ขอเชิญร่วมสนทนาธรรม อัปปมัญญา(๔)เจตสิก ธรรมที่ถูกละเลย(เมตตาเจโตวิมุตติ)

อัปปมัญญา มี ๔ คือ  เมตตา  ๑   กรุณา  ๑   มุทิตา  ๑   อุเบกขา  ๑หมายถึง  ธรรมที่ไม่มีประมาณ คือ สามารถเจริญได้ในบุคคลและสัตว์ทั้งปวงได้โดยไม่มีประมาณ  คือ  สามารถเจริญได้ในบุคคลและสัตว์ทั้งปวงได้โดยไม่มีโทษใดๆ  และเมื่ออัปปมัญญา ๔ ( หรือพรหมวิหาร  ๔ )  เป็นสภาพที่มีกำลังจนถึงอัปปนา  คือ  เป็นฌานจิต  ก็สามารถแผ่ไปในสรรพสัตว์ทั้งปวง ตลอดโลกทั้งปวง โดยไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ

         ขณะที่เรามีเมตตา จะทำให้ขณะนั้น ปราศจาก โทสะ ราคะ โมหะ ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เมื่อจิตอ่อนควรแก่งาน ก็จะทำให้ประหัตประหารกิเลสได้ง่ายขึ้น จนถึงเข้าสมาธิระดับสูงได้ง่ายขึ้น การเจริญเมตตา หรือเมตตาพรหมวิหาร จะเกิดกับคนที่ยังไม่ถึงรูปฌาน 4 แต่ถ้าผ่านรูปฌาน 4 แล้ว จะเกิดเมตตาอัปปมัญญา นั่นคือการแผ่เมตตาอย่างไม่มีประมาณ คือประกอบด้วยอุเบกขาด้วย จึงต้องมีฐานฌาน 4 มีความไม่แบ่งเขา แบ่งเรา ปรารถนาอยากให้ทุกคน ไม่ว่าสัตว์ มนุษย์ เทพ พรหม มีความสุขหมด ไม่เลือกฐานะ ชั้นวรรณะ เป็นการแผ่เมตตาอย่างไพศาล ทั่วทุกทิศ การแผ่เมตตาแบบนี้มีอานิสงค์มากจิตจึงอ่อน ควรแก่งาน ทำให้ง่ายต่อการเดินมรรคจนถึงเข้าไปสู่นิพพาน

อัปปมัญญา ๔
                         หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
           เทศน์ ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
                        วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๒

         ฟังเทศน์เรื่อง อัปปมัญญา ต่อไป อัปปมัญญา คือ พรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ว่า
อัปปมัญญา นั้นกินความกว้างกว่าพรหมวิหาร ๔
พรหมวิหาร ๔ นี้เป็นเครื่องอยู่ของผู้ใหญ่ คือ เป็นผู้ปกครองหมู่เพื่อน ต้องมีธรรม ๔ ประการนี้เป็นเครื่องอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะต้องเดือดร้อน ต้องเป็นผู้มี
เมตตา ปรารถนาจะให้เกิดความสุขความเจริญแก่คนอื่น สัตว์อื่น ๑
กรุณา อยากให้คนอื่นหรือสัตว์อื่นพ้นจากทุกข์ ๑
มุทิตา เมื่อเขาพ้นจากทุกข์แล้วก็ดีใจ พอใจ ๑
อุเบกขา คือการวางเฉยได้ ๑
คนที่จะวางเฉยได้ต้องมีปัญญา ประกอบด้วยปัญญา พิจารณาถึงบุญกรรมบาปเวร บุญวาสนาบารมีของมนุษย์สัตว์ ทั่วไปว่า มนุษย์สัตว์ทั้งหลายเกิดมามีกรรมเป็นของของตน ตนนั่นแหละเป็นผู้ได้รับผลของกรรม คนอื่นจะรับแทน ไม่ได้ คนอื่นเป็นแต่ผู้ช่วยเมตตาแนะนำและตักเตือนให้เขาเว้นจากความชั่ว
