.....สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยว่านี้เป็นเพียงการบันทึกประสบการณ์ต่างๆเล็กๆน้อยๆที่ผ่านเข้ามา ที่เพียงอยากจะแบ่งปัน อยากจะถ่ายทอดผ่านช่องทางสัมคมออนไลน์เท่านั้น โดยมิได้มีเจตนาแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้หากท่านผู้อ่านที่เคยติดตามโอมา คงพอทราบว่าทำไมผมจึงอยากจะเขียนไดอาร์รี่ผ่านพื้นที่สังคมออนไลน์นี้ เล่าย่อๆ อีกครั้งนะครับ เพราะผมเสียดายหากวันหนึ่ง หนข้างหน้าชีวิตที่ผมตั้งไว้ แล้วมิสามารถไปต่อยังจุดหมายที่ตั้งไว้ไม่ได้ อย่างน้อยผมก็ได้ใช้พื้นที่นี้ถ่ยทอดเรื่องราวในชีวิตที่พบเจอ แล้วอาจจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านบางท่านได้บ้าง ก็นั้นแหละครับ วันพรุ่งนี้ก็คือวันพรุ่งนี้ วันนี้ก็คือวันนี้ ผมเคยเล่นเกมส์ๆหนึ่งครับ ผู้นำเกมส์บอกผมว่าตอนนี้ผมมีเหรียญทองในมือ 100 เหรียญ ข้างหน้าผมคือ โถเปล่าๆ 3 ใบ #1โถอดีต #2อนาคต #3ปัจจุบัน ตามลำดับ จากนั้นผู้นำเกมส์ให้ผมแบ่งเหรียญนำไปใส่โถทั้ง 3 ใบนี้ตามใจต้องการ (ลองนึกๆดูนะครับจะใส่โถละเท่าไหร่) .......ตัวผมหรอครับ ให้อดีต 20 เพราะว่าอดีตมันคือบทเรียนที่จะสอนเรา เราต้องนำมาเป็นเรียนด้วย ส่วนโถอนาคต ให้ 30 ครับ เพราะผมอยากมีอานาคตที่ดี ผมจึงคิดว่า ผมต้องรู้จักวางแผนอนาคตเรา ชีวิตจะได้มีทิศทาง ส่วนโถปัจจุบันผมให้ 50 เป็นค่ากลางๆ เป็นการนำโถใบที่ 1 และ 2 มาประยุกต์เข้าหากัน (ความคิดไม่มีผิดถูกใช่ไหมละครับ) หลังจากนั้นผู้นำเกมส์ก็เฉลยเกมส์ "อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แม้ว่ามันจะดีหรือร้ายแต่มันก็คืออดีต เราไม่สามารถกลับไปแก้ไรได้อีกแล้ว อนาคตนั้นนะหรอ ลองนึกๆดูนะครับว่าเมื่อวานเราเคยคิดไหมว่าวันนี้เราจะตื่นกี่โมง จะกินข้าวกับอะไร เรื่องง่ายๆที่เคยคิดไว้ว่าจะทำ สุดท้ายเราอาจจะไม่ได้ทำด้วยเหตุผลนานาจิตตังก็เป็นได้ ....แล้วไงละครับ เพราะอย่างไรเราก็ยังคงต้องมีอาคตใช่ไหม ยังคงต้องมีการวางแผนชีวิตเพื่อชีวิตจะได้มีทิศทางอยู่ดีใช่ไหมละครับ แล้วจะให้เท่าไหร่ดีละถึงจะสมเหตุสมผล ....สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือวินาทีนี้ครับ วันนี้เวลานี้ ปัจจุบันนี้คือสิ่งที่เราต้องจดจ่อกับมัน ทำมันให้ดีที่สุด ปัจจุบันคือสิ่งที่เราควรให้มันมากกว่า 90% ครับ อีกที่เหลือก็กระจายๆกันไป เพราะถ้าวันนี้เราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ผ่านวันนี้ไปอดีตของเรามันก็คงจะดีใช่ไหมละครับ เช่นเดียวกันวันนี้เราเต็มที่ อนาคตที่เราวางแผนไว้คิดว่ามันจะไปได้ถึงไหมละครับ" ....