เสี้ยวสามก๊ก
ขบวนการผู้วิเศษ
"เล่าเซี่ยงชุน"
วรรณคดีไทยเรื่องสามก๊กอันลือชื่อนั้น เขาว่ากันว่าเป็นเพียงแค่นิยายอิงพงศาวดารจีนเท่านั้น เพราะมีการแต่งเติมเสริมต่อ ออกไปจากประวัติศาสตร์อย่างมากมาย ถึงร้อยละเจ็ดสิบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะไทยเราก็มีเรื่องแบบนี้อยู่หลายเรื่อง อย่างเช่นขุนช้างขุนแผน เป็นต้น ซึ่งอาจมีผู้อ่านบางท่านคิดว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก็ได้ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละท่าน
ดังนั้นในเรื่องสามก๊กซึ่งนิยมชมชื่นกันว่า เป็นเรื่องที่มีกลยุทธกลวิธี ในการรบทัพจับศึกอย่างลึกซึ้งพิศดาร จนเอามาเป็นแบบอย่างในการศึกษา ก็ยังต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้วิเศษหรือภูติผีปีศาจอยู่ด้วย เช่นเดียวกับเรื่องอิงพงศาวดารจีน อื่น ๆ อีกมากมาย
ผู้วิเศษท่านแรก ที่ปรากฏตัวขึ้นมาในสามก๊กก็คือ อิเกียด เป็นชาวเมืองลงเสีย อยู่ทางตะวันออกของเมืองกังตั๋ง เมื่อนานมาแล้วได้ไปเที่ยวเก็บตัวยา ที่ตำบลเขาขยกหยง ได้ตำราในถ้ำประมาณร้อยฉบับ สำหรับทำการเสกน้ำรักษาโรคต่าง ๆ จึงใช้ความรู้ในตำรานั้นรักษาไข้คนทั้งปวง โดยมิได้เอาทรัพย์สินเงินทอง ทำให้มีราษฎรรักใคร่เคารพบูชามาก
วันหนึ่งอิเกียดแต่งกายสวยงามราวเทพยดา ถือไม้เท้าเดินทางเข้ามาทางประตูเมืองกังตั๋ง ชาวเมืองมากมายก็ถือดอกไม้ธูปเทียนคำนับต้อนรับ ซึ่งขณะนั้นซุนเซ็กเจ้าเมือง กำลังกินเลี้ยงกับขุนนาง และแม่ทัพนายกองอยู่บนหอรบ ชะโงกหน้าลงไปเห็นเข้าจึงเกิดความริษยา ที่ชาวเมืองดูจะรักใคร่เคารพนับถือ มากกว่าเจ้าเมืองเสียอีก จึงให้ทหารไปจับตัวเอามาสอบสวน หาว่าหลอกลวงชาวบ้าน อิเกียดก็เล่าความที่ตนมีความรู้รักษาโรคภัยของชาวบ้านได้จริง แต่ซุนเซ็กไม่เชื่อให้เอาตัวไปประหารเสียใครจะห้ามก็ไม่ฟัง
ลีฮวยซึ่งเป็นโหรประจำเมืองก็แนะนำว่า อิเกียดนี้มีความรู้เรียกลมเรียกฝนได้ เมืองเราบัดนี้ก็ฝนแล้งราษฎรทำนาขัดสน จงทดลองให้อิเกียดเรียกฝนให้ตกลงมา ถ้าทำได้ก็ค่อยปล่อยตัวไป ซุนเซ็กเห็นด้วยจึงให้ทหารปลูกโรงพิธีขึ้น สูงประมาณสิบวาตั้งกลางแจ้ง ให้อิเกียดทำพิธีขอฝน อิเกียดก็ชำระกายให้หมดมลทิน ครั้นเวลาเช้าแดดกล้า ก็ขึ้นไปบนโรงพิธีเอาเชือกมัดตัวหมอบตากแดดบริกรรมขอฝนอยู่ มีชาวเมืองพากันมาดูเป็นอันมาก อิเกียดจึงร้องบอกชาวเมืองว่า จะขอฝนให้ตกลงมาท่วมพื้นดินประมาณสองศอก ราษฎรทั้งปวงจะได้ทำนาบริบูรณ์ แต่ถึงมาตรว่าจะทำได้ดังปรารถนาก็ดี อันชีวิตของตนก็เห็นจะไม่รอดจากความตาย ชาวเมืองก็บอกว่า แม้นเรียกฝนตกลงมาได้ซุนเซ็กก็จะยกโทษให้ อิเกียดกลับตอบไปว่า อายุของตนก็ถึงที่ตายในวันนี้แล้ว ถึงจะมีผู้ใดช่วยก็คงจะไม่รอดชีวิต ขณะนั้นซุนเซ็กก็ให้ทหารขนฟืนและฟาง มากองไว้ใต้โรงพิธี สั่งว่าถ้าพ้นเวลาเที่ยงแล้วฝนไม่ตก ให้จุดเพลิงเผาอิเกียดเสีย
ครั้นถึงเวลาเที่ยงก็เกิดลมพายุใหญ่มืดมัวไปทั้งอากาศ ซุนเซ็กเห็นฝนยังไม่ตกจะรีบฆ่า จึงให้ทหารขึ้นไปเอาตัวอิเกียดลงมามัดไว้บนกองฟืน แล้วให้จุดไฟขึ้น พอเพลิงลุกฮือขึ้น ก็มีเสียงฟ้าร้องสนั่น แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ จนน้ำนองท่วมแผ่นดินประมาณสองศอกเศษ เพลิงนั้นก็ดับไปสิ้น อิเกียดก็ร้องบอกให้ฝนหยุด ฝนก็หายในทันที ขุนนางและราษฎรทั้งปวงก็ลุยน้ำเข้าไปโดยมิได้รังเกียจโคลนตม ช่วยแก้มัดอิเกียดแล้วอุ้มตัวออกมา และต่างก็คำนับด้วยความนับถือ
ซุนเซ็กก็พาลว่า ฝนนั้นตกลงมาด้วยอำนาจเทพยดา อิเกียดโกหกว่าตนเรียกฝนได้ เหตุใดคนทั้งปวงจึงนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ชักกระบี่ส่งให้ทหารเอาตัวไปประหารเสีย และให้เอาศพไปประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง อย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่างอีกต่อไป แต่พอถึงกลางคืนวันนั้น ฝนก็ตกลงมาอีกห่าใหญ่ พอรุ่งเช้าศพอิเกียดก็หายไปโดยไม่มีร่องรอย
ผู้วิเศษท่านที่สองก็คือ โจจู๋ เป็นชายพิการขาสั้นข้างหนึ่ง จักษุส่อน รูปร่างประหลาดพิกล ห่มเสื้อเขียวใส่หมวกสานด้วยหวายตะค้า เดิมเป็นชาวบ้านเดียวกับโจโฉ ครั้นเมื่อโจโฉได้เลื่อนเป็นเจ้าวุยอ๋อง และสร้างวังที่เมืองเงียบกุ๋นเสร็จ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีงานฉลองและส่งหนังสือไปถึงซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋งน้องชายของซุนเซ็กที่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว และขณะนั้นเป็นเมืองออก ขอให้ส่งผลส้มมาช่วยงานด้วย ซุนกวนก็ไม่ขัดข้อง ส่งผลส้มมาถวายวุยอ๋อง เป็นจำนวนห้าสิบหาบ แต่เมื่อมาถึงเมืองเงียบกุ๋น แกะส้มออกดูมิได้มีเนื้อ เห็นแต่เปลือกเปล่า ๆ
โจโฉก็เรียกพวกลูกหาบมาสอบสวนว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ พวกลูกหาบก็ทูลว่า ขณะเมื่อหาบส้มห้าสิบหาบ จากเมืองกังตั๋งมากลางทาง ก็เห็นชายผู้หนึ่งออกมาจากหุบเขา ร่างกายพิกลพิการ อาสาจะมาช่วยหาบส้มให้ ลูกหาบก็ยอมให้ช่วยหาบ ทั้งห้าสิบหาบ เป็นระยะทางหาบละห้าสิบเส้น รวมทั้งหมดเป็นระยะทางสองพันห้าร้อยเส้น เมื่อรับกลับมาหาบเองก็รู้สึกว่าเบากว่าเดิม แล้วชายผู้นั้นก็ฝากให้ช่วยทูลแก่วุยอ๋อง ว่าชื่อโจจู๋ ขอคำนับมาถึงวุยอ๋องด้วย แล้วก็ลาเข้าป่าไป
พอดีนายประตูมาทูลว่าโจจู๋จะขอเข้าเฝ้า โจโฉก็ให้พาตัวเข้ามา พวกลูกหาบก็ยืนยันว่าคนนี้แหละที่ช่วยหาบส้มมาส่ง โจโฉก็ถามว่าทำไมจึงแกล้งทำให้ส้มไม่มีเนื้อ เอาแต่เปลือกมาให้ฉะนี้ โจจู๋ก็ว่าธรรมดาส้มจะไม่มีเนื้อนั้นหามิได้ แล้วก็หยิบส้มมาปอกดูก็มีเนื้อเป็นปกติ ครั้นโจโฉหยิบเอาส้มมาฉีกดูบ้าง ก็ไม่มีเนื้อเช่นเดิม จึงเชิญโจจู๋ขึ้นนั่งในที่อันควร แล้วจัดสุราอาหารมาเลี้ยงโจจู๋ แต่โจจู๋กินเหล้าไปถึงห้าไหก็ไม่เมา กินแพะไปหนึ่งตัวก็ยังไม่อิ่ม โจโฉจึงถามว่าเรียนวิชานี้มาแต่ไหน
โจจู๋ก็เล่าว่า เมื่อถือศีลอยู่ที่เขางูปีสันแดนเมืองเสฉวนได้สามสิบปี ก็มีเทพยดาเอาตำรามาให้สามฉบับ ชื่อเทียนตุนนั้น สำหรับเรียกลมและฝน ทั้งทำอิทธิฤทธิ์เหาะไปได้ในอากาศ ฉบับสองชื่อแต้ตุน ทำให้ไชศิลาหรือแทรกภูเขาไปได้ ฉบับสามชื่อยินตุน ทำให้กำบังกายไปใช้อาวุธทำร้ายใครก็ได้ และแถมท้ายให้โจโฉละสมบัติเสียไปถือศีลอยู่ในป่าและภูเขากับตน จะได้เรียนวิชาทั้งสามฉบับนี้ไว้ให้ชำนาญ