เมื่อเขาไม่ได้ทำกรรมชั่ว เขาก็ไม่เดือดร้อน เมื่อเขาไม่ทำกรรมชั่วและไม่เดือดร้อนแล้ว ใจของเขาก็สบาย เป็นอุเบกขา เป็นความดีของเขาที่ทำตามคำสอนของเรา
คราวนี้เมื่อเราสอนเขาแล้ว เขาไม่ทำตามคำสอนของเรา จนกระทั่งเขาทำความผิด ได้รับโทษนานาประการ เราก็ พิจารณาเช่นนั้นเหมือนกันว่า น้ำขี้โคลนมองไม่เห็นตัวปลาฉันใด คนที่ทำกรรมกิเลสมากไม่มีปัญญา ใครจะตักเตือนชี้ เหตุผลให้ฟังสักเท่าใด ๆ ก็ย่อมรู้ตามไม่ได้ เอาแต่ใจของตัวถ่ายเดียว เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้วใจก็วางเฉยได้
ถ้ายังวางเฉยเป็นอุเบกขาไม่ได้ เราก็ยังเป็นผู้ใหญ่กับเขาไม่ได้ ถ้าหากเป็นผู้อยู่เฉย ๆ ไม่ได้จะเลวกว่านั้นอีกซ้ำ เพราะบุคคลจะต้องทำความชั่วต่าง ๆ เพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ บุคคลหรือสัตว์หรือสิ่งต่าง ๆ นั้นแหละเป็นเหตุเป็นปัจจัยมิให้เป็นอุเบกขา
เมื่อช่วยคนอื่นไม่ได้แล้วก็ปล่อยวาง เช่น ช่วยคนตกน้ำไม่ได้ เป็นต้น การปล่อยวางเช่นนั้น มันปล่อยวางแต่ ทางกาย แต่ทางใจนั้นยังปล่อยวางไม่ได้อย่างเด็ดขาดอันนี้เรียกว่า พรหมวิหาร ๔ ย่อมมีได้แก่บุคคลทั่วไป เช่น บิดา มารดามีแก่บุตรธิดา ญาติมิตรมีต่อญาติมิตร เพื่อนสหายมีต่อกัน หรือคนมีต่อสัตว์บางจำพวก ดังนี้เป็นต้น แต่ถึง กระนั้นก็ยังไม่ถึงอุเบกขา จึงไม่ครบทั้ง ๔ ได้แต่เพียง เมตตา กรุณา มุทิตา เท่านั้น อย่างน้อยต้องขาด อุเบกขา ยิ่ง เมื่อความโกรธความไม่พอใจเกิดขึ้นมาแล้ว ๓ ข้อเบื้องต้นก็มักจะหายไป อุเบกขานั้นไม่มีแน่ ๆ ที่ไม่มีก็เพราะขาดปัญญา ดังที่อธิบายมาแล้ว
ส่วนอัปปมัญญาไม่เป็นอย่างนั้น อัปปมัญญาย่อมมีแก่นักปฏิบัติ ผู้ฝึกหัดสติปัญญาสมบูรณ์แล้วเท่านั้น ถ้าสติไม่สมบูรณ์ก็จะมีแต่เพียงพรหมวิหาร และมีในขณะที่อารมณ์ของเราสงบอยู่เท่านั้น
อัปปมัญญาวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของท่านที่ได้รูปฌานแล้ว ผู้พิจารณาเห็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายทั่วไปเป็นอัน เดียวกัน เกิดจากธาตุทั้งสี่ มีดิน น้ำ ไฟ ลม เสมอภาคกัน เกลียดทุกข์ ปรารถนาอยากจะได้ความสุขเหมือนกัน จิตวางเสมอภาคไม่มีต่ำไม่มีสูง เสมอกันหมด
