[CR] #4 ปี กับชีวิตนักศึกษาในอินเดีย สนุก เศร้า เหงา และอดทน (ตอนที่ 2)

ตอนที่ 2 ต่อจากตอนแรกนะคับ สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรกสามารถตามอ่านตามลิ้งค์นี้ได้เลยคับ http://pantip.com/topic/35297801


หลังจากที่ผมเรียนจบคอร์ส 6 เดือนคับ ผมก็เดินทางกลับมาไทยคับ เป็นช่วงต้นเดือนธันวาแต่ทุนก็ยังไม่เปิดรับสมัครคับ ระหว่างที่รอสมัครทุนผมก็รับสอนพิเศษไปด้วยคับ ก็มีไปสอนตามโรงเรียนวัดบ้าง (อันนี้ไปแบบจิตอาสานะคับ ไม่มีรายได้) และก็มีไปสอนที่บ้านบ้างคับ แต่ผมไม่ได้เน้นไปที่รายได้นะคับ ผมแค่สอนเพื่อผมจะได้ทบทวนสิ่งที่ผมเรียนมามันทำให้ผมไม่ลืมแค่นั้นเองคับ ก่อนที่ทุนจะเปิดรับสมัครแนะนำให้เตรียมเอกสารไว้เลยคับ โดยอ้างอิงจากปีที่ผ่านๆ มาว่าต้องเตรียมมีอะไรบ้าง เอกสารที่ต้องยื่นมีค่อนข้างเยอะเลยคับ ถ้ารอจนทุนเปิดแล้วมาเตรียมไม่ทันแน่ๆ เพราะทุนเปิดรับสมัครแค่ 2-3 อาทิตย์ แต่ผมใช้เวลาเตรียมเอกสารนานกว่านั้นอีกคับ


พอทุนเปิดรับสมัคร (ผมจำได้แค่ว่ามันเปิดประมาณสิ้นปี แต่ละปีจะไม่เหมือนกันคับ แต่จะอยู่ในช่วงเดือนธันวา-มกรา) ผมก็ยื่นเอกสารที่สถานฑูตอินเดีย เรื่องเอกสารสมัครก็ผ่านเรียบร้อยดีจนถึงวันสอบข้อเขียนคือตื่นเต้นมากคับเพราะคนมาสอบเยอะมาก ข้อสอบเป็นแบบเขียนหมดเลยคับไม่มีข้อกาเลย มีประมาณ 10 หน้าด้วยกัน ให้เวลาทำ 1 ชั่วโมง คนที่ผ่านข้อเขียนก็จะเข้ารอบสัมภาษณ์ และผมก็ได้เข้ารอบสัมภาษณ์ละคับ ทางสถานฑูตก็จะส่งอีเมลมา confirm สถานที่และเวลาคับ(ของผมเป็นช่วงบ่าย) ในห้องสัมภาษณ์ก็จะมีคนอินเดียนั่งอยู่ 5 คนคับ และมีคนไทยคอยแปลให้ด้วยคับถ้าเราแปลไม่ออกหรือฟังไม่เข้าใจ พอสัมภาษณ์เสร็จทางสถานฑูตจะแจ้งว่าไม่ต้องติดต่อกลับมาสอบถามนะคับ ถ้าใครที่ได้ทุนทางจะสถานฑูตจะติดต่อกลับไปเอง ตั้งแต่นั้นผมก็รอจนเห็นว่ามันนานเกินไป และไม่มีอีเมลตอบกลับจากสถานฑูตเลย ประกอบกับช่วงนั้นมหาลัยในอินเดียก็จะปิด admission พอดี และนั้นก็หมายความว่าผมไม่ได้ทุนคับ คราวนี้ก็ซวยสิคับ ทั้งเสียใจทั้งเครียดเลยละคับว่าจะไม่มีที่เรียน ผมไม่รู้จะทำไงแล้วก็เลยตัดสินใจคุยกับแม่อีกครั้งว่าแม่คงต้องลงทุนให้ผมอีกครั้งเพื่อไปเรียนต่อมหาลัยที่นั้น ตอนนั้นไม่มีทางเลือกแล้วคับถ้าไม่ไปตอนนี้ผมก็ไม่มีที่เรียนเพราะมหาลัยในอินเดียเค้าก็จะปิดรับสมัครแล้ว เท่ากับว่าผมจะต้องเสียเวลาอีก 1 ปี


