ที่มา :
http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000065615
'ถ้ากฤษฎีกาตีความเรื่องพันธมิตรเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 เท่ากับต้องนับหนึ่งใหม่ ซึ่งขั้นตอนอาจใช้เวลาเกือบ 2 ปี ทีโอทีเจ๊งแน่นอน เพราะทีโอทีจะมีแคช โฟล พอจ่ายเงินเดือนพนักงานจนถึงกลางปี 2560 แค่นั้น' กรรมการบอร์ดทีโอที รายหนึ่งกล่าวไว้ชัดเจนมาก
จากที่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ของ บริษัท ทีโอที ที่น่าจะพลิกฟื้นจากสภาพ 'ร่อแร่ รุ่งริ่ง' หลังหมดรายได้จากสัญญาสัมปทาน สู่ยุค 'รุ่งเรือง ร่ำรวย' ด้วยการมีพันธมิตรเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถืออันดับ 1 ของประเทศ กลับกลายเป็นอุโมงค์ที่ยืดยาวออกไป มืดมิดและอ้างว่าง เปลี่ยวเปล่า
ประเด็นการเลือกบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เป็นพันธมิตรของบริษัท ทีโอที ไม่ใช่เรื่องงุบงิบแอบไปคุยสรุปกัน 2 คน แต่เป็นกระบวนการเปิดเผยมีขั้นตอนลำดับที่ชัดเจน และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 หรือกว่า 18 เดือนแล้ว
'สิ่งที่ไม่เข้าใจคือกระบวนการทำมาเกือบ 2 ปี ทำไมเพิ่งมาบอกว่าจะต้องเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทั้งๆที่กำลังจะเซ็นสัญญาทดสอบการใช้บริการข้ามโครงข่ายเชิงพาณิชย์โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2100 MHz กับเอดับลิวเอ็น (บริษัทลูกเอไอเอส) ซึ่งจะทำให้ทีโอทีมีรายได้ช่วงนี้เดือนละ 300 ล้านบาททันที'
การที่บอร์ดทีโอทีต้องประชุมวาระพิเศษเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเปลี่ยนแปลงมติบอร์ดเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่อนุมัติให้ทีโอทีเซ็นสัญญาทดสอบบริการได้ ให้กลายเป็น ยังไม่ให้เซ็นสัญญา พร้อมส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความก่อนว่าจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ (PPP) หรือไม่ เป็นความจำเป็นหลังถูกทักท้วงมาจาก 'ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ' รองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในสังกัดคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ (สปท.)
แหล่งข่าวกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้บอร์ดมั่นใจว่าสัญญาการเป็นพันธมิตรระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส ไม่เข้าข่ายเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 นั้น แยกเป็น 2 ประเด็นได้ดังนี้ คือ1.ปลายเดือนเม.ย. 2559สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้ส่งหนังสือตอบกลับมายังทีโอทีว่าสามารถดำเนินการได้ ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ โดยอิงมาตรฐานเดียวกับ สัญญาที่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ทำร่วมกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาแล้ว นอกจากนี้ในช่วงปลายเดือนเม.ย.ทีโอทียังได้สอบถามเรื่องดังกล่าวต่อ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งกสทช.ก็ตอบไปในแนวทางเดียวกับ สคร. รวมทั้งสัญญายังผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว
นอกจากนี้การหาพันธมิตรยังถือเป็นการทำตามนโยบายของคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) โดยทีโอที ยังใช้บริษัท ดีลอยท์ เป็นที่ปรึกษาในการวิเคราะห์หาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อประเมินทางเลือกที่เอกชนคือ เอไอเอส ,บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ,บริษัท สามารถ ไอโมบาย จำกัด ,บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด และบริษัท โมบายแอลทีอี จำกัด ที่เสนอมาจนได้เอไอเอส เป็นรายที่เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ทีโอทีสูงที่สุด
