(ดูแล้วมาเล่า) “WHERE TO INVADE NEXT” สารคดีจิกกัดอเมริกา แต่ตบหน้าประเทศไทยเต็มๆ


..... "ทำไมประเทศที่เราอยู่ ถึงได้ดักดานเต่าล้านปี และพวกคนใหญ่คนโตในบ้านเมือง
ส่วนใหญ่ถึงได้มีแต่มนุษย์หัวขี้เลื่อย และจ้องแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อ จนบ้านเมืองมันตกต่ำได้ถึงขนาดนี้!!"
..... แม้สารคดีเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับประเทศไทย แต่ดูจบแล้วอดคิดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
..... หลากหลายอารมณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งน้ำตาตกใน อัดอั้น สงสัย และโมโห ไปพร้อมๆ กับ
การสบถกับตัวเองเบาๆ อย่างที่กล่าวมา

..... ความจริงแล้วสารคดีชุดนี้ มีหมุดหมายที่จะประชดเสียดสี “อเมริกา” ประเทศที่ "ตั้งตน" เป็นศูนย์กลางของโลก
และมีความ “หลงตน” ว่า คนของตัวเองเก่งดี มีคุณภาพ และอเมริกาเองก็เป็นแดนสวรรค์สำหรับคนทั่วโลก
..... “ไมเคิล มัวร์” ผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้ จึงอาสาเป็นไกด์พาทัวร์นานา อารยประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรป
เพื่อตามหาเรื่องราวดีๆ ที่ประเทศอื่นมี แต่หาไม่ได้ในอเมริกา!

..... แน่นอนว่าทุกประเทศย่อมมี "เรื่องดี" และ "เรื่องแย่" ปะปนและแตกต่างกันออกไป แต่เพื่อ “หักหน้า” อเมริกา
ดินแดนแห่งเสรีที่อะไรหลายๆ อย่าง ก็ไม่ได้ดีอย่างที่คุยโม้โอ้อวด
..... เพราะฉะนั้น เรื่องราวที่สารคดีชุดนี้ “คัดสรร” มาให้เราเปิดโลกทัศน์ จึงเป็นแนวคิดและนโยบายดีๆ
จากต่างประเทศที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
..... "ทุกที่ล้วนมีพงหญ้า แต่เราไม่ได้มาเก็บหญ้า... เรามาเก็บดอกไม้!!" ไมเคิล มัวร์ กล่าวทำนองนั้น

..... แม้ทีเล่นทีจริงในหนัง จะตั้งใจจิกกัดอเมริกาอย่างโจ่งแจ้ง แต่เราในฐานะ "ประชาชนคนไทย"
กลับรู้สึกเจ็บจุก และรู้สึกเหมือนโดน “พายุฝ่ามือ” ตบหน้าเข้าอย่างจัง
..... สมองครุ่นคิดและเห็นพ้องไปกับหนังว่า ด้วยความ “งี่เง่า” หลายๆ ประการของประเทศ “กำลังพัฒนา” อย่างเรา
ก็เห็นควรจะได้รับเกียรติแห่งการ "ด่าทอ" และ "ตั้งคำถาม" ในครั้งนี้ไปพร้อมกับอเมริกา

..... Where to Invade Next พาเราไปเก็บและเชยชม “ดอกไม้” แห่งแนวคิดที่เจริญงอกงามจากนานาประเทศ
..... “อิตาลี” กับกฎหมายให้สวัสดิการมากมาย เพื่อทำให้ลูกจ้างมีความสุขกับการทำงาน
..... “ฝรั่งเศส” กับการใส่ใจอาหารการกินของเด็กนักเรียน และการสอนเพศศึกษาอย่างเปิดเผยในโรงเรียน
..... “สโลวีเนีย” กับแนวคิดการศึกษาไม่ใช่การลงทุน ที่นี่เรียนฟรีจนถึงมหาวิทยาลัย และไม่ยอมให้การศึกษาเป็นตัวก่อหนี้สิน
..... “ฟินแลนด์” กับความเป็นเบอร์ 1 ด้านการศึกษา เรียนน้อยแต่ได้คุณภาพ และไม่เร่งรัดยัดเยียดความรู้
..... “เยอรมนี” กับการสอนให้คนรุ่นหลังใช้ประวัติศาสตร์เป็นบทเรียน และมีส่วนรับผิดชอบกับสิ่งที่ประเทศตัวเองได้ก่อไว้
..... “โปรตุเกส” กับกฎหมายไม่เอาผิดผู้เสพยา แต่สังคมสามารถอยู่ร่วมกับยาเสพติดได้อย่างสงบสุข
..... “นอร์เวย์” กับกฎหมายให้นักโทษมีสิทธิ์เลือกตั้ง และการปฏิบัติกับนักโทษอย่างมีมนุษยธรรม
..... “ตูนีเซีย” กับการให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิสตรี
..... และ “นอร์เวย์” กับการยอมรับความสามารถและการให้อำนาจกับผู้หญิง