ผมตัดสินใจเรียน B.A. Tourism, History & Journalism ที่ Garden City College คับ ใจจริงอยากเรียน BBM มากกว่า แต่ผมกลัวว่าผมจะเรียนไม่ไหว แล้วจะไม่จบตามหลักสูตร ผมก็เรยเลือกเรียน B.A. แทนคับเพราะมันง่ายกว่า ในเดือนพฤษภาผมก็ทำเรื่องเข้าเรียนเรียบร้อยคับ และก็รอจนเดือนกรกฎาที่มหาลัยเปิด สำหรับน้องปี 1 จะมีรับน้องก่อนมหาลัยเปิด 1 อาทิตย์ ช่วงรับน้องผมนี้หัวเดียวกระเทียมลีบเลยละคับไม่รู้จักใครเลย ช่วงนั้นแบบทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอาตัวเองไปยื่นตรงไหนดีมันเกร็งไปหมดจริงๆ คับ (อ่อ!! รับน้องที่นี้รับรวมทุกคณะนะคับ ไม่มีแยกรับคณะใครคณะมัน) รับน้องที่นี้อารมณ์ประมาณปฐมนิเทศมัธยมปลายอ่าคับ แบบเรียบๆง่ายๆ ไม่โหด ไม่เครียด และไม่สนุกคับ โปรแกรมก็ประมาณ group discussion, presentation, ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ บลา บลา บลาาา 7 วันคือน่าเบื่อสุด ตอนรับน้องก็รู้จักเพื่อนเกาหลีคนนึงคับ แต่พอถามไปถามมา อ้าว !! เรียนคณะเดียวกัน ตอนนั้นดีใจมากเพราะมีเพื่อนแล้วไม่ต้องคุยกับตัวเองอีกแล้ว 55555


หลังจากการรับน้องเสร็จสิ้นลงก็เข้าเรียนตามคณะปกติคับ ระบบที่นี้คือ Garden City College เป็นมหาลัยลูกแบบเอกชน มหาลัยแม่หรือมหาลัยกลางจะเป็นมหาลัยรัฐคือ Bangalore University (ไม่รวมคณะที่เกี่ยวกับแพทย์ เภสัช พยาบาล หรือกายภาพบำบัดนะคับ คณะเหล่านี้จะขึ้นตรงกับ Rajiv Gandhi University แทนคับ) คณะอื่นๆ ที่นอกเหนือจากแพทย์ก็จะขึ้นตรงกับ Bangalore University คับ คณะผมก็เช่นกัน Garden City มีหน้าที่คือสอนอย่างเดียว ส่วนข้อสอบจะถูกออกและตรวจโดยมหาลัยกลางคือ Bangalore University คับ อย่างไรก็ตามอย่าเข้าใจว่ามีเพียงมหาลัยผมเท่านั้นที่ขึ้นตรงกับบังกลอร์ยู หรือ RGU นะคับ มหาลัยอื่นๆ ก็ขึ้นตรงกับบังกลอร์ยูเช่นกันคับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกมหาลัยนะคับ ฉะนั้นก็สมัครเรียนมหาลัยที่นี้ต้องศึกษาข้อมูลของมหาลัยก่อนนะคับว่า affiliated by Bangalore University/ RGU หรือเป็นแบบ autonomy คือไม่ขึ้นตรงกับใครคับ


