ประสบการณ์รักษาโรคมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะแรก

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นขอทักทายก่อนละกันนะคะ  สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาอ่าน  ขออนุญาตเรียกแทนตัวเองว่าเรานะคะ  อันนี้ไม่ใช่ไอดีของเรานะคะ ที่มาตั้งกระทู้นี้เพราะมีประสบการณ์นึงจะมาแลกเปลี่ยนกัน เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าเราทุกคนจะได้เจอและ อยากให้เป็นแนวทางแนะนำคนอื่นๆที่ต้องพบเจอปัญหาเดียวกัน ให้มีแนวทางการแก้ไข   มีกำลังใจจะก้าวผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปให้ได้  

งั้นขอแนะนำตัวเลยนะคะ เราเป็นเด็กวัยรุ่นคนนึง ที่เพิ่งเข้าเรียนมหาลัย แล้วมาพบว่าตัวเองป่วย เป็นโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ระยะที่1-2  ซึ่งโดยส่วนตัวเราแล้ว  เราคิดว่าโรคมะเร็งเป็นสิ่งที่ไกลตัวมากๆ  เพราะสำหรับเราโรคมะเร็งจะพบกับผู้สูงอายุ และที่สำคัญเราเองก็มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงมาตลอด  เล่นกีฬาเสมอเมื่อมีโอกาส   ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสเป็นได้  

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นตอนเรากำลังเรียนอยู่ สาเหตุที่มารู้ว่าตัวเองป่วยเพราะ มีก้อนเนื้อที่บริเวณคอด้านขวา ขนาดประมาณ 2-3 ซม. อยู่ก้อนนึง ซึ่งก้อนนี้ขึ้นมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.5 แล้ว ขึ้นมาได้ราวๆ 2 ปีแล้ว แต่ยังไม่ยุบ และโตขึ้นช้าๆ  ด้วยความเป็นกังวลนิดๆ ว่าก้อนนี้เกิดขึ้นมาได้ไง  ที่บ้านเราจึงได้พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งค่ะ  ได้เข้าไปตรวจที่นั่นประมาณ  2-3 ครั้ง ซึ่งช่วงนั้นคุณหมอให้ยาแก้อักเสบมาทาน เพราะคิดว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบธรรมดา  แต่กินไปเท่าไหร่ก็ไม่ยุบ สุดท้ายเลยเปลี่ยนคุณหมอมาเป็นคุณหมอที่เคยรักษาให้คุณพ่อแทน (คุณพ่อเคยมีก้อนเนื้อที่คอ เช่นกัน และได้ผ่าตัดออกไปแล้ว เป็นก้อนเนื้อที่ไม่เป็นเนื้อร้ายค่ะ )  คุณหมอท่านส่งไปทำ CT scan เพื่อดูว่าก้อนเนื้อทับเส้นประสาทอะไรรึเปล่า แล้วก็นัดผ่าตัดเลยค่ะ ซึ่งตอนนั้นเราก็ทำใจไว้แล้ว ผ่าออกไปก็ดี  จึงได้คุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับผ่าตัดกับทางโรงพยาบาล     หลังจากที่กลับไปบ้านก็ได้ปรึกษากันอีกครั้ง ว่าจะเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแห่งนี้เลยดีไหม  เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง  และยังอยากให้มี Second Opinion เพื่อความแน่ใจ ไปๆมาๆ เลยได้เข้ารับรักษาที่ รพ.ศิริราช และทำให้รู้ว่า  Second Opinion  เนี่ยสำคัญจริงๆนะ