ถึงแม้คนและสัตว์นั้น ๆ จะมาทำให้โกรธ เป็นต้นว่าบรรดาที่จะมาทำร้ายท่านก็เห็นเป็นแต่สิ่งอันหนึ่งมาทำร้ายสิ่งอันหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับแก้วกระทบกันจิตใจเป็นผู้ดูอยู่หาได้มีความโกรธไม่ มิหนำซ้ำยังให้เกิดความเมตตาแก่มนุษย์ และสัตว์เหล่านั้นเป็นอันมาก ด้วยเหตุที่เขาเหล่านั้นยังมีกิเลสหนาแน่น มิได้รู้ผิดรู้ถูกชั่วดีจึงทำอย่างนั้น ฉะนั้น อัปปมัญญา ต้องเกิดจากจิตที่เป็นรูปฌาน
รูปฌาน คือปรารภรูปเป็นอารมณ์ จนจิตแน่วแน่อยู่กับรูปนั้น จนเห็นรูปภายในคือตัวของตน และรูปภายนอกคือ ตัวคนอื่นและสัตว์อื่น เป็นสภาพอันเดียวกันในที่ทุกสถานและในกาลทุกเมื่อ จึงเกิดอุเบกขา จิตที่วางเฉยแบบนี้ ท่าน เรียกว่า อัปปมัญญา ท่านไม่ได้เรียกว่า พรหมวิหาร เพราะจิตเสมอภาคกันไปหมด ส่วนพรหมวิหารนั้น มีเมตตา กรุณา มุทิตา แล้วจึงลงอุเบกขา
อุเบกขา มี ๔ อย่างต่าง ๆ กันดังนี้ คือ ตัตรมัชฌัตตุเบกขา ๑ พรหมวิหารุเบกขา ๑ ฌานุเบกขา ๑ โพชฌังคุเบกขา ๑ ในอุเบกขาทั้งสี่นั้น พรหมวิหารุเบกขา และฌานุเบกขาได้อธิบายมาแล้ว ยังเหลือแต่ตัตรมัชฌัตตุเบกขากับโพชฌังคุเบกขา
ตัตรมัชฌัตตุเบกขา ย่อมมีแก่สัตว์สามัญและทั่วไปหมด เมื่อสัตว์และบุคคลเหล่านั้นอยู่เฉย ๆ ไม่มีอารมณ์อะไรมารบ กวนทำให้จิตใจขุ่นมัวและเศร้าหมอง เรียกว่า ตัตรมัชฌัตตุเบกขา
โพชฌังคุเบกขา ย่อมมีแก่ท่านที่มีสติเต็มที่แล้วพิจารณาธรรมอยู่ จะเป็นรูปธรรมอะไรก็ได้ เช่น ตั้งสติกำหนด พิจารณากายนี้เป็นอารมณ์ สติก็จะแน่วแน่อยู่เฉพาะในกายนี้อย่างเดียว แล้วเอาสติอันนั้นเข้าไปควบคุมจิตพิจารณากาย ก็จะเห็นแจ้งชัดลงไปว่า กายนี้ไม่ใช่กาย เป็นแต่สมมุติบัญญัติเท่านั้น แท้จริงแล้วเป็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมกันเข้าแล้วก็เป็นก้อนขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ดับสลายไปสู่สภาพเดิม ด้วยความเห็นชัดอันนั้นเป็นของไม่ เคยเห็นมาแต่ก่อน จึงชอบใจอยากจะขยันหมั่นเพียรพิจารณาบ่อย ๆ
เมื่อพิจารณาด้วยแรงของสติตั้งมั่น พิจารณาอยู่เป็นนิจ ขณะพิจารณาก็เกิดปีติ พอใจ ชอบใจ อิ่มเอิบ มีปัสสัทธิ ความสงบนิ่งแน่วอยู่กับใจ สมาธิ ความตั้งใจมั่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวก็เกิดมี    ขึ้น อุเบกขาจึงมีขึ้นได้ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมมีขึ้นโดยลำดับดังนี้
