ประสบการณ์เล็กๆ ความรู้สึกของลูกคนกลาง

สวัสดีครับ
ผมขออนุญาตเล่าเรื่องราวส่วนตัวในวัยเด็กให้ใครที่ผ่านเข้ามาในกระทู้นี้ฟัง อนึ่งเป็นการระบาย เพราะส่วนตัวรู้สึกว่าวัยนี้ (สามสิบนิดๆ) ไม่ควรมาพูดถึงเรื่องอะไรแบบนี้แล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้คนใกล้ชิดฟัง เพราะดูเป็นเรื่องของเด็กๆ แต่มันก็ยังคงเหมือนเป็นปมในใจซึ่ง อยากให้มันลด หรือสลัดให้หายไป แต่ยังทำไมได้สักที

ผมเกิดในครอบครัวคนจีน เป็นลูกคนที่3 ของพี่น้อง4คน พี่ชาย พี่สาว ผม และ น้องชาย โดยอย่างที่ทราบกันว่าหากมีลูกสาวอยู่คนเดียวในบ้าน ที่บ้านก็จะหวงเป็นพิเศษ ผมก็เหมือนรับบทลูกคนกลางไปโดยปริยาย

ฐานะทางบ้านจัดได้ว่าปานกลางค่อนไปทางดี ไม่ลำบาก ไม่ขัดสนอะไร
ตั้งแต่จำความได้ ผมและพี่น้องก็อาศัยอยู่กับญาติๆซึ่งเป็นลูกของอา และมีอาม่า(ย่า) คอยดูแล เพราะ พ่อแม่ผม และทางอา ต้องทำงาน เปิดร้านขายของ ไม่มีเวลาดูแล จึงฝากลูกไว้กับแม่ตัวเอง แต่ต่างกันตรงที่ อาและภรรยาของอา จะมาเยี่ยมลูกเขาทุกเย็น ซื้ออาหารมากินร่วมกัน เสาร์อาทิตย์ก็จะรับไปอยู่ด้วย ต่างกับ พ่อของผม จะมาหาประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือบางอาทิตย์ก็ไม่ (อาจด้วยแม่ผมไม่ค่อยถูกกับครอบครัวทางพ่อ) มารับผมและพี่น้องไปอยู่ด้วยบ้าง (เคยมีเหตุการณ์ตอนเด็กที่  ผมซึ่งตั้งหน้าตั้งตารอคอยพ่อมารับมาทั้งอาทิตย์ เพราะอยากไปนอนด้วย แต่พอพ่อมา ผมเผลอหลับ พ่อก็เหมือนไม่สนใจที่จะปลุกพาผมไปด้วย และไม่ได้คิดกลับจะมารับ ต้องรอไปอีกอาทิตย์ หลังจากตื่นก็เศร้าหนักเลย)

จนมาถึงช่วงประมาณประถมต้น พ่อก็มารับเอา น้องและพี่สาวไปอยู่ด้วย ส่วนพี่ชายก็ไปอยู่กับญาติอีกคน ทิ้งให้ผมกับลูกๆของอาอยู่ด้วยกัน ระหว่างอาศัยกับญาติๆ ก็ต้องฟังเสียงค่อนแคะ นินทา ว่าร้าย แม่ เป็นประจำ โดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโดดเดี่ยว ไม่มีพวกพ้อง กลายเป็นคนไม่มั่นใจ ปิดใจตัวเองกับคนอื่น

ผมเคยลองมองย้อนไปในตัวเอง ตั้งแต่ยังเด็ก (ในสายตาที่เป็นกลาง) ว่าตัวเองอาจไม่ใช่คนที่ดีมากอะไร แต่ก็เป็นคนที่มีจิตสำนึกที่ดี รักพ่อแม่ ทำอะไรจะคิดถึงพ่อแม่ก่อนเสมอ เวลาจะทะเลาะ โมโห คิดอยากจะชกต่อยกับใครที่รร. หน้าพ่อแม่ก็จะลอยมาเสมอ ว่าหากทำไปแล้วโดนไล่ออก พ่อแม่ (ที่ตอนนั้นเคารพเสมือนพระในใจ) จะรู้สึกอย่างไร แล้วก็เลิกล้มความคิดไป