ช่วงที่เข้ารับรักษาที่รพ.ศิริราช วันแรกเราเข้าไปหาคุณหมอแผนกศัลยศาสตร์ค่ะ เพราะมาจากเคสที่ต้องผ่าก้อนเนื้อออก  พอไปถึงก็ไปนั่งรอคิว  พอมีคนเรียก ก็เข้าไป ซึ่งตอนนั้นได้เข้าไปเจอกลุ่มนักศึกษาแพทย์ ที่เหมือนมาฝึกงานและเรียนไปพร้อมๆกัน ในห้องนั้นมีนักศึกษาแพทย์ประมาณ 5-6 คน และอาจารย์หมอ   นั่งรอซักพักก็มีพยาบาลมาเรียกเข้าไป พร้อมกับคนไข้คนอื่นๆ ตามจำนวนนักศึกษาแพทย์ที่รออยู่ในห้องค่ะ   เข้าไปถึงก็ได้ตรวจกับพี่นักศึกษาแพทย์ผู้หญิง พี่เขาตั้งใจตรวจมากและก็สงสัยในลักษณะก้อนเนื้อที่คอของเรา จึงพาเราไปปรึกษาอาจารย์ ที่นั่งดูอยู่กลางห้อง และเราก็กลายเป็นเหมือนกรณีศึกษาให้กับ พี่ๆนักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้นทันทีค่ะ  อาจารย์หมอพูดอะไรไม่รู้กับพี่ๆ ที่เป็นภาษาแพทย์ 555555 แล้วสรุปว่า อาจารย์ท่านส่งเราไปหาคุณหมออีกแผนก คือแผนกหู คอ จมูก เพื่อที่จะไปส่องกล้อง โดยให้พี่นักศึกษาแพทย์พาเราไป เพื่อพบกับอาจารย์หมอที่แผนกหู คอ อีกท่านหนึ่ง   เราก็ยัง งงๆ แต่ก็เดินตามไป  พอไปถึงก็โดนจับส่องกล้อง จมูก หู แล้วก็เลยพบว่า เรามีก้อนหลังโพรงจมูก ขนาดประมาณ 3 ซม. ซึ่งแปลได้หลายความหมายมาก   คืออาจจะเป็นก้อนเนื้อชนิดหนึ่งที่เราทุกคนมีกันหมด ซึ่งปกติก้อนเนื้อนี้จะยุบไปแล้ว ในช่วงอายุไม่เกิน 25 ปี   แต่ก็มีน้อยคนนักที่ก้อนเนื้อจะยังไม่ยุบ(เราจำชื่อก้อนเนื้อไม่ได้) ซึ่งสำหรับกรณีของเรา คือก้อนมันยังคงใหญ่ ผิดปกติ    หรือว่าก้อนเนื้อที่พบนี้อาจจะเป็นเนื้อร้ายก็ได้   ซึ่งในตอนแรก คุณหมอแผนกหู คอ จมูก ที่ท่านรับเคสเรามา ก็ยังไม่คิดว่าเราจะเป็นโรคมะเร็ง เพราะมีความเป็นไปได้น้อย  ท่านมองไปในโรคอื่น เช่นวัณโรค จึงได้ให้ยาเรามาทาน และรอดูผลว่าก้อนเนื้อจะยุบหรือไม่ แต่ก็ไม่ยุบ ต่อมา มีการเจาะตรวจก้อนเนื้อบริเวณคอ ออกไปตรวจเพื่อหาเซลล์มะเร็ง แต่ก็ไม่พบ    ปัญหาที่สงสัยคือ ก้อนเนื้อหลังโพรงจมูกก้อนนี้ ว่าเป็นก้อนเนื้อที่เกิดจากอะไร  ต่อมาจึงตัดสินใจไปตัดก้อนเนื้อหลังโพรงจมูก เพื่อไปตรวจทางพยาธิวิทยาในที่สุด  และรอดูผล    

วันนัดฟังผลตรวจ
วันที่มาฟังผล วันที่ 16 เมษายน หลังสงกรานต์พอดีเป๊ะ คุณพ่อก็เข้าไปฟังผลที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้ไปด้วย เพราะติดเรียนที่มหาลัย วันนั้นคุณพ่อไปคนเดียว คุณแม่ไปทำงาน  ทั้งเรา ทั้งคนในครอบครัวทุกคนก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรร้ายแรง คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าวันที่ไปฟังผล เกือบจะไปไม่ทันคุณหมอด้วย โชคดีที่คุณหมอท่านยังไม่กลับ เลยได้เข้าไปคุย คุณหมอก็แจ้งให้ทราบ คุณหมอบอกกับคุณพ่อว่า “ไอ้หนูนี่โชคร้ายแล้วล่ะ ผลออกมาว่าเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก” คุณพ่อก็ตกใจ แล้วคุณหมอก็แนะนำเรื่องการรักษา    วันนั้นเราบอกว่าให้พ่อโทรบอกด้วย ว่าผลเป็นอย่างไร   วันนั้นเราก็รอฟังผลการตรวจจากคุณพ่อ แต่ไม่เห็นโทรมาซักที เราไลน์ไปในกรุปครอบครัว ก็ไม่มีคนตอบ  เราเองก็ไม่ได้คิดอะไร  แต่ก็แอบสงสัยนิดๆ  วันนั้นพี่ชายเราโทรมาให้เรารีบกลับหลังเลิกเรียน  แล้วก็วนไปรับน้องสาว     ทุกอย่างดูปกติดี มีแต่พี่ชายเราที่พูดว่า จะชวนออกกำลังกาย เดี๋ยวช่วยทำงาน แต่ต้องออกกำลังกายด้วยกันนะ เราเองก็ อ๋อ เอาสิ ได้ๆ  รู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้ถามอะไร  จนกลับถึงบ้าน  และคุณแม่กลับมาจากที่ทำงาน คุณพ่อก็เรียกรวมพลทุกคนในบ้านที่โต๊ะกินข้าวหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ  คุณพ่อบอกเราว่าผลที่ไปตรวจออกมาแล้วนะ สรุปว่าเราเป็นมะเร็งนะ  มะเร็งหลังโพรงจมูก ระยะแรกๆ    พอเราได้ยินเราก็งงๆ อึ้งนิดๆ แต่ไม่ได้ตกใจมากๆ เพราะสังเกตจากพฤติกรรมของคนในบ้านก็พอรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ    สำหรับความรู้สึกเราตอนนั้น เราเองไม่ได้มีความรู้สึกกลัวตาย ไม่ได้คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนั้น  เราก็เลยค่อนข้างนิ่ง และบอกพ่อว่า ก็ถ้าเป็นก็รักษา จะได้หาย  สำหรับเราแล้ว มันโอเค  มันดูไม่น่ากลัวอะไร  คงเป็นเพราะเราเองก็ไม่ค่อยจะมีความรู้เรื่องนี้ รวมทั้งเรามองว่า เราไม่ได้เป็นอะไรหนักแน่ๆ ถึงจะเป็นมะเร็งก็เถอะ  เพราะในตอนนั้นร่างกายเรายังแข็งแรงสุดๆ  ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่    ตอนนั้นเรายังคงยิ้ม และทำหน้าปกติมากๆ 55555 แต่มาต่อมน้ำตาแตก ตอนที่แม่ร้องไห้  และพอแม่ร้องไห้ เหมือนความเข้มแข็งตอนนั้นทุกอย่างก็พังครืนลงมา  เราเลยร้องตามเลย 55555 ซักพักน้องสาวก็ร้องด้วย เราก็บอกแม่ว่าไม่เป็นไรหรอก รักษาไปเดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่ต้องเครียด  