สรุปแล้ว พรหมวิหาร ย่อมมีได้แก่สามัญชนทั่วไปผู้ตั้งใจจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ผู้ไม่มีพรหมวิหารเลยสักข้อเดียว แม้แต่ เมตตาก็ไม่มี คนนั้นนับได้ว่าเป็นมนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ถ้ามีพรหมวิหารข้อหนึ่ง ๒ ข้อ ๓ ข้อ ได้ชื่อว่า เริ่มทำตัวเป็น ผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว ถ้ามีครบทั้ง ๔ ข้อ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มอัตรา ส่วนอัปปมัญญานั้น เป็นธรรมของผู้ปฏิบัติฝึกหัดสติ สมบูรณ์แล้ว เป็นผู้ใหญ่โดยแท้ ทุก ๆ คนเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งหมด ท่านจึงเรียกว่า อัปปมัญญา ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ เสมอกัน ได้แก่ รูปฌาน ๔ นั่นเอง
อธิบายมาก็สมควรแก่เวลา เอวํ ฯ


    จิตของคนเราเหมือนกระแสน้ำในแม่น้ำ ไหลเอื่อยอยู่อย่างนั้นเมื่อกระทบโขดหินก็ดังซู่ ๆ ซ่า ๆ แล้วก็ไหลเอื่อย ไป เมื่อกระทบโขดหินหรือสิ่งต่าง ๆ ก็ดังซู่ซ่าขึ้นมาอีก เป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้ตายไปแล้วก็ยังไม่หยุด มัน จึงต้องเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
เราจึงมากั้นน้ำคือ จิตด้วยทำนบคันดิน คือ พุทโธ ๆ มีสติให้มั่นคงแล้ว เมื่อน้ำไหลมารวมอยู่ ทำนบก็เต็มเปี่ยม ไปด้วย ได้แก่ อัปปมัญญา ๔ ผู้ประสงค์จะระบายน้ำไปในที่ต่าง ๆเพื่อประโยชน์แก่เกษตรกรทั้งหลายด้วยการขุดคลอง ส่งไปให้เกษตรกรเหล่านั้น ได้แก่ อัปปมัญญาธรรม แผ่ไปในทิศต่าง ๆ เมื่อน้ำไหลไปถึงที่ไหน ความชุ่มชื้นของดินและ ต้นไม้ย่อมงอกงามเจริญเติบโตขึ้นเป็นผลให้สำเร็จแก่เกษตรกรทั้งหลายด้วย ทั้งแก่ผู้เจริญอัปปมัญญาด้วยฉันใด อัปปมัญญานี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน อัปปมัญญาย่อมมีแก่ผู้เจริญรูปฌาน ๔ เข้าถึงขั้นอัปปนาสมาธิ เมื่อออกจากอัปปนา สมาธิแล้ว จะพิจารณาเห็นมนุษย์สัตว์ทั้งหลายไม่เลือกหน้าเสมอภาคกันหมด คือ มี  เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งนั้น ตายแล้วก็เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ด้วยกันทั้งสิ้น จิตน้อมไปเพื่ออัปปมัญญา ๔ อันหาที่สุดมิได้(แต่น้อมจิตเข้ามาอยู่ที่ตัว ไม่ได้ส่งไปสู่อัปปมัญญาอันหาประมาณมิได้)
พวกเราทำสมาธิต้องการให้จิตสงบอยู่คงที่ เมื่อจิตสงบอยู่ที่แล้วจะไม่หวั่นไหวไปมา ก็จะเข้าถึงอัปปมัญญา อัปปมัญญาเกิดขึ้นตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปเรียกร้องหรืออยากให้เกิด มันหากจะเกิดเองของมันต่างหาก ถ้าหากไปเรียก ร้องหรืออยากจะให้เกิด มันก็เลยไม่เกิดเสีย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่