..... หากเราเชื่อในคำกล่าวที่ว่า "ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว"
..... "กระจกสะท้อน" ที่เกิดขึ้นจากการดูสารคดีชุดนี้ ก็เห็นจะมีแต่คำว่า... ทำไม! ทำไม!! และก็ทำไม!!!
..... มีคำถามและข้อสังสัยเกิดขึ้นมากมาย เกี่ยวกับพฤติการณ์ของประเทศไทย ที่เรียกตัวเองว่า "กำลังพัฒนา"
มาหลายสิบปี แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
..... “ดอกไม้” จากหลายสายพันธุ์ที่กล่าวมา จึงมี 3 สายพันธุ์น่าสนใจ ที่ประเทศไทยควรเก็บมาใส่แจกัน และมันสมองให้มากๆ

..... ประเด็นแรกที่ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุด คือ “ดอกไม้แห่งความรู้”
..... การศึกษาของประเทศ “ฟินแลนด์" ที่ทั่วถึงและมีคุณภาพ ชั่วโมงเรียนอาจจะน้อยมาก และไม่เร่งรัดยัดเยียดความรู้ใส่สมอง
..... การเรียนการสอนเน้นให้เด็กค้นหาตัวเอง และคอยส่งเสริมในสิ่งที่เขามีความถนัด ไม่ใช่เน้นแข่งขันวิชาการ
เพราะฉะนั้นการให้การบ้าน จึงกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นสำหรับที่นี่
..... เด็กนักเรียนไม่ต้องแย่งกันเข้าโรงเรียนดังๆ ในเมือง เพราะคุณภาพการเรียนการสอนของเขาเท่ากันหมดทุกที่
..... เพราะฉะนั้นโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศฟินแลนด์ คือโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน เพราะทำให้เด็กมีเวลาอยู่กับครอบครัว

..... ดอกไม้พันธุ์ต่อมาคือ “ดอกไม้แห่งการทำงาน”
..... ในประเทศ "อิตาลี" แนวคิดที่จะให้มนุษย์เงินเดือนหรือลูกจ้าง ทุ่มเทให้กับงานแบบพลีกายถวายหัว
เป็นวัฒนธรรมที่เหลวไหลและไม่ควรทำ
..... ที่นี่มีชั่วโมงการทำงานค่อนข้างน้อย เพื่อให้ลูกจ้างเอาเวลาที่เหลือไปใช้ชีวิตให้มีความสุข
..... แล้วความสุขจากการใช้ชีวิต พร้อมกับสวัสดิการ ทั้งวันหยุด วันลาจำนวนมาก พร้อมกับเงินโบนัสปลายปี
ที่ได้แบบชัวร์ๆ โดยไม่ต้องทำงานเพิ่ม จะทำให้เขารักงาน รักองค์กร และเต็มที่กับมัน
..... ส่วนที่ "เยอรมนี" มีการแยกเวลางาน และเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน ห้ามทวงงานทางโทรศัพท์ ไลน์
หรืออีเมลในวันหยุด วันลา และนอกเวลางาน!

..... ปิดท้ายด้วยเรื่องของ “ดอกไม้แห่งประวัติศาสตร์”
..... อดีตอันเจ็บปวดของ "เยอรมนี" โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ได้ถูกกำหนดจากรุ่นสู่รุ่น
ให้กลายเป็นความรับผิดชอบของคนทั้งประเทศ
..... คนเยอรมันจึงถูกปลูกฝังให้มีส่วนร่วมกับความเจ็บปวดในอดีต ด้วยการรู้จักยอมรับความจริง และนำมันมาเป็นบทเรียน
..... สำหรับที่นี่ การยอมรับความจริงไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่จำเป็นต้องตบแต่งประวัติศาสตร์ให้ตัวเองดูดี
ไม่โบ้ยหรือแก้ตัวในความผิดพลาดของตัวเอง
..... แต่สิ่งที่คนเยอรมันทำคือ ก้มหน้าก้มตารับความจริง และพยายามหาทางชดใช้ในสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ก่อขึ้น

..... ส่วน “ดอกไม้” ของประเทศไทย จะเป็นดอกไม้สายพันธุ์ไหน
..... จะมีมากกว่า "พงหญ้า" หรือไม่
..... จะงดงามเหมือนดอกไม้ต่างประเทศที่ว่ามาหรือเปล่า
..... พวกเราลองถามใจตัวเองดูนะครับ


ติดตามพูดคุยเรื่องหนังเพิ่มเติมกันได้ที่เพจ "เบิกโรงซินีม่า"
https://www.facebook.com/BergRongCinema/
ยินดีต้อนรับคนรักหนังทุกคนนะครับ ^ ^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่