MovieMouthy:English Talk in The Conjuring 1 (มีสปอยค่ะ)

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน สำหรับกระทู้นี้น้ำตั้งขึ้นมาเพื่ออยากจะแชร์ภาษาอังกฤษจากหนังกันค่ะ
เพื่อนๆเคยมีอาการแบบนี้บ้างรึเปล่าคะ? เราก็พอรู้ภาษาอังกฤษนะ  รู้จักศัพท์คำนั้นคำนี้อยู่บ้าง  
สมมุตถ้ามีคนเอามาให้อ่าน ก็พออ่านออกแปลได้ เข้าใจเนื้อหาใจความ  แต่ถ้าให้พูดสนทนา แหม...บางทีมันเหมือนติดอยู่ที่ลิ้น เอ๊ะ...มันว่ายังไงแล้วน้า?? จะพูดประมาณนี้ๆต้องว่ายังไงนะ?? ไอเราก็อยากจะพูดให้มันคล่องๆกะเขาบ้าง....ใช่เลยค่ะ! นี่เป็นปัญหาของน้ำเลยค่ะ  และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นให้น้ำมักจะติดนิสัยสังเกตวิธีพูดในแบบต่างๆ ในบริบทต่างๆ ของภาษาอังกฤษจากการดูหนังค่ะ เพราะปกติเป็นคนที่ชื่นชอบการดูหนังมากกก  และโดยส่วนตัวจากการได้ลองสังเกตดูทำให้รู้สึกว่าบางทีตัวช่วยที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษคล่องขึ้นนั้น แกรมม่าอาจจะไม่ใช่คำตอบก็ได้ค่ะ แต่เป็นพวกกลุ่มคำต่างๆ  สำนวนต่างๆ หรือบางทีก็เป็นแค่คำง่ายๆ แต่ว่าใช้ได้ในชีวิตประจำวันมากกว่าค่ะ เพราะอย่างตัวน้ำเองคิดถึงแกรมม่าทีไรเป็นไม่ได้พูดทุกที มันจะเผลอกลัวถูกกลัวผิด สุดท้ายก็อมพะนำไม่ได้พูดออกมา หรือพูดก็ตะกุกตะกักค่ะ ไม่เป็นธรรมชาติ
ดังนั้นสำหรับกระทู้นี้ น้ำก็อาจจะไม่ได้เน้นเรื่องการแปลคำศัพท์คำต่อคำหรือรูปประโยคแกรมม่านะคะ แต่ได้ลองรวบรวมกลุ่มคำหรือสำนวนมาแชร์กัน จากหนังที่ดูมาล่าสุดก็คือเรื่อง The Conjuring ค่ะ  แต่เป็นภาค 1 นะคะ คือภาค2 กระแสน่าดูมากค่ะะ แต่มันยังอยู่โรงนี่สิคะ! ยังไม่กล้าไปดูหนังผีในโรงอ่ะค่ะ เลยเอาภาคแรกมาดูอีกสักที ให้หายอยากก่อนก็แล้วกัน ไหนๆตอนดูไปครั้งเเรกก็กล้าๆกลัวๆ ปิดตาบ้าง เปิดตาบ้างอยู่แล้ว ถือว่าดูเอารายละเอียดสักรอบละกันค่ะ  แต่ฉากไหนขนลุก ดูใหม่ก็ยังขนลุกเหมือนเดิมเลยค่ะ T T
(สามารถติดตามได้ในเพจ facebook.com/moviemouthy ค่ะ)


เรื่องราวของ The conjuring เป็นเรื่องราวการสืบสวนคดีที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติของเอ็ดและลอเรน คู่สามีภรรยาที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านนี้ หรือถ้าง่ายๆก็คล้ายๆมือปราบผีค่ะ  และพวกเขามีตัวตนจริงด้วยค่ะ


ในซีนนี้มีนักศึกษาพยาบาลที่รู้สึกว่าตัวเองถูกผีตุ๊กตาแอนนาเบลหลอกหลอนคุกคาม แต่ก็กล้าๆกลัวๆที่จะเล่าให้ฟัง
เอ็ดจึงกล่าวว่า "TRY US." (us ในที่นี้คือตัวเอ็ดเองและลอเรน)   ความหมายตรงๆก็คือ "ลองกับเราดูก่อนสิ" ในสถานการณ์นี้ก็คือ
"ลองเล่าให้เราฟังก่อน" เท่าที่สังเกตดูมักใช้ในกรณีที่อีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างที่ตัดสินแทนเราไปแล้วว่าเราจะคิดเห็นอย่างไรค่ะ
เช่น
You don't understand! = เธอไม่เข้าใจฉันหรอก!
Try me. = ลองเล่าให้ฉันฟังดูสิ
หรือออกแนวท้าทายว่า "ก็ลองดูสิ" เช่น
You can't fight me.= เธอสู้ชั้นไม่ได้หรอก
Really? Try me! =งั้นเหรอ ? ก็ลองดูสิ!