ปี 1 เทอมแรกของผมปรับตัวค่อนข้างเยอะเหมือนกันคับ คณะผมมีเพื่อนจากหลายๆ ประเทศด้วยกัน เช่น เกาหลีใต้ เนปาล ภูฐาน มัลดีฟ มีผมเป็นคนไทยคนเดียว ส่วนใหญ่ก็อินเดียคับ ห้องผมมีประมาณ 40 คนในตอนแรก แต่หลังจากที่เรียนไปเรื่อยๆ ก็จะลดลงเรื่อยๆ คับ ออกบ้าง สอบไม่ผ่านบ้าง ลงทะเบียนเรียนต่อไม่ทันบ้าง เวลาเข้าเรียนไม่พอบ้างเค้าก็ให้เรียนซ้ำคับ แต่ส่วนใหญ่ปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดกับนักเรียนอินเดียมากกว่านักเรียนต่างชาติคับ ในห้องผมก็สนิทกับ soldier ที่สุด คือผู้ชายเกาหลีที่ผมรู้จักวันรับน้องละคับ ก็นั่งเรียนด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน ไปอ่านหนังสือด้วยกัน คือตัวติดกันตลอดคับ ถ้าเพื่อนหา soldier ไม่เจอก็จะมาถามผม ถ้าหาผมไม่เจอก็จะถาม soldier ประมาณนี้คับ ส่วนการเรียนการสอนนี้เฟี้ยวสุดคับ อาจารย์สอนแล้วเขียนบนกระดานให้ดูนี้มีน้อยมาก นับครั้งได้เรยละคับ ส่วนใหญ่จะเป็นอธิบาย อภิปราย แล้วให้เราทำความเข้าใจ มีให้จดบ้างตามที่เค้าเน้นว่าเป็น concept ของเรื่องนั้นๆ แต่พูดเร็วกว่า 4G อีกคับ พอบอกให้เค้าพูดช้าๆ หน่อยเค้าก็จะมองบนใส่ 55555 หลังๆ มาผมจดไม่ทันผมก็เทคับ ไม่จดยิ้มเรย 55555 แต่นานๆ เข้าก็ไม่ไหวคับไม่จะทำให้เราไม่เข้าใจ เพื่อนต่างชาติคนอื่นๆ เค้าก็จะนั่งกับนักเรียนอินเดียคับ เพราะคนอินเดียภาษาอังกฤษแข็งแรงไม่เข้าใจเค้าก็สามารถอธิบายเราได้ แต่ผมคือนั่งกับเพื่อนเกาหลีคับ สองคนคือตายหมู่คับ เศร้า เลยต้องหาเพื่อนอินเดียมานั่งด้วย


คะแนนเก็บที่นี้ไม่มีนะคับ คะแนน 100% มาจากการสอบในแต่ละเทอม เต็ม 100 ได้ 35 คือผ่านคับได้แค่ pass class ได้ 50 คะแนนขึ้นไปจะได้ second class และ 60 คะแนนขึ้นไปจะได้ first class คับ ข้อสอบจะประมาณว่า คำถามมีไม่ถึงประโยคแต่ต้องเขียนตอบให้ได้ 5-6 หน้ากระดาษต่อคำถาม แล้วแต่คะแนนที่เข้าให้ในข้อนั้นๆ ด้วยคับ เช่นเค้าจะระบุมาว่า section A ข้อละ 15 คะแนน ซึ่งนั้นหมายความว่าเราต้องเขียนคำตอบให้ได้ 5-6 หน้าของแต่ละคำถาม ถ้าข้อละ 10 คะแนน คำตอบก็เขียน 3-4 หน้าคับ ถ้าข้อละ 5 คะแนนก็เขียนแค่ 2 หน้าพอคับ สรุปก็คือ ข้อสอบ100 คะแนน ต้องพยายามเขียนให้ได้เกิน 20 หน้าเข้าไว้ถึงจะผ่านคับ ถ้าต่ำกว่านั้นโอกาสไม่ผ่านสูงคับ ใครผ่านก็โชคดีไปคับ ใครตกก็รอไปอีก 1 ปีนะคับสอบใหม่ปีหน้า แล้วเค้าให้เวลาทำข้อสอบ 3 ชั่วโมงคับ เทอมแรกผมทำใจไว้เรยว่าต้องมีตกแน่ๆ พอคะแนนสอบประกาศออกมาก็เป็นอย่างที่คิดคับ ผมตก 1 ตัวจาก 6 ตัว ได้แต่ถอนหายใจรัวๆ เลยละคับ แต่ทางมหาลัยก็มีให้นักเรียนที่สอบตกแต่มั่นใจว่าตัวเองทำข้อสอบได้ดี และมั่นใจว่าตัวเองสมควรจะได้คะแนนเยอะกว่านี้สามารถยืน revaluation ได้คับ นั้นก็คือยื่นเรื่องไปให้ทางมหาส่วนกลางตรวจให้ใหม่อีกครั้ง อันนี้ต้องมารอลุ้นอีกที่ว่าจะผ่านมั้ย ถ้าโชคดีจากตกก็จะกลายเป็นผ่าน แต่ถ้าไม่คะแนนก็อาจจะน้อยกว่าเดิมคับ แต่ผมก็ไม่ได้ยื่นเรื่องก็เรยรอสอบใหม่ปีหน้าคับ


