้อ่านรีวิว เห็นรูปก็อยากจะมาสักครั้ง ในที่สุดก็มาถึง 555555 มีแค่กำแพงตรงนี้จริงๆ และร้อนมากกกกกก 55 ไม่รอช้าถ่ายรูปสิคะ == ประมาณไม่ถึง 10 นาที ก็เสร็จ (คิดในใจไม่น่ามาเลยกุ 555 แต่ไม่มาก็ไม่รู้จริงๆ) มาทั้งที่จะมาแค่กำแพงหรอ เดินวนไปสิคะ เดินๆไป ก็เลยไปโรงสี ชื่อว่า “โรงสีแดง หับ โห่ หิ้น ” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถเดินไปได้ ภายในโรงสีก็จะมีประวัติ แผนที่ภายในหาดใหญ่ให้ศึกษา ไม่รอช้าก็ถ่ายรูปอีกตามเคย 555
ที่ถนนนางงามจะมีร้านไอติมยิว ซึ่งป้าจะเปิดร้านเวลา 13.00 น. ไอ้เราก็ไม่เคยกิน ไม่รอช้าก็จัดไปคนละถ้วย 55555 ไอติมยิวนั่นคืออะไร ก็คือไอติมที่ผสมกับไข่แดง ฟังดูจากชื่อก็น่าจะเหย้ยยยยๆ 5555 และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ 555 อร่อยมั้ยหรอ แล้วแต่คนชอบนะ ก็พอกินได้ ไม่ลองก็ไม่รู้ ต้องลอง 55 ส่วนไข่ขาว ป้าแกจะเอามานึ่งแล้วมากินกับไอติม โดยไอติมนั้นจะมี 2 แบบคือ จะราดไข่แดงสดๆเพิ่มอีก หรือ ไม่ราดก็ได้ ไอติมราคาถ้วยละ 25 บาทเท่ากันจะมีไข่หรือไม่มี
ระหว่างทางเดินกลับนั้นได้เจอร้านขนม (ตามรอยพี่เรย์แมคเช่นเคย) ชื่อว่า “ขนมโดล” ทำมาจากแป้งผสมกับไข่ ซึ่งในใจคิดว่า จะไม่ตามรอยพี่เรย์แล้วววววว 555 เพราะแต่ละอย่างที่แนะนำมา โอ้ยยยยยยย ไม่ได้อย่างที่คิดสักกะอย่าง == แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน 5555 มันก็ต้องลองเน๊อะ ไม่ลองก็ไม่รู้ ><
ขากลับนั้นก็ไปรอรถที่เดิม คือรอฝั่งอาชีวะ ก็จะมีรถตู้กลับไปยังหาดใหญ่ ต้องโบกเอา ค่าโดยสารก็เท่าเดิมคนละ 30 บาท แต่ขากลับนั้นพวกเราแวะลงที่ตลาดกิมหยง เพื่อซื้อของฝากกัน เป็นตลาดขายส่ง
DAY3 วันที่ 2 เมษายน
วันนี้ได้เวลาที่พวกเราต้องเดินทางไปปากบารา โดยเราเรียกตุ๊กๆเหมาไป 150 บาทไปยังตลาดเกษตร เพื่อไปต่อรถตู้ไปยังปากบารา (ซึ่งบ้านเพื่อนของจขกท. อยู่ปากบาราใกล้ท่าเรือไปยังเกาะหลีเป๊ะ) ค่ารถตู้ตลาดเกษตร-ปากบารา คนละ 130 บาท
ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักกกกกกกก ด้วยความหิว ก็ไปจัดการความหิวนั้นที่ “ร้านทางเลือกสุขภาพ” เป็นร้านบรรยากาศติดทะเล อาหารอร่อย ตอนเย็นเราไปเดินเล่นกันที่ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา” และรอดูพระอาทิตย์ตก เราไปโดยรถส่วนตัวจ้า
หลังจากนั้นพวกเราก็มาโดนกินชาชักและโรตีที่ขึ้นชื่อของปากบารา พวกเราก็ไม่รอช้าจัดไปอีกที่ร้าน “ชาชักปากบารา” ร้านนี้ขอแนะนำเลย เป็นการชอบส่วนตัวชอบชาชักและโรตี แถมบรรยากาศดีมากกกก ติดทะเลเช่นกัน (กินได้ไม่เบื่อเลยยยยยย 5555)
