1:
แคทลากกระเป๋าวิ่งเข้ามาในสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากได้รับโทรศัพท์จากแทค ว่าให้รีบมาเช็คอินได้แล้ว!
เธอมักประสบปัญหาแบบนี้เสมอเวลาต้องเดินทางไกล คือมักจะจัดของทุกอย่างและเตรียมตัวนาทีสุดท้าย
นี่ยังดีที่ได้สายรัดกระเป๋าที่ฝากแฟนของเพื่อนร่วมทางอย่างแจนไปซื้อมาให้
การเดินทางครั้งนี้จัดว่าเป็นทริปที่ยาวนานเพราะเธอและแทค คู่หูเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
จนหลายคนคิดว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน และหลายคนก็พูดสบประมาทไว้ว่า
"เดี๋ยวยังไงก็ได้กันเอง"
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยกว่าเพื่อน
อาจเพราะทั้งคู่รู้จักกันดีมากเกินกว่าจะก้ามข้ามไปพื้นที่อื่นที่ตัวเองไม่คุ้นเคย
แต่ใครจะรู้..ในสถานที่ใหม่ บรรยากาศใหม่ที่ทั้งคู่กำลังจะต้องก้าวไป
อาจจะเกิดอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น
แคทวิ่งมารอหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน แจนรีบวิ่งมาพร้อมสายรัดกระเป๋า
"พี่แคท มานี่แจนช่วย เดี๋ยวรัดเรียบร้อยแล้ววิ่งไปหาพี่แทคเลย ฮีไปเข้าแถวรอแล้ว วันนี้เช็คอินช้ามากเลยพี่"
แจนสาวหมวย แฟนสาวของแทคเพื่อนร่วมทางของเธอพุ่งตัวเข้ามาจัดแจงช่วยรัดกระเป๋าให้แคท
แคทมองความคล่องแคล่วของแจน ไม่แปลกใจที่แจนเป็นสาว producer ดาวรุ่งที่หลายคนต่างอยากคว้าตัวไปทำงานด้วย
และนอกจากเรื่องงานแล้ว แจนก็ยังเป็นสาวฮอตที่ใครต่อใครต่างหมายปอง ด้วยความขาว หมวย ฉลาด เก่ง และร่าเริงของเธอ ทำให้ใครๆ ต่างก็อยากใกล้ชิด..รวมถึงเพื่อนชายของเธอ
แต่เธอก็เลือกแล้วที่จะอยู่กับแทค ไอ้เพื่อนบ้าที่กำลังต่อแถวรอแคทอยู่ตรงโน้น และเริ่มทำหน้านิ่งระดับ5
นั่นถือเป็นสัญญาณไม่ดีของแคทซึ่งเธอก็รู้ตัว เพราะเวลาแทคหงุดหงิดมาก จะเริ่มนิ่งอย่างที่กำลังเป็นตอนนี้
แคทรีบวิ่งไปอยู่ในคิวพร้อมกับแทค ท่ามกลางสายตาของคนอื่นที่ต่อแถวมา
แคทรู้สึกผิดที่ต้องแทรกแถวเข้ามาอยู่กับเพื่อน แต่เมื่อมองนาฬิกาที่ข้อมือ
เธอก็ให้เหตุผลแถในใจว่าเธอมีใบเช็คอินใบเดียวกับแทค ดังนั้นก็ต้องเข้ามาเช็คมันตอนนี้แหละ!
"เห้ย ไหนบอกจะรีบออกตั้งแต่ 6 โมง นัดกันที่นี่ทุ่มนึงไม่ใช่เหรอวะ"
แทคเริ่มเปิดบทสนทนา
"ก็ออกแล้ว แต่ลืมของนิดหน่อย เลยเก็บของเพิ่มอ่ะ นี่เราไปดันปีนึงนะเว่ย ไม่ใช่เที่ยว 4-5วัน"
แคทพยายามให้เหตุผลซึ่งเธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่วิธีการง้อแทคที่ดี แต่ก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
"นี่คือไม่กะจะเดินใน duty free แล้วใช่มะ เอาให้ชัวร์นะ"
แทคยังไม่เลิกเหน็บ
"เออ ชัวร์ เพราะหมดตัวแล้วโว้ย!"
