ชีวิตที่ไร้ค่า ๒๗ มิ.ย.๕๙

กระทู้สนทนา
ปกิณกะสามก๊ก

ชีวิตที่ไร้ค่า
                                                           "เล่าเซี่ยงชุน"

                    วรรณคดีเรื่องสามก๊กนั้น ได้มีผู้นำมาเล่าในรูปแบบต่าง ๆ มากมายในรอบ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา แต่ลิ่วล้อผู้นี้จะขอเล่าถึงตัวประกอบ ที่ไม่มีใครรู้จักเพราะมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเพียงสั้น ๆ เหมือนเราดูภาพรามเกียรติ์ จากฝาผนังระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามขอบ ๆ มุม ๆ ของภาพอันกว้างใหญ่ เท่านั้น

                    ดังเช่น เล่าโต๋ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของพระเจ้าเลนเต้  มาตั้งแต่ยังเยาว์ จนถึงคราวที่บ้านเมืองเกิดกลียุค มีพวกโจรเกิดขึ้นหลายก๊กหลายเหล่า พระเจ้าเลนเต้   ก็มิได้เอาใจใส่ คงเสพสุราเคล้านารีอยู่ในพระราชวัง กับขันทีสิบคนที่เป็นใหญ่อยู่ในวัง  เล่าโต๋ได้ข่าวว่าพวกโจรโพกผ้าเหลือง ที่ถูกปราบปรามไปแล้วนั้น ยังไม่สิ้นทราก บางคนแอบไปตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองอื่น ๆ ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเลนเต้ในสวน กราบทูลให้ทรงทราบ และฟ้องว่าขันทีทั้งสิบคนที่ฮ่องเต้รักใคร่ไว้วางใจนั้น ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม  ทำความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร จึงเกิดจลาจลขึ้นอีก ขันทีทั้งสิบก็ทำเป็นเสียใจ ขอลาออกจากราชการ ฮ่องเต้ก็โกรธ หาว่าเล่าโต๋ใส่ร้ายขันทีคนโปรด จึงสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสีย

                    ฝ่าย ตันต๋ำ ขุนนางผู้ใหญ่ได้ทราบเรื่องก็รีบเข้าวังมาขออภัยโทษ ด้วยเล่าโต๋เป็นพระพี่เลี้ยงได้ทำนุบำรุงสั่งสอนฮ่องเต้มาจนแก่เฒ่า  พระเจ้าเลนเต้ก็ไม่ฟัง   ตันต๋ำก็ย้ำว่าขันทีทั้งสิบคนนี้ประพฤติหยาบช้าจริง  และขันทีที่ชื่อฮองสีก็เป็นใส้ศึก ให้แก่พวกโจรโพกผ้าเหลืองมาแล้วด้วย แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมเชื่อ  ตันต๋ำมีความน้อยใจจึงเอาศรีษะกระแทกกับแท่นที่ประทับ จนศรีษะแตกโลหิตไหล ฮ่องเต้ก็ยิ่งโกรธหนักขึ้น สั่งให้ตำรวจวังเอาตัวเล่าโต๋และตันต๋ำไปขังคุกเสียทั้งสองคน  พอค่ำลงขันทีทั้งสิบคนก็เรียกผู้คุมมาสั่งให้ลอบเข้าไปฆ่าผู้เฒ่าทั้งสองเสียในเวลาสองยามคืนนั้นเอง สิ้นกรรมไปที

                       อ้วนเสี้ยวซึ่งเดิมเป็นเพื่อนกับโจโฉ  เคยร่วมมือกันยกกองทัพฝ่ายหัวเมืองมาขับไล่ตั๋งโต๊ะมหาอุปราชคนแรกของพระเจ้าเหี้ยนเต้  ซึ่งสืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าเลนเต้  แต่ไม่สำเร็จเพราะพวกหัวเมืองทั้งสิบกว่าเมืองนั้น  ไม่มีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจกัน  ต่างก็แก่งแย่งชิงดีอิจฉาริษยากัน  แล้วก็พากันยกทัพกลับไปบ้านเมืองของตนจนหมด  อ้วนเสี้ยวซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นแม่ทัพ  ก็เหลือแต่ตัวกับทหารอีกไม่มากมาตั้งหลักอยู่ที่เมืองโห้ลาย  ซึ่งเป็นเมืองเล็กนิดเดียวแต่ได้อาศัยเจ้าเมืองกิจิ๋วคอยส่งเสบียงให้ไม่ขาด  ลิ่วล้อของอ้วนเสี้ยวก็ยุให้เข้ายึดเมืองกิจิ๋วเสียเลยจะได้อยู่อย่างสบาย  อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยจึงมีหนังสือไปชวนกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋ง  ให้ยกทหารมาตีเมืองกิจิ๋ว  พอฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วรู้ข่าวก็ตกใจกลัวจึงมีหนังสือถึงอ้วนเสี้ยวให้ยกทหารไปช่วย    อ้วนเสี้ยวก็ดีใจรีบยกพลจะเข้าไปอยู่ในเมืองกิจิ๋ว โดยมิต้องเสียเลือดเนื้อ  แต่ขุนนางของฮันฮกสองคนคือ  เก๋งบู  กับ ก้วนซุน ไม่เห็นด้วยได้คัดค้านว่า  