'ในเรื่องขั้นตอน กระบวนการตามกฎหมาย ทีโอที มั่นใจว่าเดินมาถูกต้องทำทุกอย่างเคลียร์ที่สุด'
2.ผลประโยชน์ตอบแทนการเป็นพันธมิตรที่เอไอเอสเสนอให้ทีโอทีในรูปแบบค่าเช่า ที่เป็นรายได้คงที่แน่นอนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้บอร์ดเชื่อว่า ความร่วมมือในลักษณะพันธมิตรเช่นนี้ ไม่ใช่การร่วมทุน เพราะหากเป็นการถือหุ้นร่วมทุนไม่ว่าจะสัดส่วนเท่าไหร่ก็ตาม กำไรหรือขาดทุน ก็ต้องแบ่งตามสัดส่วนที่เกิดขึ้น ไม่ใช่รับประกันว่าทีโอทีมีแต่รายได้เท่านั้น
'การร่วมทุนต้องร่วมหอลงโลงกัน ถ้าขาดทุนก็ต้องรับสภาพหนี้เช่นกัน ไม่ใช่แค่แบ่งเฉพาะรายได้หรือกำไรเท่านั้น แต่รูปแบบการเป็นพันธมิตร ทีโอทีมีรายได้จากค่าเช่าที่แน่นอน ทำให้บอร์ดเชื่อว่าไม่น่าจะเป็น PPP'
อย่างไรก็ตาม คำทักท้วงที่อาจมาจากเจตนาดี ไม่อยากให้มีข้อครหาตามมา หลังเรียกบอร์ดทีโอทีไปคุยถึง 2 ครั้ง ไม่ใช่ตบจูบ แต่เป็นการตบพร้อมขู่ ทั้งบอกว่าจะปลดบอร์ด หรือ ฟันอาญาม.157 โดยความเชื่อที่ฝังอยู่ในหัวตั้งแต่ยังไม่ได้คุยกับบอร์ดทีโอที คือ การเป็นพันธมิตรกับเอไอเอส ยังไงก็ต้องเป็น PPP ต้องผ่านกระบวนการตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 และยังมีคำถามคาใจอีกว่าทำไมเมื่อมีกรณีพิพาทกับเอไอเอส แต่ยังเลือกมาเป็นพันธมิตร รวมทั้งหากเป็น PPP ตามระเบียบปฎิบัติเวอร์ชั่นใหม่ ต้องเริ่มกระบวนการตั้งแต่วันแรกที่จะมีพันธมิตรเลย หมายถึงต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปี
*** ยิ่งลากนาน ยิ่งขาดทุนยับ
เวลาที่เนิ่นนานออกไป อาจไม่มีความหมายกับใครหลายคน แต่สำหรับทีโอที ไม่ใช่เช่นนั้น 'มนต์ชัย หนูสง' กรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอที ระบุว่าการนำสัญญาทดสอบระบบเชิงพาณิชย์ สอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า เข้าข่าย พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 หรือไม่นั้น ทำให้ทีโอทีไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคำตอบของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเป็นเช่นไร และใช้เวลานานแค่ไหน ทำให้จากที่ทีโอทีคาดว่าผลประกอบการปี 2559 ของทีโอทีจะพลิกมาเป็นบวกที่ 4,000 ล้านบาท ต้องกลายเป็นติดลบ 4,000 ล้านบาทแทน
โดยผลประกอบการครึ่งปีแรก ทีโอทีคาดว่าจะมีรายได้ 12,900 ล้านบาท ขาดทุน 480 ล้านบาท และคาดว่าจนถึงสิ้นปี 2559 จะขาดทุนอย่างต่อเนื่องอีก 480 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายโครงการเกษียณก่อนอายุ อีก 3,000 ล้านบาท ทำให้ทีโอทีจะติดลบอย่างน้อยเกือบ 4,000 ล้านบาท แน่นอน ส่วนธุรกิจโทรศัพท์มือถือ 3G คลื่น 2100 MHz มีรายได้เพียง 400 ล้านบาทต่อปี ขณะที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 800 ล้านบาท และเหลือลูกค้าอยู่ประมาณ 2 แสนราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานทีโอที
'แม้ว่าที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ตอบกลับ มาแล้วว่า ทีโอที สามารถเป็นพันธมิตรร่วมกับ เอไอเอส ได้ โดยให้ยึดมาตรฐานเดียวกับกรณีการเป็นพันธมิตรระหว่าง กสท กับ ทรู คอร์ปอเรชั่น และบีเอฟเคที แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้จนกว่ากฤษฎีกาจะมีคำตอบออกมา ทั้งๆที่สัญญาดังกล่าวเป็นการทดลองระบบไม่ใช่สัญญาผูกมัดใดๆที่จะเข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ได้ก็ตาม'
สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ ระหว่างรอกฤษฎีกาตีความ ธุรกิจด้านสื่อสารไร้สายหรือโทรศัพท์มือถือของทีโอที ยังทำอะไรไม่ได้มากนัก ที่ทำได้ คือ การเจรจากับเอไอเอสในเรื่องเช่าอุปกรณ์และเสาโทรคมนาคมที่ยังเป็นข้อพิพาทรอการพิจารณาในคณะอนุญาโตตุลาการ โดยภายในเที่ยงคืนวันที่ 30 มิ.ย. ทีโอที ต้องปิดระบบ 900 MHz ทันที เนื่องจากทีโอทีไม่มีใบอนุญาตในการให้บริการ และสิ้นสุดมาตรการเยียวตามคำสั่งม.44
แต่หากการเจรจาบรรลุผล ก็จะทำให้ทีโอที มีรายได้เพิ่มในส่วนนี้ในรูปค่าเช่าเดือนละ 166 ล้านหรือประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท ในขณะที่รูปแบบการร่วมทุน (Joint Venture) ที่เอไอเอสต้องการนั้น ก็สามารถเจรจาคู่ขนานกับการเช่าอุปกรณ์ไปด้วยก็ได้ โดยเอไอเอสต้องยุติข้อพิพาท
โดยทีโอทีจะโฟกัสในกลุ่มธุรกิจฟิกซ์ไลน์ และ บรอดแบนด์ให้มากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้รวมกันราว 70% ในฐานของผลประกอบการรวมที่ทีโอทีดำเนินธุรกิจเอง ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจฟิกซ์ไลน์มีผู้ใช้งานโทรศัพท์บ้านอยู่ 3 ล้านเลขหมาย คิดเป็นรายได้ให้ทีโอทีปีละ 7,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจบรอดแบนด์มีรายได้ 13,000 ล้านบาทจากฐานลูกค้า 1.2 ล้านราย โดยสิ้นปีตั้งเป้าหมายจะเพิ่มลูกค้าใหม่ (Net Adds) จำนวน 170,000 ราย
'ท้ายสุด หากกฤษฎีกาตีความว่าเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ บอร์ดก็คงต้องขอความเห็นใจจาก คนร.เพราะทำทุกอย่างตามนโยบายรัฐแล้วเพื่อพลิกฟื้นให้องค์กรนี้อยู่รอด'
วิบากกรรมพันธมิตร 'ทีโอที'
'ถ้ากฤษฎีกาตีความเรื่องพันธมิตรเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 เท่ากับต้องนับหนึ่งใหม่ ซึ่งขั้นตอนอาจใช้เวลาเกือบ 2 ปี ทีโอทีเจ๊งแน่นอน เพราะทีโอทีจะมีแคช โฟล พอจ่ายเงินเดือนพนักงานจนถึงกลางปี 2560 แค่นั้น' กรรมการบอร์ดทีโอที รายหนึ่งกล่าวไว้ชัดเจนมาก
จากที่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ของ บริษัท ทีโอที ที่น่าจะพลิกฟื้นจากสภาพ 'ร่อแร่ รุ่งริ่ง' หลังหมดรายได้จากสัญญาสัมปทาน สู่ยุค 'รุ่งเรือง ร่ำรวย' ด้วยการมีพันธมิตรเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถืออันดับ 1 ของประเทศ กลับกลายเป็นอุโมงค์ที่ยืดยาวออกไป มืดมิดและอ้างว่าง เปลี่ยวเปล่า
ประเด็นการเลือกบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เป็นพันธมิตรของบริษัท ทีโอที ไม่ใช่เรื่องงุบงิบแอบไปคุยสรุปกัน 2 คน แต่เป็นกระบวนการเปิดเผยมีขั้นตอนลำดับที่ชัดเจน และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 หรือกว่า 18 เดือนแล้ว
'สิ่งที่ไม่เข้าใจคือกระบวนการทำมาเกือบ 2 ปี ทำไมเพิ่งมาบอกว่าจะต้องเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทั้งๆที่กำลังจะเซ็นสัญญาทดสอบการใช้บริการข้ามโครงข่ายเชิงพาณิชย์โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2100 MHz กับเอดับลิวเอ็น (บริษัทลูกเอไอเอส) ซึ่งจะทำให้ทีโอทีมีรายได้ช่วงนี้เดือนละ 300 ล้านบาททันที'
การที่บอร์ดทีโอทีต้องประชุมวาระพิเศษเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเปลี่ยนแปลงมติบอร์ดเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่อนุมัติให้ทีโอทีเซ็นสัญญาทดสอบบริการได้ ให้กลายเป็น ยังไม่ให้เซ็นสัญญา พร้อมส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความก่อนว่าจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ (PPP) หรือไม่ เป็นความจำเป็นหลังถูกทักท้วงมาจาก 'ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ' รองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในสังกัดคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ (สปท.)
