โลกีย์ฌาณ เรียกว่า รูปฌาณ4 และอรูปฌาณ4 คืออย่างไร ขอความเห็น

โลกียฌาน เรียกว่า รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔
รวมกันเรียกว่า สมาบัติ ๘ อันนี้ เรียกว่าเป็นโลกีย์
ยังไม่สามารถที่จะเรียกได้ว่าเป็นโลกุตระ
โลกุตระนั้นก็แยกออก ตอนที่ดำเนินจิตไปถึงรูปฌานชั้นสุดท้ายคือจตุถฌาน
เมื่อไปถึงขึ้นนั้นแล้ว จิตนี้ก็จะมีพลัง คือมีกำลังอย่างยิ่ง
หลับตาไปก็เหมือนลืมตา มีสิ่ง เรียกว่า ดวงตาทิพย์
สามารถที่จะมองลอดทะลุปรุโปร่งไปได้ อย่างนี้เป็นต้น
แทนที่จะไปมองไปในทางอื่น หรือเรียกว่ามองไปในทางผิด
ในพระพุทธศาสนาก็แนะนำให้ ดำเนินวิปัสสนา
คือดำเนินวิปัสสนาให้เห็นจริงแจ้งประจักษ์ในเรื่องของวิปัสสนา
การดำเนินจิตมาถึงการแจ้งประจักษ์ของวิปัสสนานั้น
ก็จำเป็นที่จะต้องยกตัวอย่าง ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า
วิธีการดำเนินวิปัสสนานั้น ทำกันมาอย่างไร
ยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง อนัตตลักขณสูตร
ให้แก่ท่านปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้สดับที่พระองค์แสดงถึงอนัตตลักขณสูตรนั้น
คือการแสดงถึง อุบายวิธีของวิปัสสนา
หมายถึงว่าธรรมะขั้นสูงของพระพุทธศาสนา
เริ่มด้วยที่พระองค์ได้ทรงแสดงว่า รูปัง ภิกขเว อนัตตา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ตน ทรงแสดงไปอย่างนี้
อันนี้เรียกว่าเริ่มด้วยวิปัสสนา
คำที่ว่าไม่ใช่ตนนั้น เพราะมันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา
เราบอกมันอย่าแก่ มันก็จะแก่ บอกมันอย่าตาย มันก็จะต้องตาย
คือมันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา จึงเรียกว่า การดำเนินวิปัสสนาในขั้นแรก
พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง
เมื่อพระองค์ให้พิจารณาเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงในขั้นต่อไปว่า
ตํ กึ มญฺญตฺถ ภิกฺขเว รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วาติ
พระพุทธเจ้าได้ถามท่านปัญจวัคคีย์ว่า รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ท่านปัญจวัคคีย์ตอบว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
เมื่อมันไม่เที่ยงแล้ว ควรหรือที่จะมายึดถือเอาว่าเป็นตัวตน?