ตอนช่วงประถม จำได้ว่าเก็บเงินค่าขนมวันละ10บาท และแต๊ะเอีย รวมเงินไปซื้อรองเท้าวิ่งรีบอคให้พ่อคู่ละพันกว่าบาท โดยแอบดูเบอร์รองเท้าพ่อ แล้วแอบไปซื้อบนห้างสรรพสินค้าคนเดียว ยังจำได้ว่าพี่พนักงานขายยังชมว่าเป็นเด็กดีจังเลย ตัวแค่นี้ซื้อของให้พ่อหลักพันด้วย
หลังจากให้ของไป พ่อก็มีสีหน้าท่าทีเฉยๆ พูดว่าขอบใจ และปล่อยทิ้งมันไว้ในกองรองเท้า โดยที่ไมได้ใส่มัน
สิบปีต่อมาตอนจะเคลียร์บ้าน ผมเห็นพ่อทิ้งรองเท้าเก่าไปหลายๆคู่ ให้คนงานไป .....คู่นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผมมองด้วยใจที่เรียบเฉย ไม่ได้พูดอะไร แต่ข้างในรู้สึกเจ็บแปลบๆลึกๆ

ความรู้สึกไม่มีค่า มันสะสมมาเรื่อยๆจนโต โดยไม่เคยไปพยายามหาสาเหตุ กลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่เคารพในตนเอง เงียบ ความมั่นใจในการเข้าสังคมน้อยมาก รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่สำคัญกับใครเลย เพื่อนน้อย ไม่เชื่อมั่นในการอยู่เป็นกลุ่มก้อน โดดเดี่ยวจนเคยชินจนไม่รู้สึกเหงา รู้สึกสบายใจ อิสระที่ได้อยู่คนเดียว ชอบวาดรูป บางทีรู้สึกว่าเข้ากับคนอื่นได้ยาก ไม่เปิดใจกับใคร จนคิดว่าคนอื่นอาจมองเป็นคนแปลกๆ

หลังจากนั้นหลายปี วันหนึ่ง ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม แม่ก็มารับ พาไปอยู่ด้วย ผมจำได้ว่ารู้สึกดีใจ แต่จำรายละเอียดไม่ได้สักเท่าไร
จนกระทั่ง อยู่ๆไปผมทะเลาะกับพี่สาวแบบเด็กๆ
พี่สาวก็หลุดออกมาว่า "รู้ไหมว่าตอนแม่ไปรับเอ็งมา พ่อพูดกับแม่ว่า ไปรับมันมาทำไม" ...
ยอมรับว่า ตอนนั้นช๊อคไปพักนึงเลย...
พอมาโอกาสก็เลยถามแม่เรื่องนี้ แม่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ได้แต่ยิ้มแห้ง และตอบว่า " (พี่สาว)บอกด้วยเหรอ? "

ทางฝั่งแม่ ตอนยังเล็ก ก็ยังมีความทรงจำฝังใจกับคำพูดที่แม่ พูดเล่นๆโดยไม่คิดมาก กับคนอื่น ต่อหน้าเราว่า ลูก..ไม่รู้จะมีไปเพื่ออะไร มีแต่เป็นภาระ... จนทุกวันนี้อายุเลยเลข3 ก็ยังจำฝังใจไม่เคยลืม

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนเรียนจบ ผมพยายามทำดีกับพ่อแม่โดยการ หลายครั้งที่ได้งานรับทำงานจ๊อบพิเศษต่างๆมา ก็จะพาพ่อกับแม่ไปเลี้ยงร้านอาหารดีดี ซึ่งเป็นเงินเกินครึ่งของรายได้ตอนนั้น

หลายครั้งที่เป็นวันเกิดพ่อ พี่ๆน้องๆก็จะรวมเงินกันซื้อของให้ แต่พ่อก็มักจะจำเป็นว่า นั่นคือสิ่งที่น้องเป็นคนซื้อให้เพียงคนเดียวเสมอ

ด้วยความที่ที่บ้านเปิดกิจการขายของ และหากทำเป้าถึงทางเอเย่นท์ จะมีการจัดทริปขอบคุณไปต่างประเทศบ่อยๆเมื่อก่อน
ทุกครั้งที่มีการไป  พ่อก็จะชวนแต่พี่ชาย, น้อง หรือพี่สาว ให้ไป ..ผมจะเป็นคนเดียวไม่เคยที่จะถูกชวนตลอดมา
ที่บ้าน พ่อจะมีความคิดที่ว่า หากใครได้ไปเที่ยวจะต้อง ห้ามเล่าให้พี่น้องฟัง ด้วยคิดแต่ว่า กลัวจะโวยวายขอไปด้วย ทุกคนจะรู้อีกทีก็จะรู้ตอนพี่หรือน้องบินไปแล้ว ในทุกครั้งผมก็จะมีความรู้สึกเป็นคนไร้ค่า เหมือนหมาหัวเน่าในบ้าน แต่ก็คิดเอาว่าไม่เป็นไร หากเราทำดีไปเรื่อยๆสักวันเค้าก็ต้องเห็นค่าเราสักวัน ผมไม่เคยรู้สึกว่าอยากได้นั่น อยากได้นี่อะไรที่อาจทำให้พ่อแม่เดือดร้อน ต่อให้ครอบครัวลำบาก ผมก็อยู่ได้ หากทุกคนเท่ากัน ไม่เคยเรียกร้องอะไร แต่ไม่ไหวจริงๆกับความรู้สึกที่มีการลำเอียงไปทางคนอื่นชัดเจนขนาดนี้ และบ่อยครั้งจนเป็นเรื่องปกติ โดยที่ไม่มีเหตุผลอะไร