และจากเกมส์ๆนั้นทำให้ผมอยากที่จะถ่ายทอดเรื่องราว อยากจะใช้พื้นที่เล็กๆนี้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ออกไป เพราะผมอบพูดชอบถ่ายทอด ผมว่ามันสนุกดี บางทีผมก็คิดนะว่าจะมีคนมาอ่านไหม แต่มันคือสิ่งที่ผมชื่นชอบผมก็ยังคงอยากที่จะทำมันอยู่ดีแหละครับ ^^
บางคนก็พูดนะกับผมนะครับว่า "อายุแค่ 26 ปีเอง เรื่องราวที่เอ็งผ่านมา ใครๆเค้าก็ผ่านมาหมดเแล้วเหมือนกัน จะเขียนทำไม" ....ผมสนที่ไหนละครับ เพราะผมคิดว่าบางอย่างที่ผมเจอมันมีทั้งสนุก แปลก บางทีก็เศร้าปะบนกันไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ต้องพบเจอทั้งลูกค้า พนักงานด้วยกันเองอีกแหละ อย่างน้อยวันนี้หากผมเขียนอาจจะมีผู้รู้มาให้คำแนะนำก็ได้ว่าถ้าคราวหน้าเจอคนแบบนี้แล้วต้องทำอย่างไร (แต่คงไม่กล้าเขียนตรงๆนะครับ เพราะหน้าผมในโปรไฟล์ชัดเจนขนาดนั้น เดียวโดนดักตีหัวจะยุ่งเอา 5555+++) และที่เขียนก็ไม่ใช่ว่าโอ้อวดว่าตัวเองเก่ง ผ่านโลกมาเยอะนะครับ แต่ยอมรับว่าอยากได้การยอมรับ เพราะทุกๆคนต้องการการยอมรับจากคนรอบข้างจากสังคมครับ
ในบทนำนี้ผมจะขอเขียนช่วงชีวิตที่ผมเป็นทหารครับ แต่จะบอกพื้นฐานผมก่อนนะครับว่าผมไม่ชอบทหารเลย อย่าว่าแต่ทหารเลย ลูกเสือตอนเรียนยังหาเรื่องหลบครับ แล้วในตอนมอ.5 ผู้ชายต้องไปรับหมายตรวจเลือก สด. 3 ใช่ไหมละครับ (อันนี้ไม่มั่นใจนะครับว่าเรียกถูกหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกขอคำแนะนำด้วยนะครับ) ถามว่าผมสนใจไหม บอกเลยว่าไม่ ไม่กลัวจะโดนนั้นนี้โน้นเลยนะครับ มึนเงียบสุดๆ จนไปเรียนมหาลัยปีสุดท้าย ในระหว่างนั้นเพื่อนๆเค้าก็กลับไปผ่อนผันกัน ผมหร๊ออออ นอนอยู่หอเฉ๊ย (สนใจที่ไหน อย่าเอาเป็นตัวอย่างนะครับ แฮร่ๆๆ) แต่ปีสุดท้ายตอนนั้นจะออกฝึกงาน แต่ยังไม่ได้ฝึกหรอกครับ วิ่งตามหัวใจอยู่ (ฮู้ววววว มีความรักไปอีก 5555++) แต่เรื่องความรักค่อยเล่า กลับมาที่ทหารครับ ....ประมาณเดือนมกราคมปี 2556 ผมกลับไปบ้านเกิดที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษเพื่อไปถามสัสดีอำเภอว่าผมไม่เคยมารับเอกสารทหารกองเกินอะไรเลย ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ....รู้ไหมคำตอบที่ได้ จะบอกหนึ่งอย่างท่านสัสดีไม่ด่าไม่ว่าเลยนะครับ ให้คำแนะนำดีมากๆ บอกว่าไปเสียค่าปรับ 300 ที่สถานีตำรวจแล้วก็มาเกณฑ์เดือนเมษายน 2556 เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมาก คือก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ผมก็เคยโทรมาปรึกษาไปแล้วหนึ่งรอบครับ เพราะตัวเองถึงเวลาต้องเข้ารับการตรวจเลือกแล้ว ซึ่งท่านสัสดีบอกว่าไม่เป็นไรตั้งใจเรียนไปให้จบ แล้วปี 2556 ค่อยมาเกณฑ์ยังทัน (คือผมบอกท่านไปว่าผมจะจบประมาณปี 2556 อ่ะครับ) ประมาณต้นเดือนเมษายน 2556 ตอนนี้เป็นหนุ่มโรงงาน AAT (โรงงานที่ดำเนินการผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดและมาสด้าครับ) ก่อนจะกลับไปเกณฑ์ทหารพี่ๆพาไปเลี้ยงที่ผับแห่งหนึ่งแถวๆสัตหีบ แล้วขากลับผมไปดันอ๊วกหน้าศูนย์ฝึกทหารใหม่ ....เพราะงี้มั้งเลยจับได้ใบแดง (555++) แต่ตอนนั้นไม่คิดอะไรมากนั้งรถทัวร์กลับคิดไว้ว่าได้ก็เป็น ไม่ได้ก็กลับไปฝึกงานให้จบรับปริญญาแล้วหางานทำ วินาทีที่ตรวจร่างกายเสร็จนั้นนี้โน้น ท่านเอ้ยยย..... ผมว่าชายไทยหลายคนยังจำวินาทีของการล่วงไหได้ .....แล้วคนที่ประกาศรายชื่อดันเป็นสัสดีคนที่ผมไปขอคำปรึกษา มีส่งสายตาหวานใส่ผมพร้อมกับประกาศออกไมค์ว่า "เอาไหม" .....แหม๋ใจผมนิรัวยังกะกลองแล้วนะ เพราะไอ้คนก่อนหน้าผม 5 คนใบดำหมด .....ผล "ทร๑ทบ๒" รู้เรื่องทหารเรือผลัด 1/56 ..........ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวพักสมอง พักหัวใจ พักการวิ่งตามอนาคต การไขว่ขว้าทุกสิ่งอย่างแล้วตั้งใจรับใช้ชาติ แต่คนที่ดีใจที่สุดคือใครรู้ไหม พ่อผม โห้จะบอกว่าดีใจอย่างกะลูกชายคนเล็กได้เป็นนายพลแหนะ
วันที่ 1 เดือนพฤษภาคม 2556 เดินทางไปศูนย์ฝึกทหารใหม่ที่สัตหีบ (ที่ๆผมไปอ๊วกข้างๆทางเข้ามานั้นแหละครับ เฮ้ออออ) ก่อนไปมีแต่คนกรอกหูนั้นนี้โน้น ใจก็เฉยๆนะครับ ไม่ได้กลัวไรมาก (แค่ขาสั่นๆๆๆ ....เกือบจะดีละ) ไปถึงอาทิตย์แรกๆ โห้ชีวิต.....แดดนิร้อนชิป..แต่ทหารเรือดีอย่างคือเค้าจะฝึกครึ่งวัน อีกครึ่งวันเรียนในห้องเรียนครับ แต่ผมได้ฝึก 13 วัน วันที่ 14 ได้ไปอยู่ที่สโมสรสัญญาบัตร ร้านลีลาสมุทร ศูนย์ฝึกทหารใหม่ (ที่ได้ไปอยู่เพราะเค้าหาคนที่จบการโรงแรมมาครับ) จากนั้นเลยสบายเลย ไม่ได้ฝึก แต่เพื่อนๆที่ฝึกเค้าก็ไม่ได้บ่นอะไรนะครับสนุกดี คือผมจะบอกว่าในค่ายทหารนี้มันมีอะไรมากกว่าที่คนภายนอกคิดมันมีมิตรภาพ ผมมีเพื่อนทุกการศึกษา ทุกอาชีพ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเป็นคือทหารของพระราชา และสิ่งที่ได้จากศูนย์ฝึกฝึกฯ คือคำว่าเพื่อน มิตรภาพ ความเท่าเทียม แม้เราจะมาจากทุกสารทิศ แต่เมื่อมาอยู่จุดนี้เราต้องอยู่ให้ได้ และเพื่อนๆในศูนย์ฯทุกวันนี้ยังคงติดต่อและพูดค่อยกันอยู่ตลอดนะครับ (แต่ที่ดีมากๆคือ ผมอยู่ที่ศูนย์ฝึกฯ 2 เดือนไม่เคยเข้ายามเลยนะ อิอิ)
ผ่านไปเดือนที่ 2 จะต้องมีการแยกย้ายหน่วยผมได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนพลาธิการทหารเรือบางนา ซึ่งหลักสูตรมี 3 หลักสูตรคือ หลักสูตรบริการ จำนวน 60 คน/สหโภชน์ จำนวน 60 คน และหลักสูตรสำนักงาน (ระยะสั้น) จำนวน 20 คน ผมเรียนห้องเรียนนักเรียนพลบริการ สาเหตุที่มาเรียนที่โรงเรียนพลาธิการ เพราะมีคนบอกว่ามันสามารถสอบข้าราชการต่อได้ ซึ่งถ้าผมสอบบรรจุได้ พ่อผมคงดีใจน่าดู เพราะพ่อผมเป็นคนที่อยากได้อะไรท่านจะไม่พูดตรงๆ ได้แต่เปรยๆว่าเป็นทหารมันดีนั้นนี้โน้น แต่ผมรู้ว่าท่านต้องการอะไร เราเป็นลูกอะไรที่ทำแล้วเค้ามีความสุขเราก็อยากจะทำใช่ไหมละครับ ซึ่งผมจะบอกว่าผมโชคดีมากที่มีผู้ใหญ่ใจดีแนะนำให้มาเรียนที่นี้จากทหารใหม่สี่พันกว่า ผมเป็น 1 ในไม่กี่คนที่โชคดีมีคนแนะนำมาอยู่ในที่ๆดีๆแบบนี้ มา 3 วันแรกก็ปกติ วันที่ 4 หัวหน้าห้องผมไปบริจาคเลือด ผมได้รับคัดเลือกให้มาเป็นหัวหน้าห้องเอง และนั้นผมก็ได้เป็นหัวหน้าห้องจนจบหลักสูตร 3 เดือนเลยครับ มาอยู่นี้ต้องอยู่ในการควบคุมของนักเรียนจ่าปี 2 เหล่าพลาธิการ ซึ่งแต่ละคนน้องๆผมทั้งนั้น แต่เราก็ต้องเคารพด้วยความอาวุโสครับ วิชาที่เรียนก็คล้ายๆกับวิชาที่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยครับ (ผมจบมาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรมครับ) แล้วนั้นเมื่อจบหลักสูตรมีการสอบผมก็ได้เป็นผู้ที่มีผลการเรียนดีเด่นอันดับ 1 ของห้องบริการ (ง่ออออออ) ได้รับโล่จากท่านเจ้ากรมพลาธิการทหารเรือด้วยนะครับ
(หาผมเจอไหมครับ 555) สิ่งที่ได้จาก รร.