โจโฉก็ว่ายังไปไม่ได้เพราะราชการงานเมืองมากมาย ไม่มีผู้ใดจะรับธุระแทน โจจู๋ก็หัวเราะแล้วว่า เล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวนก็มีสติปัญญา แล้วก็เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดไม่มอบราชการบ้านเมืองให้ แม้ขัดขืนไม่ทำตามคำ ก็จะสำแดงวิชาเสกอาวุธให้ตัดศีรษะเสีย
โจโฉก็ว่าอ้ายคนนี้พวกเล่าปี่ มันมาสอดแนมราชการในเมืองเรา และให้ทหารจับตัวไว้ ทหารของโจโฉประมาณสามสิบคน ก็เข้ากลุ้มรุมตีด้วยอาวุธและจับมัดไว้ โจจู๋ก็นอนหลับตาหัวเราะอยู่ โจโฉก็ให้เอาขื่อคามาจองจำขึงพืดไว้ แล้วให้ทหารเฝ้าไว้เป็นอันมาก แต่พอรุ่งเช้าทหารก็มาทูลโจโฉว่า ขื่อคาหลุดออกมากองอยู่ โจจู๋นั้นก็ยังนอนเป็นปกติอยู่ โจโฉก็ให้จำขังต่อไปอีกเจ็ดวันโดยไม่ให้ข้าวให้น้ำ โจจู๋ก็ไม่เป็นอันตราย โจโฉก็สิ้นความคิด ไม่รู้ที่จะทำประการใดให้โจจู๋ถึงแก่ความตายได้ จึงต้องปล่อยตัว
ครั้นถึงวันฉลองขึ้นตำหนักใหม่ โจโฉก็จัดเลี้ยงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย โจจู๋ก็เข้ามาในที่ประชุมแล้วสำแดงอิทธิ์ฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น เขียนรูปมังกรไว้ที่ฝาผนัง แล้วก็ควักเอาตับมังกรสด ๆ มาให้โจโฉกิน เอากระถางใส่ดินเปล่ามาตั้งแล้วเสกน้ำรด ก็มีต้นโบตั๋นงอกขึ้นมา และมีดอกสองดอก เมื่อจะกินขิงสด ก็เอาถาดเปล่ามาวาง แล้วเอาเสื้อคลุมก็ได้ขิงสดเต็มถาด แล้วโจจู๋ก็รินสุราใส่จอกคำนับโจโฉ แล้วเชิญให้กินสุรานี้จะได้อายุยืนถึงพันปี โจโฉเกี่ยงให้โจจู๋กินก่อน โจจู๋ก็เอาปิ่นปักผมคั่นจอกสุราไว้แล้วดื่มไปซีกหนึ่งจนจอกว่างครึ่งซีก เหลืออีกซีกหนึ่งก็ส่งให้โจโฉ แต่โจโฉไม่ยอมกิน โจจู๋จึงเอาจอกสุราขว้างโจโฉ แต่กลับกลายเป็นนกกะเรียนบินว่อนอยู่บนศีรษะโจโฉ แล้วก็หายตัวไป โจโฉจึงให้เคาทูทหารเอกคุมพลสามร้อยไปจับโจจู๋ แต่ก็ไม่ได้ตัวมา
โจโฉจึงให้เขียนรูปโจจู๋ส่งไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้จับตัวส่งเข้ามา ก็มีคนที่ถูกจับมาจากเมืองต่าง ๆ ถึงสามร้อยคน หน้าเหมือนโจจู๋ทั้งหมด โจโฉให้ทหารมัดรวมไว้นอกเมือง แล้วเอาโลหิตสุกรและสัตว์ทั้งหลายมารด หวังจะให้เวทย์มนต์เสื่อม และให้ทหารตัดศีรษะเสียทั้งสิ้น เหลือแต่ตัวนั่งอยู่หามีศีรษะไม่ แต่เมื่อโลหิตกระเด็นขึ้นไปในอากาศก็กลายเป็นคนขี่นกกะเรียน ตบมือหัวเราะเยาะอื้ออึงไป โจโฉให้ทหารระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ก็หาถูกไม่ จากนั้นก็เกิดพายุใหญ่พัดหนัก หอบเอาผงคลีฟุ้งตลบ คนที่ถูกตัดศีรษะ ก็ลุกขึ้นฉวยเอาศีรษะของตนไล่ตีโจโฉจนล้มลง แล้วรูปโจจู๋ทั้งหมดก็หายไปสิ้น จากนั้นโจจู๋ก็ไม่มาปรากฏตัวที่เมืองเงียบกุ๋นอีกเลย