มีอยู่ครั้งที่ผมทะเลาะกับพ่อ เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงเดียวกับที่ผมเรียนจบ ยังพยายามหางานแต่ยังไม่ได้ ไม่มีรายได้อะไร ไมได้รับเงินเดือนจากพ่อแม่ ไม่อยากรบกวนมาก แต่ช่วยงานที่บ้านตลอด และพยายามหางานประจำของตัวเองไปด้วย พี่ชายที่เรียนจบมาหลายปีแล้ว รับเงินเดือนที่บ้านอย่างเดียว แต่ไม่ทำงาน ไม่เคยช่วย พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร
วันนั้นดึกแล้ว ฝนตกหนัก คนงานกลับไปหมด แต่ต้องเอาของไปส่งให้ลูกค้า พ่อเรียกให้ผมซึ่งอยู่ในช่วงตึงสุดๆว่าทำไม คนที่รับเงินเดือน มีหน้าที่จึงไม่ยอมทำงาน แต่ผมซึ่งกำลังจะไม่มีเงินกินข้าวแล้วต้องมาทำแทนตลอด ไปช่วยส่ง ผมเลยถามพ่อว่า ทำไมพี่ไม่ช่วยบ้าง ทั้งที่เป็นหน้าที่ พ่อกลับพูดจาประชดกลับมาว่า "ไม่ต้องพูดมากหรอก จริงๆไม่อยากช่วยใช่ไหม" ผมในตอนนั้นเส้นมันขาดแล้ว ไม่มีการตัดสินใจ.... ผมเดินหลบออกมาเลย วันนั้นกลายเป็นว่า พ่อเลยต้องไปส่งของคนเดียว

พ่อเอาไปพูดกับแม่ แม่เอาไปเล่าให้ญาติฟัง ว่า ผมไม่ยอมช่วยงานที่บ้าน

จากเหตุการณ์หลายๆอย่างที่พบมาตั้งแต่เกิด ทำให้รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนไม่มีค่า นานๆเข้าจนรู้สึกว่ามัน "คง" เป็นเรื่องปกติของทุกคนที่ คุณค่าของแต่ละคนจะเริ่มที่ 0 และต้องเพิ่มมันเข้าไปด้วย การกระทำของตัวเอง และเอาเกณฑ์คุณค่าของตัวเองไปแขวนไว้กับสายตาของพ่อ(ซึ่งตอนนั้นเคารพบูชามาก)

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย (โดยที่ทั้งพ่อและแม่ ไม่ไปงานรับปริญญาของผมเลย แม้ว่าผมจะพยายามชวนอยู่หลายครั้ง แต่งานรับปริญญาของพี่ชายและพี่สาว พ่อไป), ผมก็ได้มีโอกาสทำงานศิลปะเกี่ยวกับสายแฟชั่น (วาดรูปออกแบบลาย) และโชคดีถูกชวนโดยฝรั่งเจ้าของแบรนเสื้อผ้าเล็กๆที่บังเอิญมาเห็นงานของผมที่ลงไว้ในเวป portfolio
หลังจากลาออกจากงานที่แรก ก็ได้ร่วมงานเป็นฟรีแลนซ์ให้กับหลายๆแบรนดังที่ให้โอกาส การงานตอนนั้นค่อนข้างดีในสายตาผมเอง อาจไม่ได้เงินเยอะในสายตาใคร แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองพอจะมีคุณค่าอยู่บ้าง มีถูกชวนร่วมโปรเจคโดย แบรนสินค้ามีชื่อในต่างประเทศ ลงหนังสือนิตยสารศิลปะเล็กๆของต่างประเทศหลายเล่ม หลังจากนั้นก็ถูกชวนให้ไปสัมภาษณ์งานแบรนแฟชั่นของชาวอังกฤษที่มาเปิดแบรนในเมืองไทย โดยมีผู้ร่วมเข้าสัมภาษณ์ ประมาณ 5-6คน โดยมีสองคนที่รู้ทีหลังว่าเป็นรุ่นพี่โตกว่า จบป.โทจากต่างประเทศ แต่ด้วยเหตุบังเอิญ โชคดีหรืออะไรก็ตามแต่ ผมได้งานนั้นมา ด้วยเรทเงินเดือนที่เรียกไปสูงกว่าทุกคน