แหล่งข่าวกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้บอร์ดมั่นใจว่าสัญญาการเป็นพันธมิตรระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส ไม่เข้าข่ายเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 นั้น แยกเป็น 2 ประเด็นได้ดังนี้ คือ1.ปลายเดือนเม.ย. 2559สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้ส่งหนังสือตอบกลับมายังทีโอทีว่าสามารถดำเนินการได้ ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ โดยอิงมาตรฐานเดียวกับ สัญญาที่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ทำร่วมกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาแล้ว นอกจากนี้ในช่วงปลายเดือนเม.ย.ทีโอทียังได้สอบถามเรื่องดังกล่าวต่อ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งกสทช.ก็ตอบไปในแนวทางเดียวกับ สคร. รวมทั้งสัญญายังผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว
นอกจากนี้การหาพันธมิตรยังถือเป็นการทำตามนโยบายของคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) โดยทีโอที ยังใช้บริษัท ดีลอยท์ เป็นที่ปรึกษาในการวิเคราะห์หาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อประเมินทางเลือกที่เอกชนคือ เอไอเอส ,บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ,บริษัท สามารถ ไอโมบาย จำกัด ,บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด และบริษัท โมบายแอลทีอี จำกัด ที่เสนอมาจนได้เอไอเอส เป็นรายที่เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ทีโอทีสูงที่สุด
'ในเรื่องขั้นตอน กระบวนการตามกฎหมาย ทีโอที มั่นใจว่าเดินมาถูกต้องทำทุกอย่างเคลียร์ที่สุด'
2.ผลประโยชน์ตอบแทนการเป็นพันธมิตรที่เอไอเอสเสนอให้ทีโอทีในรูปแบบค่าเช่า ที่เป็นรายได้คงที่แน่นอนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้บอร์ดเชื่อว่า ความร่วมมือในลักษณะพันธมิตรเช่นนี้ ไม่ใช่การร่วมทุน เพราะหากเป็นการถือหุ้นร่วมทุนไม่ว่าจะสัดส่วนเท่าไหร่ก็ตาม กำไรหรือขาดทุน ก็ต้องแบ่งตามสัดส่วนที่เกิดขึ้น ไม่ใช่รับประกันว่าทีโอทีมีแต่รายได้เท่านั้น
'การร่วมทุนต้องร่วมหอลงโลงกัน ถ้าขาดทุนก็ต้องรับสภาพหนี้เช่นกัน ไม่ใช่แค่แบ่งเฉพาะรายได้หรือกำไรเท่านั้น แต่รูปแบบการเป็นพันธมิตร ทีโอทีมีรายได้จากค่าเช่าที่แน่นอน ทำให้บอร์ดเชื่อว่าไม่น่าจะเป็น PPP'
อย่างไรก็ตาม คำทักท้วงที่อาจมาจากเจตนาดี ไม่อยากให้มีข้อครหาตามมา หลังเรียกบอร์ดทีโอทีไปคุยถึง 2 ครั้ง ไม่ใช่ตบจูบ แต่เป็นการตบพร้อมขู่ ทั้งบอกว่าจะปลดบอร์ด หรือ ฟันอาญาม.157 โดยความเชื่อที่ฝังอยู่ในหัวตั้งแต่ยังไม่ได้คุยกับบอร์ดทีโอที คือ การเป็นพันธมิตรกับเอไอเอส ยังไงก็ต้องเป็น PPP ต้องผ่านกระบวนการตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 และยังมีคำถามคาใจอีกว่าทำไมเมื่อมีกรณีพิพาทกับเอไอเอส แต่ยังเลือกมาเป็นพันธมิตร รวมทั้งหากเป็น PPP ตามระเบียบปฎิบัติเวอร์ชั่นใหม่ ต้องเริ่มกระบวนการตั้งแต่วันแรกที่จะมีพันธมิตรเลย หมายถึงต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปี
*** ยิ่งลากนาน ยิ่งขาดทุนยับ
เวลาที่เนิ่นนานออกไป อาจไม่มีความหมายกับใครหลายคน แต่สำหรับทีโอที ไม่ใช่เช่นนั้น 'มนต์ชัย หนูสง' กรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอที ระบุว่าการนำสัญญาทดสอบระบบเชิงพาณิชย์ สอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า เข้าข่าย พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 หรือไม่นั้น ทำให้ทีโอทีไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคำตอบของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเป็นเช่นไร และใช้เวลานานแค่ไหน ทำให้จากที่ทีโอทีคาดว่าผลประกอบการปี 2559 ของทีโอทีจะพลิกมาเป็นบวกที่ 4,000 ล้านบาท ต้องกลายเป็นติดลบ 4,000 ล้านบาทแทน
โดยผลประกอบการครึ่งปีแรก ทีโอทีคาดว่าจะมีรายได้ 12,900 ล้านบาท ขาดทุน 480 ล้านบาท และคาดว่าจนถึงสิ้นปี 2559 จะขาดทุนอย่างต่อเนื่องอีก 480 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายโครงการเกษียณก่อนอายุ อีก 3,000 ล้านบาท ทำให้ทีโอทีจะติดลบอย่างน้อยเกือบ 4,000 ล้านบาท แน่นอน ส่วนธุรกิจโทรศัพท์มือถือ 3G คลื่น 2100 MHz มีรายได้เพียง 400 ล้านบาทต่อปี ขณะที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 800 ล้านบาท และเหลือลูกค้าอยู่ประมาณ 2 แสนราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานทีโอที
'แม้ว่าที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ตอบกลับ มาแล้วว่า ทีโอที สามารถเป็นพันธมิตรร่วมกับ เอไอเอส ได้ โดยให้ยึดมาตรฐานเดียวกับกรณีการเป็นพันธมิตรระหว่าง กสท กับ ทรู คอร์ปอเรชั่น และบีเอฟเคที แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้จนกว่ากฤษฎีกาจะมีคำตอบออกมา ทั้งๆที่สัญญาดังกล่าวเป็นการทดลองระบบไม่ใช่สัญญาผูกมัดใดๆที่จะเข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ได้ก็ตาม'
สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ ระหว่างรอกฤษฎีกาตีความ ธุรกิจด้านสื่อสารไร้สายหรือโทรศัพท์มือถือของทีโอที ยังทำอะไรไม่ได้มากนัก ที่ทำได้ คือ การเจรจากับเอไอเอสในเรื่องเช่าอุปกรณ์และเสาโทรคมนาคมที่ยังเป็นข้อพิพาทรอการพิจารณาในคณะอนุญาโตตุลาการ โดยภายในเที่ยงคืนวันที่ 30 มิ.ย. ทีโอที ต้องปิดระบบ 900 MHz ทันที เนื่องจากทีโอทีไม่มีใบอนุญาตในการให้บริการ และสิ้นสุดมาตรการเยียวตามคำสั่งม.44
แต่หากการเจรจาบรรลุผล ก็จะทำให้ทีโอที มีรายได้เพิ่มในส่วนนี้ในรูปค่าเช่าเดือนละ 166 ล้านหรือประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท ในขณะที่รูปแบบการร่วมทุน (Joint Venture) ที่เอไอเอสต้องการนั้น ก็สามารถเจรจาคู่ขนานกับการเช่าอุปกรณ์ไปด้วยก็ได้ โดยเอไอเอสต้องยุติข้อพิพาท
โดยทีโอทีจะโฟกัสในกลุ่มธุรกิจฟิกซ์ไลน์ และ บรอดแบนด์ให้มากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้รวมกันราว 70% ในฐานของผลประกอบการรวมที่ทีโอทีดำเนินธุรกิจเอง ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจฟิกซ์ไลน์มีผู้ใช้งานโทรศัพท์บ้านอยู่ 3 ล้านเลขหมาย คิดเป็นรายได้ให้ทีโอทีปีละ 7,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจบรอดแบนด์มีรายได้ 13,000 ล้านบาทจากฐานลูกค้า 1.2 ล้านราย โดยสิ้นปีตั้งเป้าหมายจะเพิ่มลูกค้าใหม่ (Net Adds) จำนวน 170,000 ราย
'ท้ายสุด หากกฤษฎีกาตีความว่าเป็น PPP ต้องผ่านพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ บอร์ดก็คงต้องขอความเห็นใจจาก คนร.เพราะทำทุกอย่างตามนโยบายรัฐแล้วเพื่อพลิกฟื้นให้องค์กรนี้อยู่รอด'