ในข้อที่ ๓ ต่อไป พระองค์ก็ทรงแสดงว่า
ตสฺมาติห ภิกฺขเว เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลาย
ยงฺกิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปนฺนํ
รูปในอดีต รูปในอนาคต รูปในปัจจุบัน
สพฺพํ รูปํ รูปทั้งปวง
เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ
มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่ตัวตนเรา
เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ
ให้พิจารณาตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ
พระองค์ได้ทรงตรัสว่าให้พิจารณาตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ
ปัญญาในที่นี้หมายถึงกระแสจิต ไม่ได้หมายถึงอะไร
ไม่ได้หมายถึงการท่องบ่น ไม่ได้หมายถึงชวนะ
หรือไม่ได้หมายถึงสิ่งที่คนเค้าฉลาดอย่างโน้นอย่างนี้
แต่ว่าหมายถึงการที่ได้พิจารณาเห็น มีพลังจิตเป็นกระแสจิต
หมายถึงกระแสจิต หรือหมายถึงดวงตาญาณ หรือเรียกว่าดวงตาทิพย์
เมื่อหลับตาพิจารณาแล้ว ก็เห็น เห็นรูป
ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลาย รูปํ อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปนฺนํ
รูปํ อตีตํ ก็ในอดีต เราจากนี้ไป
๕๐, ๔๐, ๓๐, ๒๐, ๑๐, ๙, ๘, ๗, ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑
อยู่ในท้องของมารดา นี้เรียกว่า กายในอดีต
กายในอนาคตนั้น จากนี้ไปก็ ๖๐, ๗๐, ๘๐, ๙๐ ตายแล้ว
ถูกเผาไปเหลือแต่กระดูก อย่างนี้เรียกว่า อนาคตํ วา ปจฺจุปนฺนํ วา
กายในปัจจุบัน ก็ให้พิจารณาถึงความไม่สวยไม่งามต่างๆ
ออกมาทางตา ขี้ตา หู ขี้หู จมูก ขี้มูก กาย ขี้เหงื่อ ขี้ไคล เหล่านี้
ที่พระองค์แสดงว่า อยํ โข เม กาโย กายของเรานี้แล
อุทฺธํ ปาทตลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อโธ เกสมตฺถกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตจปริยนโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานปฺปการสฺส อสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
อตฺถิ อิมสฺมึ กาเย มีอยู่ในกายนี้ อันนี้เรียกว่ากายปัจจุบัน
คือเมื่อเราพิจารณาเห็นจริงทั้งกายในอดีต
เห็นจริงทั้งกายในอนาคต เห็นจริงทั้งกายในปัจจุบันแล้ว
จากนั้นจิตก็จะเกิด รูปัสสมิง ติ นิพพินนะติ เกิดความเบื่อหน่าย
ความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นนั้น คือการพิจารณาตามความเป็นจริง
หมายความว่าการพิจารณาตามความเป็นจริงสมควร
พิจารณาตามความเป็นจริงเห็นจริงแจ้งประจักษ์ลงไป
เมื่อเราหลับตาก็เหมือนกับลืมตามองเห็น
อย่างนี้เรียกว่าเห็นจริงแจ้งประจักษ์ ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนา
แต่การที่จะให้เกิดเป็นวิปัสสนาอย่างแท้จริง จริงๆ ลงไป และให้มาก
ก็หมายความว่าจะต้องทำ พิจารณารูปนี้ให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วดับไป
จนกระทั่งเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายขึ้นมา
อย่างนี้เรียกว่าเราได้ทำ คือหมายความว่าได้ทำให้เกิดญาณขึ้นมา
และการทำให้เกิดขึ้นเช่นนี้นั้น จะต้องทำให้นาน
หมายความว่าทำให้ยาวนาน เมื่อได้หนทางอย่างนี้แล้ว เราก็ทำไปเรื่อยๆ
ทำไปเรื่อยๆ ในที่สุด ก็จะต้องสำเร็จ
อันที่เรียกว่าสำเร็จนั้นก็คือ สำเร็จ สละ ละกิเลส ได้แล้วทั้งปวง
เพราะฉะนั้น การที่ เราท่านทั้งหลายได้พากันมาปฏิบัตินั้น
คือ มาปฏิบัติในทางจิตนั้น จึงถือว่าเป็นการเดินทางโดยตรง
ที่จะเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์ เรียกว่าพระนิพพานเป็นต้น
ในพระพุทธศาสนาแนะนำไว้ว่า ผู้ที่จะเดินทางเข้าสู่พระนิพพานนั้น
ต้องมีการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าก่อนที่จะเข้าไปถึงซึ่งพระนิพพานนั้น
ก็จำเป็นที่จะต้องสร้างความดีต่างๆ เพื่อสะสมไว้ให้มาก
เป็นนิสสัย เป็นวาสนา เป็นบารมี เป็นกุศล มหากุศล ให้เกิดมีขึ้นแก่ใจของเรา
แล้วใจของเราอันนี้ก็จะได้รับการพัฒนาขึ้นตามลำดับ
จนกระทั่งสามารถกำจัดกิเลสไปได้ในที่สุดอย่างนี้เป็นต้น
นี่แหละเรียกว่าทางที่ถูกต้อง ที่จะนำพวกเราทั้งหลายเดินทางไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์....
โอวาทธรรม
ของ
พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่