ในเรื่องการรักษา พ่อกับแม่ศึกษาพวกการรักษาโรคมะเร็งหลังโพรงจมูกจากในอินเตอร์เน็ต  หากรณีศึกษาของผู้ป่วยรายอื่นๆที่มาเล่าประสบการณ์ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก สำหรับคนที่กำลังเริ่มรับมือกับปัญหาเดียวกันนี้   เราก็พอรู้มาว่า ต้องรักษาด้วยยาเคมีบำบัดหรือที่เรียกว่า คีโม และการฉายแสง  และสิ่งที่น่ากลัวในการรักษา คือผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ในระหว่างการรักษาต่างๆนาๆ  แต่ก็มาก น้อย ต่างกันไปในแต่ละคน     สำหรับคนที่เป็นหลังโพรงจมูก บริเวณที่โดนฉายแสงแน่ๆคือ บริเวณจมูก และบริเวณคอ ถ้ามีก้อนเนื้อขึ้นที่คอแล้ว ซึ่งกรณีของเรา ยังเชื่อ 50/50 สำหรับก้อนเนื้อบริเวณคอ เพราะด้วยประวัติของก้อนเนื้อว่ามันขึ้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ไม่ได้ขยายรวดเร็ว อีกทั้งยังเจาะตรวจก้อนเนื้อแล้วไม่เจอเซลล์มะเร็ง  ทำให้ยังไม่มั่นใจนักว่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าก้อนมะเร็งหลังโพรงจมูกหรือไม่  แต่คุณหมอที่ดูแลเรื่องฉายแสงก้ให้ฉายครอบคลุมไปเลย คือโดนฉายที่คอด้วย ซึ่งการฉายแสงจะทำให้เจ้าก้อนเนื้อมันยุบตัวไป   ตอนนั้นเราศึกษาถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เพื่อเตรียมตัวรับมือ อีกทั้งยังปรึกษาคุณหมอ เราบอกตามตรงเลยว่า เรายอมรับได้ และไม่เครียดในช่วงแรก เรามองว่าถ้าเป็นก็รักษา เดี๋ยวก็หาย ทำอะไรไม่ได้นอกจากนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ช่วงต้นที่ได้รับการรักษา เราก็ซึมไปช่วงนึงเหมือนกัน เพราะพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไปอย่างทันทีเลย และก็มาถึงวันที่เรานัดคิวเข้ารับรักษา