DAY4 วันที่ 3 เมษายน
วันนี้เป็นวันที่พวกเราจะข้ามไปยังเกาะหลีเป๊ะ พวกเราเรือสปีดโบ๊ทขา-กลับ, เรือดำน้ำ, โรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว โรงแรมที่เราพักนั้นเป็นแบบ hostel รวมชื่อว่า “A plus Lipe” (สภาพโอเคเลยมีแบบทั้งเตียงคู่ เตียงเดี่ยว แต่ห้องน้ำรวม ขอบอกเลยฝ.เยอะมากกกกกกก 5555 โดยรวมแล้วผ่านค่า ตอนเช้ามีของว่างให้ด้วย) พักทั้งหมด 2 คืนค่า
-สปีดโบ๊ทไป-กลับคนละ 800 บาท
-โรงแรมคืนละ 1200 บาท (เตียงคู่)
-เรือหางยาวดำน้ำ 2 วัน (ทั้งรอบนอกและรอบใน) เหมา 3500 บาท
เราไปรอบแรกเลย รอบ 11.00น. โดยก่อนจะไปขึ้นเรือนั้นต้องเสียค่าธรรมเนียมผ่านท่าคนละ 20 บาท ใช้เวลาประมาน 1.30 ชั่วโมงจะถึงโป๊ะที่เกาะ
ในระหว่างทางนั้นเค้าจะจอดให้เรา 2 ที่ด้วยกันให้ถ่ายรูปก็คือ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา” และ “เกาะไข่”
จุดจอดแรก "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา"
บรรยากาศบนสปีดโบ๊ท
และจุดจอดสุดท้าย "เกาะไข่"
และในที่สุดดดดดดดดด ฝันเป็นจริงงงงงงงงงงง เราก็เดินทางมายังเกาะหลีเป๊ะแล้วววววววว แต่สปีดโบ๊ทจะจอดได้แค่ที่โป๊ะเท่านั้นไม่สามารถเข้าไปยังเกาะได้ จะต้องนั่งเรือหางยาวเข้าไป โดยจะเสียค่าโดยสารคนละ 50 บาท (เผื่อเป็นการแบ่งรายได้ให้กับชาวบ้าน) และเสียค่าเข้าเกาะคนละ 40 บาท (ต่างชาติ 200 ค่ะ) เราสามารถบอกคนขับเรือได้เลยว่าจะลงที่ไหน พวกเราไปลงที่ walking street เลย เพราะโรงแรมเราพักอยู่ติดกับ walking street
เราไปถึงก็ประมาณบ่ายๆแล้ว หาไรกินนิดหน่อย เราก็เดินเล่นไปยังหาด sunset ซึ่งสามารถเดินไปได้ แต่แอบเหนื่อยนิดหน่อยนะ ไกลพอสมควร (เช่ารถได้ แต่เดินจะประหยัดหน่อย 555) รอดูพระอาทิตย์ตกไปด้วยเลยยยยยยยยยย
ตอนกลางคืนก็มาเดินเล่นที่ walking street (ฝ.เยอะมาก คนจีนก็เยอะเช่นกัน 555) ที่ถนนก็ก็จะมีบาร์เยอะพอสมควร ร้านอาหาร ของฝากตามสไตล์เกาะทั่วไป วันนี้ขอเบาๆ จะต้องเก็บแรงไว้ดำน้ำ 555
ต่อค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
[CR] Review summer trip @ Hat-yai, Songkla, Sa-tun and Lipe island
ทริปครั้งนี้เป็นทริปเยือนใต้ สมาชิกร่วมทริปมีทั้งหมด 6 คน รวมจขกท.ด้วย โดยงบนั้นขอไม่ระบุนะคะ เนื่องจากเพื่อนของจขกท. เป็นคนจังหวัดสตูลจึงมีที่พักฟรีและมีผู้สนับสนุนทริปในครั้งนี้ด้วย (จะมีงบสำหรับการไปเกาะหลีเป๊ะให้ค่ะ) รวมระยะเวลาทั้งหมดในการไปคือ ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2016 ถึง 8 เมษายน 2016 โดยการเดินทางครั้งนี้ไปรถไฟด่วนพิเศษ(บัตเตอร์เวิด) กรุงเทพ-หาดใหญ่ ชั้น 2