ผมไม่ได้อยู่หอพักของมหาลัยนะคับ ผมอยู่บ้านเช่าในเมืองห่างจากมหาลัยประมาณ 8 โลคับ ก็ใช้บริการรถรับ-ส่งนักเรียนของมหาลัยเอาคับ ก็จ่ายค่าบริการเป็นรายปี จันทร์-เสาร์ ขาไปมหาลัยผมก็นั่งรถบัสมหาลัยละคับ แต่ขากลับบางวันถ้าเรียนเสร็จเร็วแล้วไม่อยากรอรถผมก็นั่งรถเมย์กลับคับ แรกๆนี้ไม่มีความคิดว่าจะขึ้นรถเมย์ที่นี้เรยคับขนาดที่ไทยยังไม่กล้าขึ้นเรยกลัวหลง ผมต้องต่อรถ 2 ต่อจากมหาลัยมาที่บ้านพัก เป็นรถเมย์ AC คับ ถ้าช่วงบ่ายๆ จะไม่ค่อยมีคนคับนั่งสบายมาก แต่ถ้าวันไหนเลิกเย็นก็รอรถบัสมหาลัยดีกว่าคับ รถเมย์คนเยอะมากกกก อัดกันจนแบบถ้านั่งกับคนขับได้ก็จะนั่งประมาณนั้น ผมมีเวลาอยู่บ้านเต็มๆ วันก็วันอาทิตย์ละคับ หลังจากที่มาเรียนได้ 3 เดือนผมก็นั่งเปิดเมลล์ นั่งลบอีเมลล์ที่ไม่สำคัญออก เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ผมก็ไม่ได้เชคเมลล์เรย ทันใดนั้นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของผมก็มาถึงเมื่อผมเห็นอีเมลล์จากสถานฑูตอินเดียส่งมาหาผม 2 ครั้ง ในข้อความเขียนไว้ว่า "ทุนของคุณได้รับการอนุมัติแล้ว โปรดติดต่อกับสถานฑูตโดยด่วน" ผมอึ้งไปประมาณ 5 วิคับ ทำอะไรไม่ถูกเลย อย่างแรกก็เรยโทรถามแม่คับว่าระหว่างที่ผมอยู่ที่นี้มีจดหมายอะไรส่งมาหาผมบ้างมั้ย ? แม่บอกแค่ว่าไม่รู้ ไม่เห็นมี แต่มีฉบับนึงเป็นภาษาอังกฤษนะ แต่แม่อ่านไม่ออก ผมแบบชัดเลยละ เราพลาดแล้ว ผมก็พยายามติดต่อกับไปทางสถานฑูตอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เหมือนกับเบอร์โทรศัพท์จะถูกใช้งานเวลาที่สมัครทุน และ process ทุกอย่างที่เกี่ยวกับทุนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ช่วงให้ทุนโทรศัพท์เบอร์นี้ก็จะไม่ถูกใช้งานคับ ผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าช่างมันเถอะ นี้มาจะเทอมนึงแล้วก็เรียนไปเถอะเด่วจะเสียเวลาอีก ตอนนั้นผมแบบเสียใจมาก มันเป็นความผิดของผมเองละที่ตัดสินใจเร็วเกินไป ถ้ารอต่ออีกสักนิดผมอาจจะมีโอกาสเป็นเด็กทุนกับเค้าบ้าง มันคือความใฝ่ฝันของผมเลยละคับ มันไม่ได้หมายความว่าเพราะบ้านเรายากจนถึงได้ทุนไปเรียน แต่มันหมายถึงความจนที่มีคุณภาพนะคับ อีกทั้งผมไม่ต้องใช้เงินของแม่ด้วย ตอนนั้นทำได้แค่ทำใจคับ ถอนหายใจอีกที เศร้า
ชื่อสินค้า:   0
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่