"No such thing" มีความหมายว่า "ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก,ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนั้นหรอก" ใช้ในการเน้นย้ำว่าสิ่งนั้นๆไม่มีอยู่จริงค่ะ
ในซีนนี้หลังจากเล่าเรื่องเหตุการณ์ผีสิงตุ๊กตาแอนนาเบลให้ฟัง เอ็ดก็บอกว่า ไม่มีอะไรที่ว่าเป็นแอนนาเบลหรอก มันไม่เคยมี
(เพราะจริงๆแล้วผีต้องการสิงคนไม่ใช่สิงตุ๊กตา แค่ใช้ตุ๊กตาเป็นเครื่องมือต่างหาก! )
ตัวอย่างอื่นเช่น
You thought I was dancing? No such thing!
=เธอคิดว่าฉันไปเต้นมางั้นเหรอ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก!


"In the middle of nowhere" มีความหมายถึงที่ที่อยู่ไกลๆๆๆๆ,ไกลจากเมือง,ไกลจากผู้คน ให้ความรู้สึกว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เปลี่ยวร้างค่ะ
ในซีนนี้ ครอบครัวเพอรอนได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ ซึ่งแยกออกมาอยู่ไกลจากเมืองมากๆๆ ล้อมรอบไปด้วยป่า ในบริบทนี้จึงหมายความได้ว่า "นี่เรามาอยู่กลางป่าเลยเหรอเนี่ย"
ตัวอย่างอื่นเช่น
I get lost in the middle of nowhere.
=ฉันหลงมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ (แสดงว่าที่ที่หลงมาไม่มีผู้คน สถานที่เปลี่ยวมาก)


"Watch" นอกจากจะมีความหมายว่า "ดู" แล้ว
ยังมีอีกหนึ่งความหมายว่า "ระวัง" ค่ะ
อย่างเช่นในซีนนี้ กำลังขนข้าวของเข้าบ้านใหม่กัน นายที่ช่วยกันยกโซฟาสองหน่อนั้นก็เลยเตือนกันว่า "Watch your step." ค่ะ
ตัวอย่างอื่นเช่น
Watch the knife!=ระวังมีด!
Watch your mouth.=ระวังปากหน่อย (เป็นการเตือนๆดุๆให้พูดจาระวังหน่อย) เป็นต้นค่ะ


"Watch out" ก็มีความหมายว่า "ระวัง" เช่นกันค่ะ แต่ต่างจาก "Watch" ตรงที่เราตะโกนบอกให้ระวังด้วยคำ "Watch out"นี้ได้เลยค่ะ
เช่น ในซีนนี้ ลูกเตือนพ่อให้ระวังตอนเดินผ่านทางเดิน เพราะข้าวของวางเต็มไปหมด ก็เตือนด้วย "Watch out " ได้เลย
หรือ ถ้าเราต้องการอุทานบอกใครให้ระวัง ก็ตะโกน "Watch out! "
เเต่ถ้า "Watch" ต้องพูดตามด้วยว่า จะให้ระวังอะไร ดังเช่นตัวอย่างในภาพก่อนหน้านี้ค่ะ


"Mean" ในที่นี้แปลว่า "ร้าย" ค่ะ
ในซีนนี้พี่สาวกับน้องสาวแย่งของกัน สุดท้ายคนน้องแย่งมาได้เพราะแอบเตะขาพี่ พี่เลยว่าตามหลังไปว่า
You're so mean= เธอร้ายอ่ะ
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ชื่อหนังวัยรุ่นก๊วนสาวร้ายๆ สไตล์อเมริกันเกิร์ล เรื่อง "Mean Girls" ค่ะ ในเรื่องก็จะเต็มไปด้วยเด็กสาวไฮสคูลร้ายๆ แกล้งกันแบบเจ็บๆแสบๆค่ะ