แพลนของเราคือ อยู่หาดใหญ่ 1 คืน อยู่สตูล 1 คืน อยู่เกาะ 2 คืน และกลับมาพักสตูลอีก 2 คืน
DAY1 วันที่ 31 มีนาคม
วันนี้เป็นวันที่ออกเดินทางจากศาลายา (นครปฐม) โดยรถไฟ ค่าโดยสารคนละ 843 บาท ลงที่สถานีหาดใหญ่ ขบวนที่ 36 เวลา 16.05 น. นี่คือครั้งแรกของ จขกท. ที่นั่งรถไฟไทย 5555 ตอนแรกก็แอบกลัวนะ แต่พอขึ้นไปก็โอเคดี เตียงนอนก็โอเค ไม่เมื่อยนะ ไม่ค่อยเพลีย นอนหลับสบายยยยย (ต้องขอบอกว่าเตียงที่ได้เป็นเตียงบน เนื่องจากเตียงล่างเต็มหมดเลย ถ้าจะไปควรจะจองล่วงหน้าไว้จะดี เพราะเตียงบนจะแคบและถูกกว่า จขกท.จองล่วงหน้าก่อนไป 4 วัน เตียงล่างยังเต็มเลย)
บนรถไฟก็จะมีห้องอาหารที่มีแค่อาหารจริงๆ ไม่มีขนม (ควรเตรียมไป555) เวลารถไฟจอดที่สถานีของแต่ละจังหวัดก็จะมีคนขึ้นมาขายของ ถ้าชอบก็ซื้อได้ เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัด(ราชบุรี) ขนมหวาน(เพชรบุรี) โดยแต่ละสถานีจะจอดไม่เกิน 2 นาที (ในตารางเขียน 1 นาที แต่คิดว่าเกิน) และมีห้องน้ำ ไม่มีที่อาบน้ำนะ มีที่สำหรับล้างหน้าแปรงฟันให้
พอประมาณสัก 18.00 น. พนักงานก็จะเริ่มกางเตียงให้ ถ้าใครอยากกางก่อนก็เรียกได้เลย แต่ด้วยที่ จขกท. ไปได้เตียงบน ถ้าเตียงล่างอยากกางก็ต้องอพยพขึ้นไปอยู่ด้านบน == และแล้วก็ได้เวลานอน หลับสบายยยยยยยยยยย เหมือนนอนอยู่ที่บ้าน 5555
DAY2 วันที่ 1 เมษายน
และแล้วก็เดินทางมาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่เวลาประมาณ 07.45 น. เราก็ไม่รอช้า เดินไปยังที่พัก เนื่องจากเพื่อนของ จขกท. มีที่พักอยู่ในหาดใหญ่ทำให้ไม่เสียค่าที่พัก ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟเลย เพื่อจะเดินทางไปตัวเมืองสงขลา ด้วยความหิวพวกเราจึงแวะร้าน “ต้าเหยิน” เป็นร้านติ่มซำ ขนมจีบ บักกุดเต๋ ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งในหาดใหญ่ (โดยสังเกตจะเห็นว่าส่วนมากในหาดใหญ่จะมีร้านจำพวกขนมจีบ ซาลาเปาอยู่มากกกกก เนื่องจากเป็นสมัยก่อนเป็นเมืองท่า จึงทำให้มีคนจีนเป็นส่วนมาก) ราคาก็พอสมควรไม่แพงมากเกินไป และก็ไม่ถูกมาก 555 ส่วนรสชาติอร่อยดี 555 ไม่รู้ว่าอร่อยหรือหิว เพราะสั่งกันมายังกับกิน 10 คนก็ว่าได้ สุดท้ายก็ไม่เหลือเลยสักอย่าง 55