ตั้งแต่นั้นมาโจโฉก็ล้มป่วยลง จึงอยากจะดูชตาราศีของตนเอง ว่าจะมีชีวิตยืนยาวไปถึงแค่ไหน โหรประจำเมืองจึงแนะให้ไปตามหมอวิเศษอีกท่านหนึ่งมาดูให้ หมอวิเศษท่านนี้ชื่อ กวนลอ เดิมเป็นชาวเมืองเพงงวนก๋วน เมื่อเด็กชอบเสพสุราและเรียนดูฤกษ์ ครั้นโตขึ้นก็ได้ตำราจิวก๋งไว้ จึงชำนาญการดูเคราะห์โศกป่วยไข้ แม้ผู้ใดจะตายก็รู้ ครั้งหนึ่งภรรยาเจ้าเมืองอันเป๋งป่วยเป็นโรคปวดศีรษะ และบุตรก็เจ็บอยู่ในอกไม่หาย กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า ที่อยู่นั้นมีศพชายสองศพ คนหนึ่งถือทวนอีกคนหนึ่งถือเกาทัณฑ์ ศพแรกนั้นถูกผนังตึกทับอยู่ จึงทำให้ภรรยาปวดศีรษะ ศพหลังอยู่ใต้ถุนทำให้บุตรเจ็บหน้าอก เจ้าเมืองจึงให้รื้อผนังและขุดลึกลงไปประมาณ สี่ศอกก็พบ
ศพทั้งสอง จึงให้เอาศพไปฝังที่อื่น ทั้งบุตรและภรรยาก็หายป่วย
อีกรายหนึ่งเป็นหญิงให้กวนลอดูว่า โคของตนหายไปไหน กวนลอก็บอกว่า มีผู้ร้ายเจ็ดคนลักเอาไปฟากข้างโน้น บัดนี้มันฆ่าเสียแล้วเหลือแต่กระดูกและหนังทิ้งไว้ริมรั้วบ้านมัน หญิงนั้นก็ข้ามฟากไปดูเห็นหนังกับกระดูกทิ้งไว้ ก็แอบมองในบ้านเห็นผู้ร้ายเจ็ดคนเอาเนื้อโคทำแกล้มเหล้าอยู่ จึงไปบอกเจ้าเมืองเพงงวนก๋วนให้ไปจับผู้ร้ายได้ทั้งเจ็ดคน เมื่อผู้ร้ายรับสารภาพแล้ว เจ้าเมืองถามหญิงผู้นั้นว่ารู้ได้อย่างไร ว่าพวกนี้ลักโคไป นางก็บอกว่ากวนลอดูให้
เจ้าเมืองอยากจะลองพิสูจน์ จึงให้ตามกวนลอมา แล้วเอาตราเจ้าเมืองออกจากหีบ เอาหีบเปล่ามาใส่ขนไก่ให้เต็ม ยกมาให้กวนลอทายว่าสิ่งใดอยู่ในหีบ กวนลอก็ทำนายว่า มีขนไก่แดงจำนวนเท่านั้น ขนไก่ดำจำนวนเท่านั้น เจ้าเมืองเปิดออกนับดู ก็ตรงกับที่กวนลอทำนาย จึงตั้งให้เป็นที่ปรึกษา
วันหนึ่งกวนลอไปเที่ยวเล่น เห็นเด็กหนุ่มร่างงามคนหนึ่ง ชื่อเตียวหงัน กำลังไถนาอยู่ รู้ว่าจะถึงแก่ความตาย ก็มีใจเอ็นดูจึงบอกให้รู้ว่าอีกสามวันจะตาย เด็กหนุ่มก็ไปบอกบิดา และพากันมาขอร้องให้กวนลอต่ออายุให้ กวนลอก็บอกให้เอาสุราขวดหนึ่งกับเนื้อก้อนหนึ่งไปที่เขาลำสัน จะมีแท่นศิลาใต้ต้นไม้ใหญ่ มีชายชราสองคนสวมเสื้อขาวคนหนึ่งกับเสื้อแดงคนหนึ่งเล่นหมากรุกกันอยู่ เมื่อถึงเวลาเที่ยงจงเอาสุราและเนื้อนั้นให้กิน แล้วขอต่ออายุสืบไป คืนนั้นสองพ่อลูกก็ขอให้กวนลอค้างอยู่ด้วย
รุ่งขึ้นเตียวหงันก็เอาสุรากับเนื้อ ไปยังที่กวนลอบอกไว้ เห็นชายชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกกันเพลิน ก็รออยู่จนเที่ยงจึงฉีกเนื้อและรินสุราวางไว้ ทั้งสองก็เล่นหมากรุกไปกินเนื้อและดื่มสุรานั้นไปจนหมด เตียวหงันก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ต่ออายุให้ ชายชราเสื้อแดงก็ตกใจว่ากินของเขาไปหมดแล้ว ถ้าไม่ช่วยก็ไม่สมควร ชายเสื้อขาวก็เห็นด้วย จึงเอาบัญชีมาเปิดดู เห็นชื่อเตียวหงันกำหนดตายอายุสิบเก้าปี จะครบอีกสองวันนี้ จึงช่วยเติมลงไปเป็นเก้าสิบเก้าปี พร้อมกับสั่งว่าอย่าไปบอกใคร แล้วทั้งสองก็กลายเป็นนกบินลับไป
เตียวหงันมีความยินดีกลับมาบอกกับกวนลอทุกประการ กวนลอก็บอกว่า ชายชราเสื้อแดงเป็นเทพยดาฝ่ายใต้ ถือบัญชีคนกำเนิด ชายชราเสื้อขาวเป็นเทพยดาฝ่ายเหนือ ถือบัญชีคนซึ่งจะถึงแก่ความตาย แล้วกวนลอก็ลาสองพ่อลูกกลับที่อยู่