ในบริบทนี้ "Mean" มีความหมายว่า "เจตนา,ความตั้งใจ" ค่ะ
ในซีนนี้พี่น้องทะเลาะกันอีกแล้วค่ะ เล่นกันจนเผลอทำฝาผนังไม้หลุดออกมาจนเจอห้องใต้ดินลับ ด้วยความตกใจคนพี่เลยต้องรีบบอกพ่อแม่ว่า I didn't mean to = หนูไม่ได้ตั้งใจ
ตัวอย่างอื่นเช่น
I mean to leave that letter to you.=ฉันตั้งใจทิ้งจดหมายฉบับนั้นให้เธอ


"Hard to tell" มีความหมายตามตัวเลยค่ะว่า "บอกยาก,พูดยาก,บอกไม่ถูก,ไม่รู้จะพูดยังไง" อะไรทำนองนี้ค่ะ
อย่างเช่นในซีนนี้ หลังจากเจอห้องใต้ดินลับ เมื่อพ่อลงไปสำรวจ แม่ก็ตะโกนถามไปว่า "เห็นอะไรบ้าง?" แต่ตอนนั้นทั้งมืด และของในนั้นก็เยอะ พ่อเลยบอกไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไร ก็ใช้คำว่า "Hard to tell" ค่ะ
ส่วน "You know" ในที่นี้ เป็นคล้ายๆคำสร้อยใช้พูดคั่น
ก่อนที่เราจะพูดอะไรต่อไปค่ะ คล้ายๆว่าเรากำลังคิดไปด้วย-พูดไปด้วย ถ้าเป็นคำไทย ก็คงประมาณคำว่า "แบบว่า..." , "คือ..."
ในซีนนี้หลังจากพ่อบอกไม่ถูก ก็ค่อยๆพูดถึงสิ่งของที่เห็นชัดๆสองสามอย่างพวกเปียโนเก่าๆ กับพวกของใช้ที่พังๆเป็นขยะไปแล้วค่ะ
ตัวอย่างอื่น เช่น My bag,you know,was stolen = กระเป๋าฉัน แบบว่า...ถูกขโมยไปแล้ว


"Check it out" ในที่นี้มีความหมายว่า "สำรวจดู,ตรวจสอบดู" ค่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
ยังไม่จบกับห้องใต้ดินลับค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ สุดท้ายคุณพ่อเลยบอกว่า เดี๋ยวจะเช็คดูอีกทีพรุ่งนี้ เลยพูดว่า
" I'll check it out in the morning"
ค่ะ! ดีแล้วค่ะ! โหง่วเฮ้งห้องใต้ดินนี้ต้องมีผีแน่นอนค่ะ! ไปดูตอนเช้าน่ะแหละ ดีแล้วค่ะ T T ( แต่ก็ไม่รอดหรอก...โดนหลอกอยู่ดี)
ตัวอย่างอื่น เช่น
The police is checking that woman out.=ตำรวจกำลังตรวจผู้หญิงคนนั้น
นอกจากนี้ ยังมีความหมายในลักษณะว่า "ดูนี่สิ,ดูนี่ซะก่อน" เป็นการชี้ชวนให้ดูกันค่ะ เช่น
ถ้าเจออะไรที่คิดว่าน่าสนใจหรือเจ๋งมากๆก็บอกเพื่อนว่า
Hey! check this out.=เฮ้! ดูอะไรนี่สิ


"Know better" มีความหมายว่า "ก็รู้นี่นา,รู้อยู่แล้ว,รู้ดี,รู้อะไรควรอะไรไม่ควร" ใช้พูดถึงคนที่ไม่น่าทำอะไรพลาด เพราะรู้ทุกอย่างดีอยู่แก่ใจ
ในซีนนี้เป็นซีนครอบครัวของเอ็ดและลอเรน ซึ่งจะมีห้องนึงของบ้านไว้เก็บรักษาวัตถุต่างๆที่ต้องคุณไสย โดยเอ็ดจับได้ว่าลูกสาวแอบเข้ามาในห้องนี้ เลยตักเตือนเพราะได้มีการสั่งห้ามและทำความเข้าใจไว้ก่อนเเล้ว


"No matter what" มีความหมายว่า "ไม่ว่าอะไรก็ตาม,ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
ในซีนนี้หลังจากจับได้ว่าลูกสาวแอบเข้ามาในห้องต้องห้าม พ่อก็ขอเตือนอีกสักทีละกันน
ตัวอย่างอื่นเช่น
We'll be on time.No matter what.= เราจะไปให้ตรงเวลา ไม่ว่าอะไรก็ตาม