การเข้ารับการรักษา
สำหรับการเข้ารับการรักษา ต้องบอกว่าโชคดีมากที่ช่วงที่เราจะเริ่มรักษา เป็นช่วงที่เราปิดเทอมใหญ่พอดีเลย เป็นช่วงหยุดยาว 3 เดือน  ให้เราได้รับการรักษาและฟื้นสภาพร่างกาย ก่อนจะเปิดเทอม  เพราะเราเองก็ไม่อยากดรอปเรียนไป  ด้วยเหตุนี้เรากะที่บ้านจึงคุยกันว่า จะรักษาแบบคลินิกพิเศษ คือรักษาช่วงเย็นหลัง 4 โมงเย็นเป็นต้นไป เพื่อให้ได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด  (คิวปกติยาวมากกกก)   ในเรื่องของการฉายแสง และไม่ได้มีการเบิกค่ารักษาใดๆ เพราะประกันหมด และสิทธิ์30บาท ก็อยู่รพ.อื่น เรารักษากับคุณหมอ 3 ท่านหลักๆ คือ คุณหมอหู คอ จมูก  คุณหมอรังสีวิทยา และคุณหมอเคมีบำบัด ส่วนคุณหมอที่ต้องเจอก่อนหน้าการรักษา ก็คือ หมอฟันค่า ก่อนจะเริ่มการรักษาทั้งหมด จะต้องเคลียร์ช่องปากก่อน เพราะเราต้องผ่านการฉายแสงบริเวณจมูก จะโดนช่องปากด้วย และการฉายแสง จะไปทำลายต่อมน้ำลาย ทำให้มีปัญหาทางช่องปาก ทั้งเป็นแผลในปากง่าย  น้ำลายน้อยมาก  รสชาติอาหารเปลี่ยน และที่สำคัญคือฟันผุง่าย  วันที่เราไปหาหมอฟัน  เราก็โดนทั้งอุดฟัน ขัดหินปูน และโดนไปเอ็กซเรย์หาฟันคุดทันที และแถ่นแท้นนน เรามีฟันคุดถึง 4 ซี่ ฝั่งละ 2 ซี่  ซึ่งเป็นฟันคุดที่นอนเงียบๆ ไม่ได้โผล่มาทำให้เราปวดฟัน แต่มันกำลังโดนกำจัดออกไป  เพราะหลังการรักษาโรคนี้ เราจะทำการผ่าฟันคุดยาก ถ้ามันมาขึ้นให้เจ็บทีหลัง เพราะช่องปากเราจะแย่ลง และทำให้แผลในปากหายยาก แผลการผ่าตัดก็จะหายยากไปด้วย     เหตุนี้เอง เราเลยโดนขึ้นเขียงผ่าผันคุด 4 ซี่ ภายใน 2 อาทิตย์ 555555 โชคดีที่หน้าไม่บวมมาก  หลังจากแผลดีขึ้น เราก็ต้องทำเหมือนฟันยางเอาไว้อมฟลูออไรด์ เพราะเราจะฟันผุง่าย  หลังจากนั้นก็มีการนัดตรวจสุขภาพฟันเรื่อยๆ  

หลังจากผ่านเรื่องฟันมาได้  ก็เริ่มรับการรักษาฉายแสงและเคมีบำบัดกันได้  ซึ่งกรณีของเราได้รับการฉายแสง 33 ครั้ง และรับยาเคมีบำบัด  6 ครั้ง  จากการวิเคราะห์ของคุณหมอเคมีบำบัด ที่มองว่าเราเป็นระยะที่ 2  ท่านมองว่าก้อนที่คอเกี่ยวข้องกับตัวเซลล์มะเร็งหลังโพรงจมูก  ตารางการรักษาก็ถูกวาง  การฉายแสงจะฉายทุกวันจ-ศ เว้นวันหยุดเสา-อา และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งก็จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน จึงจะครบ 33 ครั้ง ส่วนเคมีบำบัดครั้งแรก ก็เริ่มพร้อมกับการฉายแสงวันแรก และจะหยุดไป 2 อาทิตย์ และกลับมารับยาครั้งต่อไป ซึ่งตามกำหนดแต่แรก จะได้รับยาเคมีบำบัด 3 ครั้งพร้อมๆกับการฉายแสง ส่วนอีก 3 ครั้งจะรับยาเคมีบำบัดอย่างเดียว เพราะฉายแสงครบแล้ว     เราเริ่มเข้ารับการรักษาในการฉายแสงแบบ iMRT พร้อมกับการรับยาเคมีบำบัดครั้งแรก ซึ่งช่วงนั้นเอง ที่เราซึมไปหลายวัน ด้วยฤทธิ์ยาเคมีบำบัด และ ฉายแสง รวมทั้งกำลังใจของเราเอง เพราะเรามานั่งคิดว่าทำไมต้องเป็นเราที่มานั่งรับการรักษา ทรมานกับการรักษา ทั้งๆที่ตอนนั้นเพื่อนๆคนอื่นไปเที่ยวกันสนุกสนาน เปิดโซเชียลมานี่ เจอแต่เพื่อนไปเที่ยว ช่วงนั้นเราก็หดหู่ไปจนที่บ้านสังเกตเห็น จึงมาให้กำลังใจ บอกให้เราสู้ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อพ่อ แม่ และพี่น้อง ครอบครัวของเราทุกคน ซึ่งเราเองได้กำลังใจดีมากจากที่บ้าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่