พลาธิการฯ คือการฝึกเป็นผู้นำ และผู้ตาม คำว่าผู้นำคือการที่ได้เป็นหัวหน้าห้อง ส่วนผู้ตามนั้นคือแม้ผมจะอายุมากกว่านักเรียนจ่า แต่ผมก็ต้องทำตัวปกติไม่โอ้ ไม่โวนั้นเองแหละครับ และที่ดีใจกว่านั้นคือได้โล่ผลการเรียนดีเด่นในภาพนั้นแหละครับที่พอจบหลักสูตรทางโรงเรียนปล่อยให้กลับบ้านผมนำโล่นี้ พร้อมแต่งเครื่องแบบสีขาวกลับบ้าน (แววตาของพ่อผมมีความสุขมาก) ก่อนกลับมาทำการย้ายหน่วยครั้งสุดท้ายผมได้ทำการกราบเท้าพ่อแม่ ล้างเท้าขอพร แล้วดื่มน้ำล้างเท้าพ่อแม่ รวมทั้งนำไปอาบชำระร่างกายเพื่อเป็นศิริมงคล ซึ่งหลายคนอาจจะเคยทำผมว่ามันสิ่งที่ดีมากๆครับ เพราะสิ่งศักดิ์ที่สุดของเราก็คือท่านนี้แหละครับ เพราะได้รับคำอวยพรจากคุณพ่อคุณแม่แหละมั้งครับถึงทำให้ผมได้ไปอยู่ในสำนักงานผู้บังคับบัญชาการระดับสูง จนส่งให้ได้มีหน้าที่การงานที่ดีภายหลังปลดประจำการในวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมาครับ ชีวิตการเปป็นทหาร 2 ปีของผมให้อะไรมากมายครับ ทั้งเพื่อน ประสบการณ์ ระเบียบวินัย การวางตัว การประพฤติปฏิบัติมากมายเลยครับ รวมทั้งผมได้รู้จักกับเจ้านายที่ดูแลเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นผู้ที่บอกผมว่า "กยิรา เจ กยิราเถนัง = จะทำสิ่งใด ควรทำให้จริง" ซึ่งเป็นประโยคของเสด็จเตี๋ย บิดาของกองทัพเรือไทยนั้นเอง
ชีวิตคนเรานั้นยากจะคาดเดาจริงๆครับ วันที่ไขว่ขว้างหาหลายๆสิ่ง เรากลับไม่เจอ แต่วันที่หยุดนิ่งสงบ สิ่งที่ตามหามาทั้งชีวิตก็วิ่งเข้ามา....สิ่งที่เราไม่ชอบใครจะไปรู้อาจจะเป็นที่ๆซ่อนสิ่งที่เรากำลังตามหามาทั้งชีวิตก็เป็นได้.....จงทำวันนี้ให้ดี สนุกไปกับมัน....แล้วกลับมาพบกับผจญภัยครั้งใหม่ ขอบคุณและสวัสดีครับ
Ozone Layer ท่องโลกไปในชั้นบรรยากาศ ตอน "เริ่มต้นไปในรั่วของช่อประดู่ไทย ทหารเรือผลัด๑/๕๖"
บางคนก็พูดนะกับผมนะครับว่า "อายุแค่ 26 ปีเอง เรื่องราวที่เอ็งผ่านมา ใครๆเค้าก็ผ่านมาหมดเแล้วเหมือนกัน จะเขียนทำไม" ....ผมสนที่ไหนละครับ เพราะผมคิดว่าบางอย่างที่ผมเจอมันมีทั้งสนุก แปลก บางทีก็เศร้าปะบนกันไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ต้องพบเจอทั้งลูกค้า พนักงานด้วยกันเองอีกแหละ อย่างน้อยวันนี้หากผมเขียนอาจจะมีผู้รู้มาให้คำแนะนำก็ได้ว่าถ้าคราวหน้าเจอคนแบบนี้แล้วต้องทำอย่างไร (แต่คงไม่กล้าเขียนตรงๆนะครับ เพราะหน้าผมในโปรไฟล์ชัดเจนขนาดนั้น เดียวโดนดักตีหัวจะยุ่งเอา 5555+++) และที่เขียนก็ไม่ใช่ว่าโอ้อวดว่าตัวเองเก่ง ผ่านโลกมาเยอะนะครับ แต่ยอมรับว่าอยากได้การยอมรับ เพราะทุกๆคนต้องการการยอมรับจากคนรอบข้างจากสังคมครับ