"Track down" มีความหมายว่า "ตามหา" อาาจะเป็นการตามหาใครหรืออะไรบางอย่าง โดยใช้เวลาระยะหนึ่ง
ในซีนนี้หลังจากเอ็ดและลอเรนได้เข้าสำรวจบ้านหลังนี้แล้ว ก็ได้ทำการบันทึกเสียงสัมภาษณ์ครอบครัวเพอรอน เอ็ดได้ถามว่าเมื่อมีอะไรแปลกๆในบ้านหลังนี้ ทำไมก่อนหน้านี้จึงไม่คิดย้ายหนีล่ะ ครอบครัวเพอรอนตอบว่าเงินที่มีได้เอามาซื้อบ้านหลังนี้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงได้ตามหาเอ็ดและลอเรนให้มาช่วยค่ะ
ตัวอย่างอื่นเช่น I'll will track her down.=ฉันจะตามหาหล่อนให้เอง


"Do you mind if....?" มีความหมายว่า "จะว่าอะไรมั้ยถ้า..." , "จะรังเกียจมั้ยถ้า..." ใช้ในการพูดขออนุญาตอย่างสุภาพกับผู้อื่น ค่ะ
ในซีนนี้ ลูกสาวคนเล็กของครอบครัวเพอรอน ได้เจอกับวิญญาณเด็กผู้ชายในบ้านชื่อโรรี่ แถมยังอุตส่าห์เป็นเพื่อน
กันอีก!! ลอเรนจึงเข้าไปถามเพื่อจะขอเจอโรรี่บ้างค่ะ

นอกจากนี้ยังสามารถย่อได้เป็น "Do you mind?" ค่ะ วิธีใช้จะเป็นรูปแบบนี้ค่ะ
I'm going to ask you the personal questions,do you mind?
= ฉันจะขอถามคำถามที่ส่วนตัวหน่อย ไม่ทราบคุณรังเกียจมั้ยคะ?

หรือในบางบริบทหากมีใครมาสร้างความรำคาญใจ ทำให้เราไม่ชอบใจ "Do you mind?" ก็สามารถกลายเป็นคำที่
แสดงความไม่พอใจได้ค่ะ สังเกตดูเอาได้จากน้ำเสียงเลยค่ะ เช่น
Do you mind?! That's my sister who you're talking about.
=ขอทีเถอะ! นั่นน้องสาวฉันนะที่เธอกำลังพูดถึงอยู่น่ะ


"Go ahead" ในบริบทนี้มีความหมายว่า "ว่าไปเลย,เอาเลย,ทำเลย,เดินหน้าไปเลย" อะไรประมาณนี้ค่ะ ใช้บอกกับคนอื่นให้เริ่มไปเลย หรือบอกให้คนคนนั้นทำอะไรต่อเนื่องไปได้เลย ค่ะ
ในซีนนี้ เอ็ดได้บอกลอเรนให้เริ่มเล่าในสิ่งที่ตัวลอเรนเห็น (ลอเรนจะเป็นคนที่มีเซ้นส์ค่ะ) ให้ครอบครัวเพอรอนฟังค่ะ
ตัวอย่างอื่นเช่น
Go ahead,I won't interrupt again.=เชิญต่อเลยครับ ผมจะไม่รบกวนอีกแล้ว

นอกจากนี้ยังมีความหมายได้ว่า "ล่วงหน้าไปก่อน" เช่น
You go ahead and we’ll wait here for Sally.
=เธอล่วงหน้าไปก่อนเลย เราจะรอแซลลี่อยู่ที่นี่ก่อน


"Matter" มีความหมายว่า "เรื่องที่สำคัญ,เรื่องที่มีความหมาย"
ดังนั้น "It doesn't matter" จึงมีความหมายว่า เรื่องที่ไม่สำคัญ,เรื่องที่ไม่มีความหมาย,เรื่องที่ไม่มีผล
ในซีนนี้หลังจากครอบครัวเพอรอนได้ตามเอ็ดและลอเรนให้ช่วยพวกเขาตรวจสอบบ้านหลังจากที่มักจะเกิดเรื่องแปลกๆหลอกหลอนอยู่ทุกวัน ก็พบว่ามีวิญญาณร้ายสิงสถิตอยู่ ครอบครัวเพอรอนจึงคิดย้ายหนีไป แต่ลอเรนกลับบอกว่า
It doesn't matter where you go...= ตอนนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญแล้ว มันเกาะติดคุณไปแล้ว T T
ตัวอย่างอื่นเช่น
Sorry I broke this vase/ It doesn't matter.
=ขอโทษ ฉันทำแจกันแตก / ไม่เป็นไรหรอก (ไม่ติดใจ ไม่สำคัญ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่