                       อ้วนเสี้ยวนั้นเป็นเป็นคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว  ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้  ก็เพราะท่านให้ส่งเสบียง  อุปมาเหมือนทารกถ้ามารดามิให้นมกินแล้วทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป  ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมือง  เหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ  ฝูงเนื้อทั้งปวงก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง

                         แต่ฮันฮกไม่เชื่อฟังอ้างความกตัญญูว่า ตนได้เป็นเจ้าเมืองเพราะคนแซ่อ้วนช่วยเหลือ  และเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเป็นคนมีสติปัญญาดีกว่าตน  จึงขอให้มาช่วยรักษาบ้านเมือง  เมื่ออ้วนเสี้ยวยกทหารเข้าประตูเมืองกิจิ๋ว  เก๋งบูกับก้วนซุนก็ไปแอบคอยทีอยู่  พออ้วนเสี้ยวผ่านมาก็ชักกระบี่จะฆ่าอ้วนเสี้ยว  แต่ก็ไม่สำเร็จ  ถูกทหารเอกของอ้วนเสี้ยวสองคนฆ่าตายไปทั้งคู่

                          และเมื่ออ้วนเสี้ยวยึดครองเมืองกิจิ๋วได้แล้ว ก็ถอดขุนนางเดิมออกจนหมดเอาแต่ที่ปรึกษาและทหารของตนมาครองตำแหน่งแทน  ฮันฮกเห็นว่าอยู่ต่อไปคงจะเป็นอันตรายแน่  จึงทิ้งลูกเมียหนีไปอยู่เสียที่เมืองตันลิวแต่ผู้เดียว

                       ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง เป็นน้องชายของอ้วนเสี้ยว ผู้ยิ่งใหญ่ทางภาคเหนือ  เกิดโชคดีได้ตราหยกประจำองค์ฮ่องเต้มาจากซุนเซ็ก ก็คิดตนเองมีบุญจะตั้งตนเป็นฮ่องเต้ แต่จะต้องขยายอำนาจออกไปให้พอสมควรก่อน  จึงหมายตาไปที่เมืองชีจิ๋ว  ซึ่งลิโป้อัศวินผู้เก่งกล้า กับเล่าปี่เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ยึดครองอยู่ ครั้นจะยกทัพไปตีเอาเมืองโดยตรง ที่ปรึกษาก็คัดค้านว่า จะต้องผูกมิตรกับลิโป้ก่อน แล้วจึงตีเล่าปี่ทีหลังก็จะสำเร็จโดยง่าย อ้วนสุดจึงแต่งทูตไปเจรจาขอบุตรสาวของลิโป้ ให้แต่งงานกับบุตรชายของตน ทูตผู้นั้นคือ หันอิ้น  โดยให้คุมเอาสิ่งของที่ดีเป็นอันมาก ไปเป็นของหมั้น  เมื่อลิโป้ฟังหันอิ้นเจรจาก็มีความยินดี รับเอาของเหล่านั้นไว้  และปรึกษากับภรรยาว่า อ้วนสุดเป็นผู้มีวาสนาต่อไปจะเป็นเจ้า บุตรสาวของเราก็จะมีความสุข จึงรีบส่งตัวบุตรสาวขึ้นเกวียนไม้หอม มอบให้หันอิ้นและให้นายทหารสองคนคุมสิ่งของตามธรรมเนียม กับมีทหารแห่กลับไปเมืองลำหยง แต่ไปได้ไม่นานลิโป้ถูกยุแหย่จากที่ปรึกษา ซึ่งไม่ชอบอ้วนสุดและเป็นพวกโจโฉ ลิโป้ก็ให้นายทหารเอกไปพาลูกสาวกลับเมืองชีจิ๋ว แล้วเอาหันอิ้นไปขังคุกไว้