ในบทนำนี้ผมจะขอเขียนช่วงชีวิตที่ผมเป็นทหารครับ แต่จะบอกพื้นฐานผมก่อนนะครับว่าผมไม่ชอบทหารเลย อย่าว่าแต่ทหารเลย ลูกเสือตอนเรียนยังหาเรื่องหลบครับ แล้วในตอนมอ.5 ผู้ชายต้องไปรับหมายตรวจเลือก สด. 3 ใช่ไหมละครับ (อันนี้ไม่มั่นใจนะครับว่าเรียกถูกหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกขอคำแนะนำด้วยนะครับ) ถามว่าผมสนใจไหม บอกเลยว่าไม่ ไม่กลัวจะโดนนั้นนี้โน้นเลยนะครับ มึนเงียบสุดๆ จนไปเรียนมหาลัยปีสุดท้าย ในระหว่างนั้นเพื่อนๆเค้าก็กลับไปผ่อนผันกัน ผมหร๊ออออ นอนอยู่หอเฉ๊ย (สนใจที่ไหน อย่าเอาเป็นตัวอย่างนะครับ แฮร่ๆๆ) แต่ปีสุดท้ายตอนนั้นจะออกฝึกงาน แต่ยังไม่ได้ฝึกหรอกครับ วิ่งตามหัวใจอยู่ (ฮู้ววววว มีความรักไปอีก 5555++) แต่เรื่องความรักค่อยเล่า กลับมาที่ทหารครับ ....ประมาณเดือนมกราคมปี 2556 ผมกลับไปบ้านเกิดที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษเพื่อไปถามสัสดีอำเภอว่าผมไม่เคยมารับเอกสารทหารกองเกินอะไรเลย ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ....รู้ไหมคำตอบที่ได้ จะบอกหนึ่งอย่างท่านสัสดีไม่ด่าไม่ว่าเลยนะครับ ให้คำแนะนำดีมากๆ บอกว่าไปเสียค่าปรับ 300 ที่สถานีตำรวจแล้วก็มาเกณฑ์เดือนเมษายน 2556 เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมาก คือก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ผมก็เคยโทรมาปรึกษาไปแล้วหนึ่งรอบครับ เพราะตัวเองถึงเวลาต้องเข้ารับการตรวจเลือกแล้ว ซึ่งท่านสัสดีบอกว่าไม่เป็นไรตั้งใจเรียนไปให้จบ แล้วปี 2556 ค่อยมาเกณฑ์ยังทัน (คือผมบอกท่านไปว่าผมจะจบประมาณปี 2556 อ่ะครับ) ประมาณต้นเดือนเมษายน 2556 ตอนนี้เป็นหนุ่มโรงงาน AAT (โรงงานที่ดำเนินการผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดและมาสด้าครับ) ก่อนจะกลับไปเกณฑ์ทหารพี่ๆพาไปเลี้ยงที่ผับแห่งหนึ่งแถวๆสัตหีบ แล้วขากลับผมไปดันอ๊วกหน้าศูนย์ฝึกทหารใหม่ ....เพราะงี้มั้งเลยจับได้ใบแดง (555++) แต่ตอนนั้นไม่คิดอะไรมากนั้งรถทัวร์กลับคิดไว้ว่าได้ก็เป็น ไม่ได้ก็กลับไปฝึกงานให้จบรับปริญญาแล้วหางานทำ วินาทีที่ตรวจร่างกายเสร็จนั้นนี้โน้น ท่านเอ้ยยย..... ผมว่าชายไทยหลายคนยังจำวินาทีของการล่วงไหได้ .....แล้วคนที่ประกาศรายชื่อดันเป็นสัสดีคนที่ผมไปขอคำปรึกษา มีส่งสายตาหวานใส่ผมพร้อมกับประกาศออกไมค์ว่า "เอาไหม" .....แหม๋ใจผมนิรัวยังกะกลองแล้วนะ เพราะไอ้คนก่อนหน้าผม 5 คนใบดำหมด .....ผล "ทร๑ทบ๒" รู้เรื่องทหารเรือผลัด 1/56 ..........ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวพักสมอง พักหัวใจ พักการวิ่งตามอนาคต การไขว่ขว้าทุกสิ่งอย่างแล้วตั้งใจรับใช้ชาติ แต่คนที่ดีใจที่สุดคือใครรู้ไหม พ่อผม โห้จะบอกว่าดีใจอย่างกะลูกชายคนเล็กได้เป็นนายพลแหนะ