ขบวนการผู้วิเศษ
ขบวนการผู้วิเศษ
"เล่าเซี่ยงชุน"
วรรณคดีไทยเรื่องสามก๊กอันลือชื่อนั้น เขาว่ากันว่าเป็นเพียงแค่นิยายอิงพงศาวดารจีนเท่านั้น เพราะมีการแต่งเติมเสริมต่อ ออกไปจากประวัติศาสตร์อย่างมากมาย ถึงร้อยละเจ็ดสิบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะไทยเราก็มีเรื่องแบบนี้อยู่หลายเรื่อง อย่างเช่นขุนช้างขุนแผน เป็นต้น ซึ่งอาจมีผู้อ่านบางท่านคิดว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก็ได้ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละท่าน
ดังนั้นในเรื่องสามก๊กซึ่งนิยมชมชื่นกันว่า เป็นเรื่องที่มีกลยุทธกลวิธี ในการรบทัพจับศึกอย่างลึกซึ้งพิศดาร จนเอามาเป็นแบบอย่างในการศึกษา ก็ยังต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้วิเศษหรือภูติผีปีศาจอยู่ด้วย เช่นเดียวกับเรื่องอิงพงศาวดารจีน อื่น ๆ อีกมากมาย
ผู้วิเศษท่านแรก ที่ปรากฏตัวขึ้นมาในสามก๊กก็คือ อิเกียด เป็นชาวเมืองลงเสีย อยู่ทางตะวันออกของเมืองกังตั๋ง เมื่อนานมาแล้วได้ไปเที่ยวเก็บตัวยา ที่ตำบลเขาขยกหยง ได้ตำราในถ้ำประมาณร้อยฉบับ สำหรับทำการเสกน้ำรักษาโรคต่าง ๆ จึงใช้ความรู้ในตำรานั้นรักษาไข้คนทั้งปวง โดยมิได้เอาทรัพย์สินเงินทอง ทำให้มีราษฎรรักใคร่เคารพบูชามาก
วันหนึ่งอิเกียดแต่งกายสวยงามราวเทพยดา ถือไม้เท้าเดินทางเข้ามาทางประตูเมืองกังตั๋ง ชาวเมืองมากมายก็ถือดอกไม้ธูปเทียนคำนับต้อนรับ ซึ่งขณะนั้นซุนเซ็กเจ้าเมือง กำลังกินเลี้ยงกับขุนนาง และแม่ทัพนายกองอยู่บนหอรบ ชะโงกหน้าลงไปเห็นเข้าจึงเกิดความริษยา ที่ชาวเมืองดูจะรักใคร่เคารพนับถือ มากกว่าเจ้าเมืองเสียอีก จึงให้ทหารไปจับตัวเอามาสอบสวน หาว่าหลอกลวงชาวบ้าน อิเกียดก็เล่าความที่ตนมีความรู้รักษาโรคภัยของชาวบ้านได้จริง แต่ซุนเซ็กไม่เชื่อให้เอาตัวไปประหารเสียใครจะห้ามก็ไม่ฟัง
ลีฮวยซึ่งเป็นโหรประจำเมืองก็แนะนำว่า อิเกียดนี้มีความรู้เรียกลมเรียกฝนได้ เมืองเราบัดนี้ก็ฝนแล้งราษฎรทำนาขัดสน จงทดลองให้อิเกียดเรียกฝนให้ตกลงมา ถ้าทำได้ก็ค่อยปล่อยตัวไป ซุนเซ็กเห็นด้วยจึงให้ทหารปลูกโรงพิธีขึ้น สูงประมาณสิบวาตั้งกลางแจ้ง ให้อิเกียดทำพิธีขอฝน อิเกียดก็ชำระกายให้หมดมลทิน ครั้นเวลาเช้าแดดกล้า ก็ขึ้นไปบนโรงพิธีเอาเชือกมัดตัวหมอบตากแดดบริกรรมขอฝนอยู่ มีชาวเมืองพากันมาดูเป็นอันมาก อิเกียดจึงร้องบอกชาวเมืองว่า จะขอฝนให้ตกลงมาท่วมพื้นดินประมาณสองศอก ราษฎรทั้งปวงจะได้ทำนาบริบูรณ์ แต่ถึงมาตรว่าจะทำได้ดังปรารถนาก็ดี อันชีวิตของตนก็เห็นจะไม่รอดจากความตาย ชาวเมืองก็บอกว่า แม้นเรียกฝนตกลงมาได้ซุนเซ็กก็จะยกโทษให้ อิเกียดกลับตอบไปว่า อายุของตนก็ถึงที่ตายในวันนี้แล้ว ถึงจะมีผู้ใดช่วยก็คงจะไม่รอดชีวิต ขณะนั้นซุนเซ็กก็ให้ทหารขนฟืนและฟาง มากองไว้ใต้โรงพิธี สั่งว่าถ้าพ้นเวลาเที่ยงแล้วฝนไม่ตก ให้จุดเพลิงเผาอิเกียดเสีย