                    ต่อมาโจโฉอยากจะเอาใจลิโป้จึงตั้งให้เป็น ทหารใหญ่ผู้ปราบโจรฝ่ายตะวันออก ลิโป้ก็จงรักภักดีต่อโจโฉ  พออ้วนสุดให้คนมาทวงถาม   เรื่องการส่งตัวบุตรสาวของลิโป้ ไปแต่งงานกับบุตรชายที่เมืองลำหยง แล้วจะได้ตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน  ลิโป้ก็ว่าอ้วนสุดเป็นขบถจึงฆ่าทหารของอ้วนสุดเสีย แล้วเอาตัวหันอิ้นเข้าขื่อคาส่งไปให้โจโฉที่เมืองฮูโต๋  โจโฉต้องการให้ลิโป้ตัดขาดกับอ้วนสุด  จึงให้เอาตัวหันอิ้นไปประหารชีวิตเสีย  หันอิ้นซึ่งเป็นทูตของอ้วนสุดมาโดยสุจริต จึงต้องตายโดยไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลยแม้แต่น้อย

                      ขณะเมื่อโจโฉปรองดองกับเตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียจนเป็นมิตรกันได้แล้ว ก็คิดจะเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วต่อไป  เมื่อถามที่ปรึกษาก็แนะให้ใช้ ยี่เอ๋ง ซึ่งเป็นชาวเมืองหล่อ อายุยี่สิบปีมีสติปัญญารู้หลักมาก เมื่อได้เห็นหรือได้ยินเรื่องราวใด ๆ ใจก็คิดได้ตลอดไม่ขัดขวาง ประมาณการถูกต้องทุกอย่าง  โจโฉก็ตั้งให้เป็นขุนนางแล้วก็เอาตัวมาลองใช้ดู แต่ปรากฎว่ายี่เอ๋งพูดจาไม่เข้าหูโจโฉโดยตำหนิติเตียน ที่ปรึกษาและทหารเอกของโจโฉว่าไม่ได้เรื่องสักคน    

                       เช่นซุนฮกควรใช้ให้ไปเยี่ยมศพเท่านั้น  ซุนฮิวก็เป็นได้เพียงแค่สัปเหร่อ  เทียหยกก็
น่าจะให้เฝ้าจำหล่อ  กุยแกก็น่าจะให้เขียนโคลงและอ่านหมาย  สี่คนนั้นเป็นที่ปรึกษาที่โจโฉไว้ใจมาก  ส่วนทหารเอกยี่เอ๋งก็ถากถางว่า  เตียวเลี้ยวนั้นเหมาะแก่การตีกลองและระฆัง   เคาทูควรใช้ให้เลี้ยงวัวและม้าเท่านั้น  ลิเตียนน่าจะให้เป็นคนอ่านคำฟ้อง  ส่วนงักจิ้นก็น่าจะเป็นคนเดินหมาย ลิยอยก็แค่คนทำความสะอาดอาวุธ หมันทองนั้นชอบแต่เสพสุรากับกระดูกสุกร  อิกิ๋มก็เหมาะสำหรับให้แบกไม้ไปทำค่าย  ซิหลงถือขวานก็น่าจะให้ฆ่าสุกรขาย  แฮหัวตุ้นเหลือตาข้างเดียวก็ควรที่จะระวังอย่าให้ข้าศึกมาตัดแขนขา  หรือศรีษะไปได้  นอกจากพวกนี้ก็ล้วนแต่เหมาะสำหรับหาบเสบียงไปส่งกองทัพ  สุดท้ายก็วกเข้ามาว่าแม้แต่โจโฉเองก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เหมือนพูดกับคนบ้า  โจโฉก็โกรธจึงแกล้งตั้งให้เป็นคนตีกลอง สำหรับรับแขกบ้านแขกเมือง  

                    วันหนึ่งมีงานเลี้ยงขุนนาง ยี่เอ๋งใส่เสื้อขาดมาตีกลอง ทหารผ้ดูแลก็ว่า  วันนี้มหาอุปราชเลี้ยงต้อนรับแขกเมืองทำไมจึงใส่เสื้อเก่าขาด ยี่เอ๋งก็เลยถอดเสื้อกางเกงออก เหลือแต่ตัวเปล่าเปลือยตีกลองต่อไป ขุนนางทั้งปวงก็พากันละอายแทน   โจโฉเห็นดังนั้นก็โกรธด่าว่า ยี่เอ๋งก็แก้ว่ากายของตนนั้นเป็นที่สะอาด  โจโฉถามว่าแล้วกายของผู้ใดโสโครกเล่า ยี่เอ๋งได้ทีก็เลยพรรณาความโสโครกของโจโฉ ทั้งตาหูและจิตใจว่า  โจโฉนั้นตาบอดไม่รู้จักคนดีหรือคนชั่ว  หูบอดเพราะทำการหยาบช้าใครห้ามปรามโดยสุจริตก็ไม่ฟัง  ใจนั้นก็คิดทำการให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เดือดร้อน