วันที่ 1 เดือนพฤษภาคม 2556 เดินทางไปศูนย์ฝึกทหารใหม่ที่สัตหีบ (ที่ๆผมไปอ๊วกข้างๆทางเข้ามานั้นแหละครับ เฮ้ออออ) ก่อนไปมีแต่คนกรอกหูนั้นนี้โน้น ใจก็เฉยๆนะครับ ไม่ได้กลัวไรมาก (แค่ขาสั่นๆๆๆ ....เกือบจะดีละ) ไปถึงอาทิตย์แรกๆ โห้ชีวิต.....แดดนิร้อนชิป..แต่ทหารเรือดีอย่างคือเค้าจะฝึกครึ่งวัน อีกครึ่งวันเรียนในห้องเรียนครับ แต่ผมได้ฝึก 13 วัน วันที่ 14 ได้ไปอยู่ที่สโมสรสัญญาบัตร ร้านลีลาสมุทร ศูนย์ฝึกทหารใหม่ (ที่ได้ไปอยู่เพราะเค้าหาคนที่จบการโรงแรมมาครับ) จากนั้นเลยสบายเลย ไม่ได้ฝึก แต่เพื่อนๆที่ฝึกเค้าก็ไม่ได้บ่นอะไรนะครับสนุกดี คือผมจะบอกว่าในค่ายทหารนี้มันมีอะไรมากกว่าที่คนภายนอกคิดมันมีมิตรภาพ ผมมีเพื่อนทุกการศึกษา ทุกอาชีพ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเป็นคือทหารของพระราชา และสิ่งที่ได้จากศูนย์ฝึกฝึกฯ คือคำว่าเพื่อน มิตรภาพ ความเท่าเทียม แม้เราจะมาจากทุกสารทิศ แต่เมื่อมาอยู่จุดนี้เราต้องอยู่ให้ได้ และเพื่อนๆในศูนย์ฯทุกวันนี้ยังคงติดต่อและพูดค่อยกันอยู่ตลอดนะครับ (แต่ที่ดีมากๆคือ ผมอยู่ที่ศูนย์ฝึกฯ 2 เดือนไม่เคยเข้ายามเลยนะ อิอิ)
ผ่านไปเดือนที่ 2 จะต้องมีการแยกย้ายหน่วยผมได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนพลาธิการทหารเรือบางนา ซึ่งหลักสูตรมี 3 หลักสูตรคือ หลักสูตรบริการ จำนวน 60 คน/สหโภชน์ จำนวน 60 คน และหลักสูตรสำนักงาน (ระยะสั้น) จำนวน 20 คน ผมเรียนห้องเรียนนักเรียนพลบริการ สาเหตุที่มาเรียนที่โรงเรียนพลาธิการ เพราะมีคนบอกว่ามันสามารถสอบข้าราชการต่อได้ ซึ่งถ้าผมสอบบรรจุได้ พ่อผมคงดีใจน่าดู เพราะพ่อผมเป็นคนที่อยากได้อะไรท่านจะไม่พูดตรงๆ ได้แต่เปรยๆว่าเป็นทหารมันดีนั้นนี้โน้น แต่ผมรู้ว่าท่านต้องการอะไร เราเป็นลูกอะไรที่ทำแล้วเค้ามีความสุขเราก็อยากจะทำใช่ไหมละครับ ซึ่งผมจะบอกว่าผมโชคดีมากที่มีผู้ใหญ่ใจดีแนะนำให้มาเรียนที่นี้จากทหารใหม่สี่พันกว่า ผมเป็น 1 ในไม่กี่คนที่โชคดีมีคนแนะนำมาอยู่ในที่ๆดีๆแบบนี้ มา 3 วันแรกก็ปกติ วันที่ 4 หัวหน้าห้องผมไปบริจาคเลือด