ครั้นถึงเวลาเที่ยงก็เกิดลมพายุใหญ่มืดมัวไปทั้งอากาศ ซุนเซ็กเห็นฝนยังไม่ตกจะรีบฆ่า จึงให้ทหารขึ้นไปเอาตัวอิเกียดลงมามัดไว้บนกองฟืน แล้วให้จุดไฟขึ้น พอเพลิงลุกฮือขึ้น ก็มีเสียงฟ้าร้องสนั่น แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ จนน้ำนองท่วมแผ่นดินประมาณสองศอกเศษ เพลิงนั้นก็ดับไปสิ้น อิเกียดก็ร้องบอกให้ฝนหยุด ฝนก็หายในทันที ขุนนางและราษฎรทั้งปวงก็ลุยน้ำเข้าไปโดยมิได้รังเกียจโคลนตม ช่วยแก้มัดอิเกียดแล้วอุ้มตัวออกมา และต่างก็คำนับด้วยความนับถือ
ซุนเซ็กก็พาลว่า ฝนนั้นตกลงมาด้วยอำนาจเทพยดา อิเกียดโกหกว่าตนเรียกฝนได้ เหตุใดคนทั้งปวงจึงนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ชักกระบี่ส่งให้ทหารเอาตัวไปประหารเสีย และให้เอาศพไปประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง อย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่างอีกต่อไป แต่พอถึงกลางคืนวันนั้น ฝนก็ตกลงมาอีกห่าใหญ่ พอรุ่งเช้าศพอิเกียดก็หายไปโดยไม่มีร่องรอย
ผู้วิเศษท่านที่สองก็คือ โจจู๋ เป็นชายพิการขาสั้นข้างหนึ่ง จักษุส่อน รูปร่างประหลาดพิกล ห่มเสื้อเขียวใส่หมวกสานด้วยหวายตะค้า เดิมเป็นชาวบ้านเดียวกับโจโฉ ครั้นเมื่อโจโฉได้เลื่อนเป็นเจ้าวุยอ๋อง และสร้างวังที่เมืองเงียบกุ๋นเสร็จ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีงานฉลองและส่งหนังสือไปถึงซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋งน้องชายของซุนเซ็กที่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว และขณะนั้นเป็นเมืองออก ขอให้ส่งผลส้มมาช่วยงานด้วย ซุนกวนก็ไม่ขัดข้อง ส่งผลส้มมาถวายวุยอ๋อง เป็นจำนวนห้าสิบหาบ แต่เมื่อมาถึงเมืองเงียบกุ๋น แกะส้มออกดูมิได้มีเนื้อ เห็นแต่เปลือกเปล่า ๆ
โจโฉก็เรียกพวกลูกหาบมาสอบสวนว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ พวกลูกหาบก็ทูลว่า ขณะเมื่อหาบส้มห้าสิบหาบ จากเมืองกังตั๋งมากลางทาง ก็เห็นชายผู้หนึ่งออกมาจากหุบเขา ร่างกายพิกลพิการ อาสาจะมาช่วยหาบส้มให้ ลูกหาบก็ยอมให้ช่วยหาบ ทั้งห้าสิบหาบ เป็นระยะทางหาบละห้าสิบเส้น รวมทั้งหมดเป็นระยะทางสองพันห้าร้อยเส้น เมื่อรับกลับมาหาบเองก็รู้สึกว่าเบากว่าเดิม แล้วชายผู้นั้นก็ฝากให้ช่วยทูลแก่วุยอ๋อง ว่าชื่อโจจู๋ ขอคำนับมาถึงวุยอ๋องด้วย แล้วก็ลาเข้าป่าไป
พอดีนายประตูมาทูลว่าโจจู๋จะขอเข้าเฝ้า โจโฉก็ให้พาตัวเข้ามา พวกลูกหาบก็ยืนยันว่าคนนี้แหละที่ช่วยหาบส้มมาส่ง โจโฉก็ถามว่าทำไมจึงแกล้งทำให้ส้มไม่มีเนื้อ เอาแต่เปลือกมาให้ฉะนี้ โจจู๋ก็ว่าธรรมดาส้มจะไม่มีเนื้อนั้นหามิได้ แล้วก็หยิบส้มมาปอกดูก็มีเนื้อเป็นปกติ ครั้นโจโฉหยิบเอาส้มมาฉีกดูบ้าง ก็ไม่มีเนื้อเช่นเดิม จึงเชิญโจจู๋ขึ้นนั่งในที่อันควร แล้วจัดสุราอาหารมาเลี้ยงโจจู๋ แต่โจจู๋กินเหล้าไปถึงห้าไหก็ไม่เมา กินแพะไปหนึ่งตัวก็ยังไม่อิ่ม โจโฉจึงถามว่าเรียนวิชานี้มาแต่ไหน
โจจู๋ก็เล่าว่า เมื่อถือศีลอยู่ที่เขางูปีสันแดนเมืองเสฉวนได้สามสิบปี ก็มีเทพยดาเอาตำรามาให้สามฉบับ ชื่อเทียนตุนนั้น สำหรับเรียกลมและฝน ทั้งทำอิทธิฤทธิ์เหาะไปได้ในอากาศ ฉบับสองชื่อแต้ตุน ทำให้ไชศิลาหรือแทรกภูเขาไปได้ ฉบับสามชื่อยินตุน ทำให้กำบังกายไปใช้อาวุธทำร้ายใครก็ได้ และแถมท้ายให้โจโฉละสมบัติเสียไปถือศีลอยู่ในป่าและภูเขากับตน จะได้เรียนวิชาทั้งสามฉบับนี้ไว้ให้ชำนาญ
โจโฉก็ว่ายังไปไม่ได้เพราะราชการงานเมืองมากมาย ไม่มีผู้ใดจะรับธุระแทน โจจู๋ก็หัวเราะแล้วว่า เล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวนก็มีสติปัญญา แล้วก็เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดไม่มอบราชการบ้านเมืองให้ แม้ขัดขืนไม่ทำตามคำ ก็จะสำแดงวิชาเสกอาวุธให้ตัดศีรษะเสีย
โจโฉก็ว่าอ้ายคนนี้พวกเล่าปี่ มันมาสอดแนมราชการในเมืองเรา และให้ทหารจับตัวไว้ ทหารของโจโฉประมาณสามสิบคน ก็เข้ากลุ้มรุมตีด้วยอาวุธและจับมัดไว้ โจจู๋ก็นอนหลับตาหัวเราะอยู่ โจโฉก็ให้เอาขื่อคามาจองจำขึงพืดไว้ แล้วให้ทหารเฝ้าไว้เป็นอันมาก แต่พอรุ่งเช้าทหารก็มาทูลโจโฉว่า ขื่อคาหลุดออกมากองอยู่ โจจู๋นั้นก็ยังนอนเป็นปกติอยู่ โจโฉก็ให้จำขังต่อไปอีกเจ็ดวันโดยไม่ให้ข้าวให้น้ำ โจจู๋ก็ไม่เป็นอันตราย โจโฉก็สิ้นความคิด ไม่รู้ที่จะทำประการใดให้โจจู๋ถึงแก่ความตายได้ จึงต้องปล่อยตัว
ครั้นถึงวันฉลองขึ้นตำหนักใหม่ โจโฉก็จัดเลี้ยงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย โจจู๋ก็เข้ามาในที่ประชุมแล้วสำแดงอิทธิ์ฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น เขียนรูปมังกรไว้ที่ฝาผนัง แล้วก็ควักเอาตับมังกรสด ๆ มาให้โจโฉกิน เอากระถางใส่ดินเปล่ามาตั้งแล้วเสกน้ำรด ก็มีต้นโบตั๋นงอกขึ้นมา และมีดอกสองดอก เมื่อจะกินขิงสด ก็เอาถาดเปล่ามาวาง แล้วเอาเสื้อคลุมก็ได้ขิงสดเต็มถาด แล้วโจจู๋ก็รินสุราใส่จอกคำนับโจโฉ แล้วเชิญให้กินสุรานี้จะได้อายุยืนถึงพันปี โจโฉเกี่ยงให้โจจู๋กินก่อน โจจู๋ก็เอาปิ่นปักผมคั่นจอกสุราไว้แล้วดื่มไปซีกหนึ่งจนจอกว่างครึ่งซีก เหลืออีกซีกหนึ่งก็ส่งให้โจโฉ แต่โจโฉไม่ยอมกิน โจจู๋จึงเอาจอกสุราขว้างโจโฉ แต่กลับกลายเป็นนกกะเรียนบินว่อนอยู่บนศีรษะโจโฉ แล้วก็หายตัวไป โจโฉจึงให้เคาทูทหารเอกคุมพลสามร้อยไปจับโจจู๋ แต่ก็ไม่ได้ตัวมา
โจโฉจึงให้เขียนรูปโจจู๋ส่งไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้จับตัวส่งเข้ามา ก็มีคนที่ถูกจับมาจากเมืองต่าง ๆ ถึงสามร้อยคน หน้าเหมือนโจจู๋ทั้งหมด โจโฉให้ทหารมัดรวมไว้นอกเมือง แล้วเอาโลหิตสุกรและสัตว์ทั้งหลายมารด หวังจะให้เวทย์มนต์เสื่อม และให้ทหารตัดศีรษะเสียทั้งสิ้น เหลือแต่ตัวนั่งอยู่หามีศีรษะไม่ แต่เมื่อโลหิตกระเด็นขึ้นไปในอากาศก็กลายเป็นคนขี่นกกะเรียน ตบมือหัวเราะเยาะอื้ออึงไป โจโฉให้ทหารระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ก็หาถูกไม่ จากนั้นก็เกิดพายุใหญ่พัดหนัก หอบเอาผงคลีฟุ้งตลบ คนที่ถูกตัดศีรษะ ก็ลุกขึ้นฉวยเอาศีรษะของตนไล่ตีโจโฉจนล้มลง แล้วรูปโจจู๋ทั้งหมดก็หายไปสิ้น จากนั้นโจจู๋ก็ไม่มาปรากฏตัวที่เมืองเงียบกุ๋นอีกเลย