แคทพูดจากใจจริง
เพราะเงินทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอ หมดไปกับการเดินทางครั้งนี้หมดแล้ว จริงๆ มันอาจจะไม่ถือว่าเป็นเงินก้อนโตสำหรับคนอื่น แต่ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน
รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ก่อนจะมาถึงวันนี้ รวมถึงค่าปิดบัตรเครดิตของเธอ ก็เรียกได้ว่าโบนัสที่ได้มาสำหรับปีล่าสุดของเธอหายไปกับสายลมแล้ว
ตอนแรกที่แคทคิดว่าจะมาออสเตรเลีย เธอคิดหนักมาก เพราะมันคือการไปใช้ชีวิตที่เธออยากลองไปดูสักครั้ง
และยิ่งพอได้รู้จักวีซ่า Working Holiday วีซ่าที่ทำให้เธอสามารถทำงานระหว่างที่ใช้ชีวิตเมืองนอกได้แล้ว ก็จัดว่าเป็นวีซ่าที่เหมาะกับเธอทีเดียว
"จริงๆ อยากเรียนต่อนะ แต่ไม่มีตังค์"
แคทเปิดประโยคกับแทคสำหรับการขายแพลนนี้ให้เพื่อนร่วมทางฟัง
"คือถ้าไปแล้วหาตังค์เก็บได้ก็ว่าจะเรียนต่อแหละ แต่ตอนนี้ไปลองดูก่อนว่าจะอยากอยู่เมืองนอกไหม"
แทคตักข้าวเข้าปากหน้านิ่งๆ
"เห้ย นี่ถ้าไม่ไปตอนนี้จะไปตอนไหนวะ"
แคทชักชวนแบบสุดๆ
แทคมองหน้าแคทแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า
"แล้วถ้าฉันไม่ไป แกจะไปกะใคร"
"แกไม่ไป ฉันก็ไปคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นจะยากเลย"
แคทบอกอย่างมั่นใจทั้งที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ว่ากว่าจะได้วีซ่านั้น มันต้องทำอะไรหลายอย่างมาก
ทั้งต้องผ่านการสอบ IELTS ต้องกดแย่งโควต้า ทั้งต้องยังไปสอบสัมภาษณ์อีก
สารพันขั้นตอนที่ผ่านมานั้น เธอจะผ่านมาได้ยังไง ถ้าไม่มีแทคคอยช่วยเธอ
วันนี้ก็เช่นกัน
แทคยกกระเป๋าของแคทชั่งน้ำหนัก ก่อนจะรับตั๋วแล้วเก็บใส่กระเป๋าตัวเองไปเงียบๆ
แทครู้ดีว่าแคทเป็นคนที่ซุ่มซ่ามและมักประสบปัญหาการทำของหายตลอด เมื่อมีของที่ต้องเก็บร่วมกันแทคจึงมักเป็นคนดูแลให้เสมอ
"เก็บตั๋วแล้วนะคะ จะกินอะไรก่อนขึ้นเครื่องหรือเปล่า?"