การเดินทางไปในตัวเมืองสงขลา พวกเราตั้งใจจะไปถนนนางงาม ไปกินไอติมยิว (ได้แรงบันดาลใจมาจากพี่เรย์แมค เลยอยากตามรอย 55) เราเรียกรถตุ๊กๆ (ค่ารถก็แพงพอสมควรนะ คนละ 20 บาท ต่อเอาเหมาๆ 100 บาท เพราะไปตั้ง 6 คนแล้วระยะทางไม่ไกลมาก )ให้ไปส่งที่ท่ารถตู้ตรงหอนาฬิกา จะมีคิวรถตู้ไปตัวเมืองสงขลา รถจะออกก็ต่อเมื่อมีผู้โดยสารเต็มคัน ใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยบอกคนขับรถว่า ลงตรงหน้าอาชีวะ ซึ่งจะตรงกับทางเข้าไปถนนนางงาม ค่าโดยสารคนละ 30 บาท
และแล้วเราก็เดินมาถึงถนนนางงาม หลังจากที่ได้ดู และได้อ่านรีวิว เห็นรูปก็อยากจะมาสักครั้ง ในที่สุดก็มาถึง 555555 มีแค่กำแพงตรงนี้จริงๆ และร้อนมากกกกกก 55 ไม่รอช้าถ่ายรูปสิคะ == ประมาณไม่ถึง 10 นาที ก็เสร็จ (คิดในใจไม่น่ามาเลยกุ 555 แต่ไม่มาก็ไม่รู้จริงๆ) มาทั้งที่จะมาแค่กำแพงหรอ เดินวนไปสิคะ เดินๆไป ก็เลยไปโรงสี ชื่อว่า “โรงสีแดง หับ โห่ หิ้น ” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถเดินไปได้ ภายในโรงสีก็จะมีประวัติ แผนที่ภายในหาดใหญ่ให้ศึกษา ไม่รอช้าก็ถ่ายรูปอีกตามเคย 555
ที่ถนนนางงามจะมีร้านไอติมยิว ซึ่งป้าจะเปิดร้านเวลา 13.00 น. ไอ้เราก็ไม่เคยกิน ไม่รอช้าก็จัดไปคนละถ้วย 55555 ไอติมยิวนั่นคืออะไร ก็คือไอติมที่ผสมกับไข่แดง ฟังดูจากชื่อก็น่าจะเหย้ยยยยๆ 5555 และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ 555 อร่อยมั้ยหรอ แล้วแต่คนชอบนะ ก็พอกินได้ ไม่ลองก็ไม่รู้ ต้องลอง 55 ส่วนไข่ขาว ป้าแกจะเอามานึ่งแล้วมากินกับไอติม โดยไอติมนั้นจะมี 2 แบบคือ จะราดไข่แดงสดๆเพิ่มอีก หรือ ไม่ราดก็ได้ ไอติมราคาถ้วยละ 25 บาทเท่ากันจะมีไข่หรือไม่มี
ระหว่างทางเดินกลับนั้นได้เจอร้านขนม (ตามรอยพี่เรย์แมคเช่นเคย) ชื่อว่า “ขนมโดล” ทำมาจากแป้งผสมกับไข่ ซึ่งในใจคิดว่า จะไม่ตามรอยพี่เรย์แล้วววววว 555 เพราะแต่ละอย่างที่แนะนำมา โอ้ยยยยยยย ไม่ได้อย่างที่คิดสักกะอย่าง == แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน 5555 มันก็ต้องลองเน๊อะ ไม่ลองก็ไม่รู้ ><
ขากลับนั้นก็ไปรอรถที่เดิม คือรอฝั่งอาชีวะ ก็จะมีรถตู้กลับไปยังหาดใหญ่ ต้องโบกเอา ค่าโดยสารก็เท่าเดิมคนละ 30 บาท แต่ขากลับนั้นพวกเราแวะลงที่ตลาดกิมหยง เพื่อซื้อของฝากกัน เป็นตลาดขายส่ง
DAY3 วันที่ 2 เมษายน
วันนี้ได้เวลาที่พวกเราต้องเดินทางไปปากบารา โดยเราเรียกตุ๊กๆเหมาไป 150 บาทไปยังตลาดเกษตร เพื่อไปต่อรถตู้ไปยังปากบารา (ซึ่งบ้านเพื่อนของจขกท. อยู่ปากบาราใกล้ท่าเรือไปยังเกาะหลีเป๊ะ) ค่ารถตู้ตลาดเกษตร-ปากบารา คนละ 130 บาท
ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักกกกกกกก ด้วยความหิว ก็ไปจัดการความหิวนั้นที่ “ร้านทางเลือกสุขภาพ” เป็นร้านบรรยากาศติดทะเล อาหารอร่อย ตอนเย็นเราไปเดินเล่นกันที่ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา” และรอดูพระอาทิตย์ตก เราไปโดยรถส่วนตัวจ้า
หลังจากนั้นพวกเราก็มาโดนกินชาชักและโรตีที่ขึ้นชื่อของปากบารา พวกเราก็ไม่รอช้าจัดไปอีกที่ร้าน “ชาชักปากบารา” ร้านนี้ขอแนะนำเลย เป็นการชอบส่วนตัวชอบชาชักและโรตี แถมบรรยากาศดีมากกกก ติดทะเลเช่นกัน (กินได้ไม่เบื่อเลยยยยยย 5555)
DAY4 วันที่ 3 เมษายน
วันนี้เป็นวันที่พวกเราจะข้ามไปยังเกาะหลีเป๊ะ พวกเราเรือสปีดโบ๊ทขา-กลับ, เรือดำน้ำ, โรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว โรงแรมที่เราพักนั้นเป็นแบบ hostel รวมชื่อว่า “A plus Lipe” (สภาพโอเคเลยมีแบบทั้งเตียงคู่ เตียงเดี่ยว แต่ห้องน้ำรวม ขอบอกเลยฝ.เยอะมากกกกกกก 5555 โดยรวมแล้วผ่านค่า ตอนเช้ามีของว่างให้ด้วย) พักทั้งหมด 2 คืนค่า
-สปีดโบ๊ทไป-กลับคนละ 800 บาท
-โรงแรมคืนละ 1200 บาท (เตียงคู่)
-เรือหางยาวดำน้ำ 2 วัน (ทั้งรอบนอกและรอบใน) เหมา 3500 บาท
เราไปรอบแรกเลย รอบ 11.00น. โดยก่อนจะไปขึ้นเรือนั้นต้องเสียค่าธรรมเนียมผ่านท่าคนละ 20 บาท ใช้เวลาประมาน 1.30 ชั่วโมงจะถึงโป๊ะที่เกาะ
ในระหว่างทางนั้นเค้าจะจอดให้เรา 2 ที่ด้วยกันให้ถ่ายรูปก็คือ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา” และ “เกาะไข่”
จุดจอดแรก "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา"
บรรยากาศบนสปีดโบ๊ท
และจุดจอดสุดท้าย "เกาะไข่"
และในที่สุดดดดดดดดด ฝันเป็นจริงงงงงงงงงงง เราก็เดินทางมายังเกาะหลีเป๊ะแล้วววววววว แต่สปีดโบ๊ทจะจอดได้แค่ที่โป๊ะเท่านั้นไม่สามารถเข้าไปยังเกาะได้ จะต้องนั่งเรือหางยาวเข้าไป โดยจะเสียค่าโดยสารคนละ 50 บาท (เผื่อเป็นการแบ่งรายได้ให้กับชาวบ้าน) และเสียค่าเข้าเกาะคนละ 40 บาท (ต่างชาติ 200 ค่ะ) เราสามารถบอกคนขับเรือได้เลยว่าจะลงที่ไหน พวกเราไปลงที่ walking street เลย เพราะโรงแรมเราพักอยู่ติดกับ walking street
เราไปถึงก็ประมาณบ่ายๆแล้ว หาไรกินนิดหน่อย เราก็เดินเล่นไปยังหาด sunset ซึ่งสามารถเดินไปได้ แต่แอบเหนื่อยนิดหน่อยนะ ไกลพอสมควร (เช่ารถได้ แต่เดินจะประหยัดหน่อย 555) รอดูพระอาทิตย์ตกไปด้วยเลยยยยยยยยยย
ตอนกลางคืนก็มาเดินเล่นที่ walking street (ฝ.เยอะมาก คนจีนก็เยอะเช่นกัน 555) ที่ถนนก็ก็จะมีบาร์เยอะพอสมควร ร้านอาหาร ของฝากตามสไตล์เกาะทั่วไป วันนี้ขอเบาๆ จะต้องเก็บแรงไว้ดำน้ำ 555
ต่อค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา