[CR] รีวิวล่วงหน้า: Batman V Superman Ultimate Cut (ไม่สปอยล์)

เนื่องจากว่า ผมได้มีโอกาสรับชม Batman V Superman ฉบับ 3 ชั่วโมงในช่วงเวลาที่เว็บ CinemaNow ของอเมริกาเกิด Bug และปล่อยให้ดูได้ก่อนประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว และเนื่องจากวันนี้ (28 ก.ค.) เป็นวันที่ Digital HD วางจำหน่ายได้จริง จึงถือโอกาสมารีวิวในวันนี้
ผมจะไม่รีวิวด้านภาพ/เสียงแต่อย่างใด เพราะว่าฉบับที่ได้ดูเป็น Standard Definition ภาพเสียงจึงไม่คมชัด ละไว้ในฐานที่เข้าใจ นี่เป็นหนังของ Zack Snyder ด้านงานภาพพี่แกไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว


เนื้อเรื่องและการเล่าเรื่อง (+คือสิ่งที่ชอบ -คือสิ่งที่ไม่ชอบ)
+เนื้อเรื่องครึ่งแรก สนุกและน่าสนใจมาก บทกระจายได้ดี มีอะไรให้ทุกตัวละครทำพอๆกัน แทบทุกอย่างเชื่อมโยงกันและสำคัญหมด
+การลำดับภาพ กระชับรวดเร็วขึ้นมาก แทบไม่มีการตัดต่อฉากลากยาวๆ หรือตัดเป็นจอดำพักหนึ่ง แล้วค่อยต่อใหม่ (เว้น 2-3 ฉาก) ทำให้การเล่าเรื่องลื่นไหลไปดีมาก เร็วเหมือน J.J. Abrams กำกับเลย เช่น ในฉบับโรงภาพยนตร์ ฉากงานปาร์ตี้ของเล็กซ์ จะอยู่ประมาณนาทีที่ 45 ฉบับนี้ ก็อยู่ประมาณนาทีที่ 45 เหมือนกัน ห่างกันไม่มาก ทั้งๆที่เนื้อเรื่องได้เพิ่มมามากพอสมควร
+การกำกับในครึ่งแรก แซคทำได้ค่อนข้างดี แม้จะมีบางจุดที่บิ้วไม่สุด แต่โดยรวมผมให้ผ่าน ทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมได้มากพอสมควร และผมไม่รู้สึกเบื่อเลย ทั้งๆที่ครึ่งแรกมีฉากแอคชั่นแค่สองฉาก
+การเล่าเรื่อง เล่าได้เข้าใจง่ายขึ้น หลายประเด็นชัดเจนขึ้น แรงจูงใจของตัวละครชัดเจนจับต้องได้
+ฉากแอคชัน ดีมากๆ ของซุปเปอร์แมนก็ลุ้นแบบนึง งานภาพใช้การแพนจากมุมไกลๆ หรือไม่ก็เป็น Tracking Shot ไล่การเคลื่อนไหว ดูแล้วรู้สึกถึงพลังของซุปเปอร์แมน หรือฉากของแบทแมน ก็ลุ้นระทึกปนสยองขวัญ กล้องไม่สั่น ไม่ตัดไปมาสี่ห้าครั้งในหนึ่งฉาก แต่ใช้การเคลื่อนไหวกล้องตามกระบวนท่า ทำให้เตะต่อยแต่ละที รู้สึกรุนแรงขึ้น

-เนื้อเรื่องครึ่งหลัง ตามสไตล์แซค สไนเดอร์ หนังจะต้องเริ่มเหมือนเป็นหนังปรัชญาการเมืองล้ำลึกเหมือนหนังของคริสโตเฟอร์ โนแลน แล้วท้ายเรื่องก็กลายเป็นหนังระเบิดตูมตามราวกับว่าไมเคิล เบย์กำกับ ซึ่ง BvS ก็หนีไม่พ้นจุดนี้ ครึ่งหลังมีหลายจุดที่ตรรกะป่วย เนื้อเรื่องอ่อน ตัวละครพัฒนาน้อย หรือพัฒนาในแบบที่คนดูไม่อิน
-ฉากดราม่าครึ่งหลัง บิ้วไม่สุดแทบทุกฉาก ทำให้ที่ครึ่งแรกบิ้วมา ตกม้าตายตอนจบกันเกือบหมด
-พวกฉากปูทางไป Justice League ทั้งหลาย ไร้ซึ่งความจำเป็น และทุกครั้งที่มีมา ทำลายจังหวะการเล่าเรื่องหมด ฉากดราม่าอยู่ๆไปตื่นเต้น จากลุ้นระทึกอยู่ต้องมาดูตัวอย่างหนังเดี่ยวพวกนี้ จากฉากเงียบๆเน้นเนื้อเรื่อง ไปฉากแอคชันนิมิตอนาคต ซึ่งฉากเหล่านี้ ถ้าตัดออกไปก็แทบจะไม่มีผลเลย หรือถ้าไม่ตัดออก ก็ควรเล่าให้ดีกว่านี้มากๆ


ตัวละครและการแสดง

Batman/Ben Affleck

+Ben Affleck แสดงดีมาก ร่างกาย สีหน้าท่าทาง Perfect มากทั้งในบทแบทแมน และบรูซ เวย์น เขาไม่ต้องเพิ่งน้ำเสียงหรือทักษะนินจาเหมือนเวอร์ชันก่อนๆ เขาแค่ยืนเฉยๆ ศัตรูก็กลัวหางจุกตูดหมดแล้ว
+บทพูดดีงามมาก
+ตั้งแต่ต้นจนท้ายเรื่อง เขาเป็นตัวละครที่ได้รับการพัฒนามากที่สุด แม้บางอย่างจะเล่ามาไม่ค่อยดี แต่โดยรวมถือว่าผ่าน
+เคมีกับนักแสดงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลเฟรดหรือซุปเปอร์แมน ดูแล้วอินมากๆ

-การนำเสนอตัวละครแบทแมนให้ผู้ชมใหม่ ทำได้ในระดับ "พอใช้" เพราะถ้าผู้ชมคนไหน ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับแบทแมนมาก่อนเลย มีงง/ไม่อินได้แน่นอน เพราะหนังนำเสนอแบทแมนในช่วงวัยกลางคน ต่อสู้มาแล้ว 20 ปี เพิ่งมีกฏใหม่ ซึ่งหนังไม่ได้วางจุดยืนหรือเบื้องหลังใน 20 ปีนั้นให้แบทแมน ฉะนั้นสำหรับผู้ชมใหม่ มาดูแบทแมนในภาคนี้ มันจะเหมือนมาดูภาค 2 ของอะไรซักอย่าง โดยไม่ได้ดูภาคแรกมาก่อน
-บทสรุประหว่างการต่อสู้ของแบทแมนและซุปเปอร์แมน ค่อนข้างย่ำแย่ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับไอเดียของฉากนั้นหรอก ส่วนตัวคิดว่ามันพอใช้ได้ แต่การกำกับมันไปไม่ถึง มันมาแนว จู่ๆก็จบ จะได้รีบๆไปฉากแอคชันฉากต่อไปเลย ไม่ได้เล่าถึงผลกระทบที่มีกับตัวละครภายหลังแต่อย่างใด

ถ้ามองในแง่ความซื่อตรงกับ Comic ที่เคยเขียนมา แบทแมนฉบับนี้ยืมมากจากแบทแมนของ Frank Miller มากพอสมควร มีจิตวิญญาณของแบทแมน มีตัวละครครบแทบทุกด้าน แต่แม้ว่าผมจะชอบแบทแมนฉบับนี้มากๆ ผมก็เถียงไม่ออกนะว่าใน Comic หรือ Animation ที่มีมา เล่าเรื่องดีกว่าในหนังเรื่องนี้ เอาง่ายๆ
ดูจาก The Dark Knight Returns แอนิเมชันสองพาร์ท ในนั้นนำเสนอแบทแมนวัยกลางคนเหมือนกัน ต้องต่อสู้กับซุปเปอร์แมนเหมือนกัน แต่สิ่งที่เรื่องนั้นทำได้ดีกว่าคือ เลือกนำเสนอแบทแมนที่เลิกเป็นแบทแมนมาพักนึง แล้วให้ผู้ชมได้ทำความรู้จักกับเขาใหม่เมื่อเขากลับมา ทำให้ไม่รู้สึกเหมือนปล่อยให้ผู้ชมมาดูเรื่องส่วนกลางๆของแบทแมนโดยไม่มีส่วนแรกๆให้ดู
ส่วนเรื่องมุมมองจากประชาชนที่มองแบทแมน ใน BvS เล่ามาแตะๆผิวเผิญ ซึ่งจากเนื้อเรื่องที่หนามากๆแล้ว เล่าแค่นี้ผมก็ไม่หักคะแนนเท่าไหร่


Superman/Henry Cavill

+บทเด่นพอสมควร เพราะนอกจากจะต้องศึกษาแบทแมนแล้ว ยังต้องจัดการปัญหาที่ทั้งโลกโยนให้ตัวเองด้วย
+นี่เป็นจุดตกต่ำที่สุดที่ซุปเปอร์แมนเคยเผชิญมาก็ว่าได้ ทั้งเรื่องผมสงสารเขามากๆเลย ซุปเปอร์แมนในเรื่องนี้ พัฒนาไปคล้ายๆ ศาสตราจารย์ X ใน X-Men: Days of Future Past หรือแบทแมนใน The Dark Knight Trilogy
+Henry Cavill แสดงดีพอใช้ โดยรวมถือว่าดี เว้นบางฉากที่ควรปรับปรุง

-บทสรุปของซุปเปอร์แมนในเรื่องนี้ ตัวเนื้อเรื่องเอื้อให้เขียนบทไปทางนั้นพอสมควร แต่การเล่าเรื่อง บิ้วไม่ถึงเท่าที่ควร

ถ้ามองจาก Comic ซุปเปอร์แมนฉบับนี้ ใกล้เคียงซุปเปอร์แมนใน Superman: Earth One พอสมควร ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าโอเค มีจิตวิญญาณของซุปเปอร์แมนอยู่ แม้ว่าเนื้อเรื่อง เหตุการณ์รอบๆตัวเขาจะสิ้นหวังมากๆ


Lex Luthor/Jesse Eisenberg

+บทของเล็กซ์ ลูเธอร์ ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทที่เลวซาม บงการปัญหาแทบทุกอย่างในเรื่อง ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น ไม่รู้สึกว่ามีฉากไหนที่ตัวเองแพ้
+บทพูด เขียนมาได้ดีเช่นกัน หลายประโยคเข้ากับตัวละครสุดๆ

-การแสดง บางฉากพอผ่าน แต่หลายฉากก็ดูการ์ตูนเกินไปหน่อย ทำให้บางที มิติของตัวละครดูตื้นๆ ไม่อิน เล่ามาไม่ผ่าน
-หลายอย่างที่เล็กซ์ ลูเธอร์รู้ในเรื่องนี้ โคตรเวอร์เลย เขาไม่ได้รอบรู้ทุกอย่างในแบบที่ว่า เขาฉลาดมากๆๆ ทำให้เขาไปตามสืบได้ มันออกแนวว่า บทต้องการให้เขารู้เพื่อให้เรื่องดำเนินต่อไปได้ ซึ่งหลายอย่าง มันแทบไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ แต่ต้องใช้เวลาเล่านานจนวุ่นวาย หนังเลยตัดบท ไม่เล่าไปเลยซะงั้น

หลายคนโจมตีว่าเล็กซ์ ลูเธอร์ฉบับนี้ ไม่มีความเป็นเล็กซ์ ลูเธอร์เลย เหมือนเป็นริดดเลอร์ หรือโจ๊กเกอร์เสียมากว่า ซึ่งจริงๆแล้วผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่
ด้านบทที่เขียนมา ผมว่ามันเหมือนเล็กซ์ ลูเธอร์เอามากๆ ทั้งบทบาทการกระทำ หรือบทพูด ถ้านึกว่าเป็นอย่างฉบับของ Michael Rosenbaum ผมก็เชื่อนะว่าถ้าใช้ฉบับนั้น ตัวละครก็เข้ากับบทที่เขียนมา
ส่วนด้านแคสติ้ง ที่ไม่ได้นิ่งๆ สุขุม ไม่เหมือน Lex Luthor ในฉบับอื่นๆจำนวนมาก ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับการแคส Jesse Eisenberg เพราะดูฉากการแสดงในเรื่องอื่นๆของเขา รวมถึงทรงผม รูปร่างหน้าตา ผมว่าเหมือน Lex Luthor จาก Superman: Birthright ซึ่งผมก็ชอบฉบับนั้น และโดยรวม ผมก็ชอบฉบับนี้ เพียงแต่ว่าการแสดงของ Jesse หลายฉาก มันการ์ตูนเกินไป แต่พอฉากที่แสดง/กำกับดี มันก็ออกมาดีจริงๆ


Lois Lane/Amy Adams
+ (-) บทเด่นมาก จนบางทีเด่นเกินความจำเป็น เหมือนคนเขียนอยากดันให้เด่น จนมันผิดธรรมชาติของตัวเนื้อเรื่อง
+Amy Adams แสดงดีอยู่แล้ว

-ตัวละครไม่ได้พัฒนาอะไรมาก ซึ่งพอบทเด่นขนาดนี้ ทำให้ตัวละครเหมือนเป็นแค่เครื่องมือดำเนินเรื่อง มากกว่าเป็นตัวละครจริงๆ
-เส้นเรื่องของโลอิส หลายเส้น บทสรุปตื้นเอามากๆ


Alfred/Jeremy Irons
+บทพูดดี ประชดประชันแสบๆ ตลกในแบบของเขา
+Jeremy Irons แสดงดีมากๆ เคมีกับเบ็นเข้าสุดๆ
+วางบทเหมาะสม ไม่ได้เด่นมาก ไม่ต้องพัฒนาอะไรมาก ลงตัวกว่าบทเด่นๆบางคน อย่างโลอิส เลนเยอะ


Wonder Woman/Gal Gadot
+บทวางได้ดีพอใช้ ไม่โดดเด่นเกินความจำเป็น มีแรงจูงใจเป็นของตัวเอง มีการพัฒนาอย่างลงตัว
+ฉากแอคชันขโมยซีนสุดๆ
+Gal Gadot โดยรวมแสดงดี แม้จะมีบางฉากที่ดูแข็งไปหน่อย แต่ก็อินกับเธอในบทนักรบอเมซอนนี้


บทเสริมอื่นๆ อย่าง Perry White (ฮาบ้างในบางฉาก), KGBeast, Mercy Graves, หรือ Martha Kent ก็ดี เหมาะสมตามบทโดยรวมอยู่แล้ว แม้บางตัวจะเปลี่ยนไปจากคอมิค และทำได้ไม่ดีเท่า แต่ส่วนมากจะใช้ได้เต็มประสิทธิภาพของเนื้อเรื่อง
ถ้าจะมีติ จะมีตัวเดียวคือ Jimmy Olsen ซึ่งในฉบับนี้เอ่ยชื่อตัวเองมาชัดเจน แต่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะให้ตัวละครนั้นเป็น Jimmy Olsen เอาซะเลย นอกจากจะใช้ในหนังได้ไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว ยังทำลายโอกาสอื่นๆที่จะใช้ตัวละครนี้อีกด้วย




งานภาพกับงานเสียง ผมยังไม่ขอติ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ส่วนดนตรี ก็ดีงามตามมาตรฐาน Hans Zimmer/Junkie XL อยู่แล้ว

โดยรวม Batman V Superman Ultimate Cut พัฒนาจากฉบับในโรงภาพยนตร์ขึ้นมาพอสมควร แต่ก็ยังมีปัญหาหลายอย่างที่ฉบับโรงมี โดยเฉพาะครึ่งหลัง ซึ่งฉบับในโรง ครึ่งแรกอืดอาดยืดยาด น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจ (หรือมีแล้วเล่าขาดๆหาย) ทำให้พอครึ่งหลังระเบิดตูมตาม มันดูสนุกทันที แต่พอมาฉบับนี้ ครึ่งแรกมันน่าสนใจและสนุกในแบบของมันไปแล้ว พอครึ่งหลังมันตื้นกว่าครึ่งแรก มันกลายเป็นว่าครึ่งหลังดูจืดๆแทน ปัญหาเดิมที่ครึ่งหลังมี มันเลยชัดเจนขึ้นมากๆ

ปัญหาส่วนมาก ผมโยนไปที่การกำกับ บางอย่างขาดๆเกินๆ บางอย่างตรรกะป่วย ทั้งๆที่หลายอย่างเล่านี้ เพิ่มบทพูด/ฉากไปนิดหน่อยก็แก้ได้แล้ว ก็เป็นปัญหาที่แซค สไนเดอร์มีมาทุกเรื่อง คือเลือกไม่ค่อยถูกว่าควรไปให้ความสำคัญกับอะไร แล้วบิ้วตรงนั้นไปให้สุดๆ เลยเล่ามันซะทุกอย่างจนหนังออกมายาวมากๆ การกำกับในแต่ละฉาก โดยรวมแซคทำได้ดีอยู่แล้ว แต่ก็มาตายในการกำกับ "ระหว่างฉาก" เหมือนเดิม
ตัวบทมันหนามากๆ ซึ่งส่วนตัว ผมก็ไม่ได้มีปัญหากับตัวเนื้อเรื่อง ผมไม่ได้คิดว่าตัวเนื้อเรื่องมันแย่ แต่คิดว่าการเล่าเรื่องคือจุดที่เป็นปัญหา ซึ่งบทหนาๆแบบนี้ มาเจอผกก.แบบแซค ปัญหามันเลยใหญ่พอสมควร ทางที่ดี ถ้าแซคจะทำอะไรแบบนี้ น่าจะแบ่งเป็น 2 พาร์ทแบบที่เคยมีข่าวลือออกมาจริงๆ

สรุป ถ้าคุณดูฉบับโรง แล้วไม่ชอบตัวเนื้อเรื่องแบบนี้เอาซะเลย ฉบับนี้ไม่เปลี่ยนใจคุณหรอก
ถ้าคุณดู แล้วไม่ชอบช่องโหว่ต่างๆ ในตัวเนื้อเรื่อง หรือการเล่าเรื่องที่ไม่ลื่นไหล แต่ชอบเส้นเรื่องบางเส้นในหนัง ฉบับนี้จะช่วยคุณได้บ้าง แต่บางปัญหา ก็ไม่หายไปจริงๆ ซึ่งแม้มันจะไม่ได้ดีขึ้นมาก มันก็คุ้มค่ากับ 3 ชม.ที่ผมนั่งดูมัน (แต่ถ้าคุณ "เฉยๆ"กับมัน ไม่ต้องถึงกับรีบซื้อแผ่นก็ได้ รอว่างๆ รอมีใน Netflix ก็พอ)
ถ้าคุณดู แล้วชอบอยู่แล้ว คุณก็ชอบฉบับนี้กว่าเดิมแน่นอน แนะนำให้หาแผ่นมาดูทันทีได้เลย

ครึ่งแรก ผมให้สูงถึง 8/10 แต่ครึ่งหลัง ผมให้แค่ 5.5/10 พอ โดยรวม Batman V Superman: Ultimate Cut ได้ 7/10 เป็นหนังที่ดีพอใช้เรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้ามองในแบบที่ว่า นี่เป็นประวัติศาสตร์ เป็นครั้งแรกที่ฮีโร่ 2 คนที่ดังที่สุดในโลกมาเผชิญหน้ากัน มันก็หน้าผิดหวังพอควร หรือถ้ามองว่ามันเป็นหนังภาคต่อของ Man of Steel หรือเป็นหนังเปิดจักรวาล DCEU มันก็น่าผิดหวังอยู่บ้าง เพราะ MoS เหนือกว่าค่อนข้างมาก อีกทั้งปัญหาหลายอย่าง เกิดจากการที่รีบเปิดทั้งจักรวาลด้วยเรื่องนี้
ชื่อสินค้า:   Batman V Superman: Dawn of Justice - Ultimate Cut
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่