ตั้งแต่นั้นมาโจโฉก็ล้มป่วยลง จึงอยากจะดูชตาราศีของตนเอง ว่าจะมีชีวิตยืนยาวไปถึงแค่ไหน โหรประจำเมืองจึงแนะให้ไปตามหมอวิเศษอีกท่านหนึ่งมาดูให้ หมอวิเศษท่านนี้ชื่อ กวนลอ เดิมเป็นชาวเมืองเพงงวนก๋วน เมื่อเด็กชอบเสพสุราและเรียนดูฤกษ์ ครั้นโตขึ้นก็ได้ตำราจิวก๋งไว้ จึงชำนาญการดูเคราะห์โศกป่วยไข้ แม้ผู้ใดจะตายก็รู้ ครั้งหนึ่งภรรยาเจ้าเมืองอันเป๋งป่วยเป็นโรคปวดศีรษะ และบุตรก็เจ็บอยู่ในอกไม่หาย กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า ที่อยู่นั้นมีศพชายสองศพ คนหนึ่งถือทวนอีกคนหนึ่งถือเกาทัณฑ์ ศพแรกนั้นถูกผนังตึกทับอยู่ จึงทำให้ภรรยาปวดศีรษะ ศพหลังอยู่ใต้ถุนทำให้บุตรเจ็บหน้าอก เจ้าเมืองจึงให้รื้อผนังและขุดลึกลงไปประมาณ สี่ศอกก็พบ
ศพทั้งสอง จึงให้เอาศพไปฝังที่อื่น ทั้งบุตรและภรรยาก็หายป่วย
อีกรายหนึ่งเป็นหญิงให้กวนลอดูว่า โคของตนหายไปไหน กวนลอก็บอกว่า มีผู้ร้ายเจ็ดคนลักเอาไปฟากข้างโน้น บัดนี้มันฆ่าเสียแล้วเหลือแต่กระดูกและหนังทิ้งไว้ริมรั้วบ้านมัน หญิงนั้นก็ข้ามฟากไปดูเห็นหนังกับกระดูกทิ้งไว้ ก็แอบมองในบ้านเห็นผู้ร้ายเจ็ดคนเอาเนื้อโคทำแกล้มเหล้าอยู่ จึงไปบอกเจ้าเมืองเพงงวนก๋วนให้ไปจับผู้ร้ายได้ทั้งเจ็ดคน เมื่อผู้ร้ายรับสารภาพแล้ว เจ้าเมืองถามหญิงผู้นั้นว่ารู้ได้อย่างไร ว่าพวกนี้ลักโคไป นางก็บอกว่ากวนลอดูให้
เจ้าเมืองอยากจะลองพิสูจน์ จึงให้ตามกวนลอมา แล้วเอาตราเจ้าเมืองออกจากหีบ เอาหีบเปล่ามาใส่ขนไก่ให้เต็ม ยกมาให้กวนลอทายว่าสิ่งใดอยู่ในหีบ กวนลอก็ทำนายว่า มีขนไก่แดงจำนวนเท่านั้น ขนไก่ดำจำนวนเท่านั้น เจ้าเมืองเปิดออกนับดู ก็ตรงกับที่กวนลอทำนาย จึงตั้งให้เป็นที่ปรึกษา
วันหนึ่งกวนลอไปเที่ยวเล่น เห็นเด็กหนุ่มร่างงามคนหนึ่ง ชื่อเตียวหงัน กำลังไถนาอยู่ รู้ว่าจะถึงแก่ความตาย ก็มีใจเอ็นดูจึงบอกให้รู้ว่าอีกสามวันจะตาย เด็กหนุ่มก็ไปบอกบิดา และพากันมาขอร้องให้กวนลอต่ออายุให้ กวนลอก็บอกให้เอาสุราขวดหนึ่งกับเนื้อก้อนหนึ่งไปที่เขาลำสัน จะมีแท่นศิลาใต้ต้นไม้ใหญ่ มีชายชราสองคนสวมเสื้อขาวคนหนึ่งกับเสื้อแดงคนหนึ่งเล่นหมากรุกกันอยู่ เมื่อถึงเวลาเที่ยงจงเอาสุราและเนื้อนั้นให้กิน แล้วขอต่ออายุสืบไป คืนนั้นสองพ่อลูกก็ขอให้กวนลอค้างอยู่ด้วย
รุ่งขึ้นเตียวหงันก็เอาสุรากับเนื้อ ไปยังที่กวนลอบอกไว้ เห็นชายชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกกันเพลิน ก็รออยู่จนเที่ยงจึงฉีกเนื้อและรินสุราวางไว้ ทั้งสองก็เล่นหมากรุกไปกินเนื้อและดื่มสุรานั้นไปจนหมด เตียวหงันก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ต่ออายุให้ ชายชราเสื้อแดงก็ตกใจว่ากินของเขาไปหมดแล้ว ถ้าไม่ช่วยก็ไม่สมควร ชายเสื้อขาวก็เห็นด้วย จึงเอาบัญชีมาเปิดดู เห็นชื่อเตียวหงันกำหนดตายอายุสิบเก้าปี จะครบอีกสองวันนี้ จึงช่วยเติมลงไปเป็นเก้าสิบเก้าปี พร้อมกับสั่งว่าอย่าไปบอกใคร แล้วทั้งสองก็กลายเป็นนกบินลับไป
เตียวหงันมีความยินดีกลับมาบอกกับกวนลอทุกประการ กวนลอก็บอกว่า ชายชราเสื้อแดงเป็นเทพยดาฝ่ายใต้ ถือบัญชีคนกำเนิด ชายชราเสื้อขาวเป็นเทพยดาฝ่ายเหนือ ถือบัญชีคนซึ่งจะถึงแก่ความตาย แล้วกวนลอก็ลาสองพ่อลูกกลับที่อยู่