ด้วยรายได้ตอนนั้นที่ค่อนข้างดีถ้าเทียบกับคนทำงานประจำในสายและวัยเดียวกัน
ผมตั้งกฎในใจกับตัว และทำมัน ว่า จะให้เงินพ่อแม่ใช้ทุกเดือน (เป็นลูกคนเดียวที่ให้) พาไปกินข้าวร้านอาหารดีดี แพงๆทุกเดือนและ เลี้ยงอาหารทั้งครอบครัวทุกมื้อที่ไปกินด้วยกัน พาไปซื้อของ ดูแลพ่อแม่ให้ดีดี ขณะเดียวกันที่พี่ชายหลังจากเรียนจบก็ไมได้ทำงาน พ่อเสนอให้ไปเรียนต่อก็ไม่ไป (ผมเคยขอไปเรียนบ้าง พ่อไม่ให้ โดยให้เหตุผลว่า ไม่คุ้ม) ซ้ำยังขโมยเงินหลักล้านของที่บ้าน เอาไปผลาญใช้ชีวิตไฮโซ โดยที่บ้านก็ไม่กล้าพูด หรือว่าอะไร, พี่สาวหลังจากเรียนจบก็แต่งงาน และหย่ากับสามี อยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำงาน, น้องชายเรียนไม่จบ

ผมหวังมาตลอดว่าสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดอาจทำให้พ่อชำเลืองมาในความปรารถนาดีของผมได้บ้าง แต่ก็ไม่แม้แต่เพียงนิด

....หลังจากนั้นเพียงปีกว่าๆ ผมได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสักคนว่า "ลื้อโชคดีนะ มีลูกเลี้ยง ให้เงิน อั๊วไม่เคยได้เงินจากลูกอั๊ว *สักบาท* " ....ไม่รู้ว่า ทำไมมันความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนทุกอย่างมันหมดลงแล้ว... ถึงบางอ้อแล้วว่า หากแขวนคุณค่าของตนเองไว้กับคนที่ไม่มีวันเห็นมัน แม้จะทำดีแค่ไหน ยังไงก็ไม่มีทางที่เค้าแม้แต่จะชำเลืองมองมาหรอก   ....พอแล้ว....

จากที่จำความได้ว่าตอนเด็กๆตอนอยู่บ้านย่า ทุกคืนจะสวดมนต์ โดยลงท้ายทุกครั้งว่า ขอให้เกิดมาอยู่กับครอบครัวนี้ พ่อ แม่ พี่ น้อง ทุกๆชาติไป
....ตอนนี้มาเหมือนจะมีความคิดที่เปลี่ยนไป ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นอีกคนที่ชีวิตอาจไม่ได้ลำบากตรากตรำอะไรมากมายเหมือนหลายๆคนในวัยเด็กด้วยสิ่งที่พ่อแม่หามา แต่เป็นคนที่ไม่มีความสุขในชีวิตเลย เพราะเอาความหวังในชีวิตไปแขวนไว้ผิดที่ มาตลอด

หลายเรื่องในชีวิต เป็นไปได้ผมก็พยายามมองข้ามแต่ไม่ทราบด้วยสาเหตุอะไร ไม่รู้ว่าเป็นคนเก็บดีเทลเยอะไปรึเปล่า มันก็รู้สึกและจำได้ และเหมือนมันเป็นปมที่ขยายต่อไปเรื่อยๆ บางทีเก็บกด จนบางทีแอบกลัวว่าเราจะเป็นโรคซึมเศร้า

ทุกวันนี้ผมก็ ปฏิบัติดีให้เรื่อยๆกับพ่อ แต่จะเอาใจออกห่าง ไม่ไปยุ่งอะไรกับเค้ามาก รู้สึกเป็นหลายปีที่ไร้ค่ามากๆ ห่างๆหน่อยซะดีกว่า เจ็บน้อยหน่อย

ถึงตรงนี้ ผมรู้ว่าหลายคนที่ได้เข้ามาอ่าน อาจคิดว่าผมเป็นคนอกตัญญู คิดในแง่ร้ายกับพ่อแม่ แต่ขอให้รู้สักนิดเถิดครับว่า ความรู้สึกแบบนี้ ไม่โดนกับตัวไม่มีวันเข้าใจได้เลยจริงๆ
สุดท้ายนี้อยากฝากถึงพ่อแม่มือใหม่สมัยนี้นะครับว่า หากจะมีลูก แม้ว่าจะเป็นคนกลาง อยากให้ตั้งใจเลี้ยงด้วยใจ พูดคุยกับเขาบ่อยๆ การเลี้ยงใครสักคนแบบขอไปทีโดยที่ไม่คิดว่าเขาก็มีจิตใจเหมือนกัน  มันสามารถฝังปมส่งผลกับเขามากกว่าที่คิดก็เป็นได้นะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านคำพร่ำบ่น ระบายของผมจนถึงบรรทัดนี้ครับ
หากเล่าไม่เก่ง ติดขัด หรือมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่