                        โจโฉทนไม่ไหวก็สั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย แต่ที่ปรึกษาผู้แนะนำก็ขอโทษไว้ แล้วให้ส่งตัวไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว  เมื่อจะออกจากเมืองฮูโต๋  ขุนนางและนายทหารที่ไปส่งก็ไม่พูดด้วย แล้วยังทำพิธีขับไล่ไสส่งเสียอีก

                    เมื่อไปถึงเมืองเกงจิ๋ว ยี่เอ๋งยังคงพูดจาดูหมิ่นเล่าเปียวเช่นเดิม เล่าเปียวจึงส่งตัวไปหาหองจอที่เมืองกังแฮ หองจอต้อนรับและจัดโต๊ะมา
เลี้ยงดู ยี่เอ๋งก็ไปพูดจาหมิ่นประมาทหองจอว่า ตัวหองจอนั้นอุปมาเหมือนเจว็ตอยู่บนศาล ถึงจะมีผู้เซ่นวักประการใด เจว็ตก็มิได้พูดจาด้วยผู้ซึ่งนับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนไหว้ขอนไม้ หองจอเป็นคนโมโหร้ายเลยชักกระบี่ฟันเสียตายคาโต๊ะนั้นเอง สิ้นเวรไปอีกคนหนึ่ง.

                    โจโฉเป็นมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นานประมาณยี่สิบห้าปี  จึงได้ถึงแก่ความตายเมื่อ พ.ศ.๗๖๓  โจผีบุตรชายคนโตก็ชิงราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้  เป็นฮ่องเต้สืบราชวงศ์ต่อมา เป็นพระเจ้าโจยอย พระเจ้าโจฮอง จนถึงพระเจ้าโจมอ  ซึ่งมีสุมาเจียวเป็นมหาอุปราช  และเกิดความอยากที่จะชิงราชสมบัติจากราชวงศ์วุยแซ่โจมาเป็นของตนบ้าง  จึงเรียกคนสนิทชื่อแกฉงมาสั่งให้หาทางจัดการกับพระเจ้าโจมอเสีย  แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร  พระเจ้าโจมอรู้เรื่องก็โกรธ พาทหารประมาณร้อยคนจะไปฆ่าสุมาเจียวด้วยพระองค์เอง  อองเก๋ง ขุนนางผู้ใหญ่ห้ามปรามก็ไม่ยอมฟัง  พอดีสวนทางกับแกฉงที่พา เซงจุย กับ เซงเจ สองพี่น้องนายทหารคู่ใจ  กับทหารมาเป็นพัน  แกฉงก็สั่งให้ทั้งสองลุยทหารของพระเจ้าโจมอ และฆ่าพระเจ้าโจมอตายกลิ้งอยู่ริมทาง

                          สุมาเจียวก็ทำเป็นตกใจให้จัดการพระศพอย่างดีตามธรรมเนียม  แล้วก็ให้หาตัวคนผิดมาลงโทษ  ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ว่าแกฉงเป็นต้นเหตุ  สมควรให้ประหารชีวิตเสีย  แต่สุมาเจียวก็ว่าแกฉงไม่ใช่ผู้ลงมือ  เซงเจต่างหากเป็นผู้ปลงพระชนม์ฮ่องเต้  สมควรจะฆ่าเสียทั้งสามชั่วโคตรจึงจะควร  เซงเจก็ซัดว่าแกฉงเป็นคนสั่งให้ฆ่า        สุมาเจียวก็ไม่ฟังเสียงให้เอาตัวเซงเจและเซงจุยกับพรรคพวกพี่น้องไปประหารเสียทั้งตระกูล  เซงเจก็ร้องด่าสุมาเจียวไปจนขาดใจตาย

                          แล้วให้เอาตัวอองเก๋งขุนนางผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าโจมอมาชำระอีก  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด  อองเก๋งก็เข้าไปคำนับมารดาแล้วร้องไห้  มารดากลับบอกว่าเกิดมาแล้วจะหนีความตายไปไหนพ้น  ตัวเราถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต  เพราะมีความสัตย์กตัญญูต่อเจ้าก็จะมีชื่อต่อไปใน ภายหน้า สุมาเจียวก็ให้ทหารเอาตัวไปประหารเสียอีกโคตรหนึ่ง  จะได้หมดเรื่องไป

               ชีวิตของลิ่วล้อที่ไม่มีใครรู้จักชื่อเหล่านี้  น่าจะเป็นตัวอย่าง  ทั้งที่ดีและที่เลวได้บ้างว่า  ถึงอย่างไรก็ต้องจบลงด้วยความตายทั้งสิ้น .

                                                           ##########
วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
กันยายน ๒๕๔๓
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่