นับเป็นความพยายามของรัฐบาลที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินไปสู่ระบบ
"การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์" หรือ "e-Payment" เพื่อ "ลดการใช้เงินสด" ใน
การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยให้มาทำธุรกรรมการเงินจับจ่ายใช้สอยผ่าน
บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนสมาร์ตโฟน
"e-Payment" จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของประเทศลดลง เกือบๆ แสนล้านบาท
คิดง่ายๆ แค่พิมพ์แบงก์ ปั๊มเหรียญกษาปณ์ มีต้นทุนตั้งแต่โรงพิมพ์ วัตถุดิบในการ
พิมพ์ธนบัตรหรือทำเหรียญกษาปณ์ มีค่าขนส่ง ค่าจ้างพนักงาน เหล่านี้เป็น
"ต้นทุนประเทศ" หากระบบ "e-Payment" สมบูรณ์จะมีเงินมาพัฒนาประเทศมหาศาล
อันที่จริงระบบ e-Payment แบ่งเป็นหลายกลุ่ม ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวหมาดๆ เป็นโครงการ
ร่วมระหว่าง "แบงก์ชาติ" กับ "แบงก์พาณิชย์" เปิดบริการโอนเงินแบบใหม่ ที่เรียกว่า
"พร้อมเพย์" ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนระบบการชำระเงินเลยทีเดียว เพราะจะช่วยให้
ประชาชนและธุรกิจเอกชนต่างๆ สามารถโอนเงินได้สะดวกรวดเร็วขึ้นแค่ใช้หมายเลข
โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือหมายเลขบัตรประชาชน แทนการระบุเลขบัญชีเงินฝากเช่นทุกวันนี้
แต่ที่เป็น "ไฮไลต์" คือ "ค่าธรรมเนียม" หรือ "ค่าฟี" ที่เคยเป็นภาระของผู้ใช้บริการ
ก็จะถูกลง ในดีก็ย่อมมีเสีย ข้อดีที่เห็นๆ คือ "ค่าฟี" และ "ต้นทุนประเทศ" ถูกลง
แต่ก็มีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ว่า แล้วจะทำอย่างไรกับคนที่ยังไม่พร้อม ทุกวันนี้
ยังมีไม่น้อยที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องและยังเข้าไม่ถึงระบบการเงินสะท้อนจากข้อมูลแบงก์ชาติ
สำรวจล่าสุดปี 2556 พบว่า คนไทยที่ไม่มีการใช้บริการทางการเงินถึง 12.01%ใช้บริการ
ทางการเงินผ่านธนาคารราว 59% ใช้บริการสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 20% กว่าๆ ที่เหลือ
ใช้บริการเงินนอกระบบคนภาคอีสาน เป็นแชมป์ที่เข้าไม่ถึงบริการการเงินและ มีความเข้าใจ
ในเรื่องนี้น้อยที่สุด
อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย ร้านค้า เจ้าของธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าคืออะไร ตรงนี้
ที่เป็นปัญหาจะลอยแพก็ไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวจะต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้มาก
ที่สุดแล้ว จะทำอย่างไรให้คนอีก 12% และคนที่ใช้บริการเงินนอกระบบเข้ามาสู่ระบบให้ได้
จะว่าไปแล้ว แม้แต่กลุ่มคนที่พร้อมจริงๆ ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่า "พร้อมเพย์"
จะปลอดภัยแค่ไหน คนที่ใช้จะไม่มีโอกาสเห็นตัวเลขเงินในบัญชีของตัวเอง ว่ามี
เท่าไหร่
สิ่งที่คนกังวลมากที่สุดคือ กลัวข้อมูลส่วนตัวจะรั่วไหล จะไม่มีความลับอีกต่อไป
"พร้อมเพย์" คนไทย...พร้อมไหม .....เมืองไทย 25 น. .... ทวี มีเงิน .... ข่าวสดออนไลน์ .../sao..เหลือ..noi
"การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์" หรือ "e-Payment" เพื่อ "ลดการใช้เงินสด" ใน
การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยให้มาทำธุรกรรมการเงินจับจ่ายใช้สอยผ่าน
บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนสมาร์ตโฟน
"e-Payment" จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของประเทศลดลง เกือบๆ แสนล้านบาท
คิดง่ายๆ แค่พิมพ์แบงก์ ปั๊มเหรียญกษาปณ์ มีต้นทุนตั้งแต่โรงพิมพ์ วัตถุดิบในการ
พิมพ์ธนบัตรหรือทำเหรียญกษาปณ์ มีค่าขนส่ง ค่าจ้างพนักงาน เหล่านี้เป็น
"ต้นทุนประเทศ" หากระบบ "e-Payment" สมบูรณ์จะมีเงินมาพัฒนาประเทศมหาศาล
อันที่จริงระบบ e-Payment แบ่งเป็นหลายกลุ่ม ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวหมาดๆ เป็นโครงการ
ร่วมระหว่าง "แบงก์ชาติ" กับ "แบงก์พาณิชย์" เปิดบริการโอนเงินแบบใหม่ ที่เรียกว่า
"พร้อมเพย์" ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนระบบการชำระเงินเลยทีเดียว เพราะจะช่วยให้
ประชาชนและธุรกิจเอกชนต่างๆ สามารถโอนเงินได้สะดวกรวดเร็วขึ้นแค่ใช้หมายเลข
โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือหมายเลขบัตรประชาชน แทนการระบุเลขบัญชีเงินฝากเช่นทุกวันนี้
แต่ที่เป็น "ไฮไลต์" คือ "ค่าธรรมเนียม" หรือ "ค่าฟี" ที่เคยเป็นภาระของผู้ใช้บริการ
ก็จะถูกลง ในดีก็ย่อมมีเสีย ข้อดีที่เห็นๆ คือ "ค่าฟี" และ "ต้นทุนประเทศ" ถูกลง
แต่ก็มีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ว่า แล้วจะทำอย่างไรกับคนที่ยังไม่พร้อม ทุกวันนี้
ยังมีไม่น้อยที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องและยังเข้าไม่ถึงระบบการเงินสะท้อนจากข้อมูลแบงก์ชาติ
สำรวจล่าสุดปี 2556 พบว่า คนไทยที่ไม่มีการใช้บริการทางการเงินถึง 12.01%ใช้บริการ
ทางการเงินผ่านธนาคารราว 59% ใช้บริการสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 20% กว่าๆ ที่เหลือ
ใช้บริการเงินนอกระบบคนภาคอีสาน เป็นแชมป์ที่เข้าไม่ถึงบริการการเงินและ มีความเข้าใจ
ในเรื่องนี้น้อยที่สุด
อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย ร้านค้า เจ้าของธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าคืออะไร ตรงนี้
ที่เป็นปัญหาจะลอยแพก็ไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวจะต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้มาก
ที่สุดแล้ว จะทำอย่างไรให้คนอีก 12% และคนที่ใช้บริการเงินนอกระบบเข้ามาสู่ระบบให้ได้
จะว่าไปแล้ว แม้แต่กลุ่มคนที่พร้อมจริงๆ ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่า "พร้อมเพย์"
จะปลอดภัยแค่ไหน คนที่ใช้จะไม่มีโอกาสเห็นตัวเลขเงินในบัญชีของตัวเอง ว่ามี
เท่าไหร่
สิ่งที่คนกังวลมากที่สุดคือ กลัวข้อมูลส่วนตัวจะรั่วไหล จะไม่มีความลับอีกต่อไป