ผมได้รับคัดเลือกให้มาเป็นหัวหน้าห้องเอง และนั้นผมก็ได้เป็นหัวหน้าห้องจนจบหลักสูตร 3 เดือนเลยครับ มาอยู่นี้ต้องอยู่ในการควบคุมของนักเรียนจ่าปี 2 เหล่าพลาธิการ ซึ่งแต่ละคนน้องๆผมทั้งนั้น แต่เราก็ต้องเคารพด้วยความอาวุโสครับ วิชาที่เรียนก็คล้ายๆกับวิชาที่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยครับ (ผมจบมาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรมครับ) แล้วนั้นเมื่อจบหลักสูตรมีการสอบผมก็ได้เป็นผู้ที่มีผลการเรียนดีเด่นอันดับ 1 ของห้องบริการ (ง่ออออออ) ได้รับโล่จากท่านเจ้ากรมพลาธิการทหารเรือด้วยนะครับ
(หาผมเจอไหมครับ 555) สิ่งที่ได้จาก รร.พลาธิการฯ คือการฝึกเป็นผู้นำ และผู้ตาม คำว่าผู้นำคือการที่ได้เป็นหัวหน้าห้อง ส่วนผู้ตามนั้นคือแม้ผมจะอายุมากกว่านักเรียนจ่า แต่ผมก็ต้องทำตัวปกติไม่โอ้ ไม่โวนั้นเองแหละครับ และที่ดีใจกว่านั้นคือได้โล่ผลการเรียนดีเด่นในภาพนั้นแหละครับที่พอจบหลักสูตรทางโรงเรียนปล่อยให้กลับบ้านผมนำโล่นี้ พร้อมแต่งเครื่องแบบสีขาวกลับบ้าน (แววตาของพ่อผมมีความสุขมาก) ก่อนกลับมาทำการย้ายหน่วยครั้งสุดท้ายผมได้ทำการกราบเท้าพ่อแม่ ล้างเท้าขอพร แล้วดื่มน้ำล้างเท้าพ่อแม่ รวมทั้งนำไปอาบชำระร่างกายเพื่อเป็นศิริมงคล ซึ่งหลายคนอาจจะเคยทำผมว่ามันสิ่งที่ดีมากๆครับ เพราะสิ่งศักดิ์ที่สุดของเราก็คือท่านนี้แหละครับ เพราะได้รับคำอวยพรจากคุณพ่อคุณแม่แหละมั้งครับถึงทำให้ผมได้ไปอยู่ในสำนักงานผู้บังคับบัญชาการระดับสูง จนส่งให้ได้มีหน้าที่การงานที่ดีภายหลังปลดประจำการในวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมาครับ ชีวิตการเปป็นทหาร 2 ปีของผมให้อะไรมากมายครับ ทั้งเพื่อน ประสบการณ์ ระเบียบวินัย การวางตัว การประพฤติปฏิบัติมากมายเลยครับ รวมทั้งผมได้รู้จักกับเจ้านายที่ดูแลเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นผู้ที่บอกผมว่า "กยิรา เจ กยิราเถนัง = จะทำสิ่งใด ควรทำให้จริง" ซึ่งเป็นประโยคของเสด็จเตี๋ย บิดาของกองทัพเรือไทยนั้นเอง
ชีวิตคนเรานั้นยากจะคาดเดาจริงๆครับ วันที่ไขว่ขว้างหาหลายๆสิ่ง เรากลับไม่เจอ แต่วันที่หยุดนิ่งสงบ สิ่งที่ตามหามาทั้งชีวิตก็วิ่งเข้ามา....สิ่งที่เราไม่ชอบใครจะไปรู้อาจจะเป็นที่ๆซ่อนสิ่งที่เรากำลังตามหามาทั้งชีวิตก็เป็นได้.....จงทำวันนี้ให้ดี สนุกไปกับมัน....แล้วกลับมาพบกับผจญภัยครั้งใหม่ ขอบคุณและสวัสดีครับ