แจนเดินเข้ามาถามแทคอย่างเป็นห่วง ก่อนที่จะมีเสียงดังตะโกนมา
"นี่พวกจะทิ้งกูไปจริงๆ เหรอ อีดวกกก"
เสียงของพิมสาวเปรี้ยวเพื่อนสนิทของทั้งคู่วิ่งตามมา
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 3 จะห่างกันมากกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิต
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เหล่านักเดินทางทั้ง 3 ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
ไม่ว่าจะขึ้นเหนือหรือล่องใต้
คงมีครั้งนี้ที่ทั้งคู่จะไม่ได้ยินเสียงแจ๋นของพิมในการเดินทาง
" อีแป้งมาส่งไม่ได้นะ มันเลี้ยงลูกอยู่ ลูกมันป่วย แต่มันฝากบอกพวกให้สนใจกูด้วย ตอบกรุ๊ปไลน์บ้างอีห่า ตั้งแต่จะไปกันนี่ก็ไม่มีเวลาให้พวกกูเลย"
พิมจิกกัดเบาๆ ตามสไตล์
"โอ้ยยย แค่จัดการชีวิตก็แย่แล้ว นี่นึกว่าจะไม่มาส่งแล้วนะเนี่ย กูต้องคิดถึงแน่เลย"
แคทกอดเพื่อนน้ำตาคลออย่างประหลาดใจและอดใจหายไม่ได้
"เออ ไปละก็ไม่ใช่ไปได้กันที่นู่นละ แจนระวังนะอีแคทนี่มันตัวดีเลย"
พิมเสี้ยมขำๆ ก่อนออกเดินทาง
"ก็ถ้าคนที่ไปด้วยไม่ใช่พี่แคท แจนไม่ให้ไปหรอกค่ะ แต่แจนรู้จักพี่แคทดี"
แจนซบไหล่แทคอมยิ้ม ก่อนจะหันมาทางแคท
"ว่าแล้วก็ฝากพี่แทคด้วยนะคะพี่แคท อย่าให้ไปนอกลู่นอกทางที่ไหน เจออะไรไม่ชอบมาพากลรีบบอกแจนเลยนะคะ"
แจนพูดยิ้มๆ ทิ้งท้ายก่อนจะหยิบกล้องโพลารอยด์ตัวเก่งของเธอออกมา
"เรามาถ่ายรูปกันเถอะค่ะ มาๆ พี่พิม พี่แคท พี่แทคเข้ามาใกล้ๆ"
แจนอาสาเป็นคนลั่นชัตเตอร์
-แชะ-
ฟิล์มเลื่อนออกมาช้าๆ ทุกคนมุงดูรูปก่อนจะเห็นว่ารูปนี้ติดแจนเพียงครึ่งหน้า
"เห้ย มาๆ เดี๋ยวพี่ถ่ายให้ คู่กะพี่แทคนะ"
แคทยื่นมือไปจะหยิบกล้อง พิมรีบออกตัว
"ไปๆ พวกเข้าไปถ่าย เดี๋ยวกูถ่ายให้นี่แหละ นี่มันทริปของพวกนะเว่ย"
พิมหยิบกล้องมาแล้วถ่ายรูปรวม 3 คน อีก 2 รูป ก่อนจะถ่ายรูปคู่ให้แจนกับแทคอีกที
"แจนขอเก็บรูปนี้กะรูปนี้นะ แล้วที่เหลือให้พี่แทคกะพี่แคทเอาไปด้วยเลยนะ จะได้คิดถึงพวกเราที่นี่"
แจนเลือกรูปคู่ตนเองกับแทคไป
แคทคว้ารูปรวมที่มีพิมเอามาไว้ในมือ นี่คงเป็นรูปความทรงจำที่นี่ ก่อนที่จะต้องไปเจออะไรก็ไม่รู้อีกตั้งปีนึง แคทเริ่มใจหายหันมากอดพิมแน่น
" ถ้ากู

ช่วยกูด้วยนะ"
แคทเริ่มกลั้นน้ำตา พิมรู้ใจเพื่อน
"เออ กูช่วยแน่ แล้วเดี๋ยวกูดูแลแม่ให้ จะแวะไปหาแม่บ่อยๆ"
สิ้นเสียงพิม แม่ของแคทก็พูดต่อว่า
"นั่นสิ นี่มางอแงอะไรตอนนี้ รีบเข้าไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปกันพอดี"
แม่ของแคทรีบเดินเข้ามากอดลูก เธอเองก็ใจหายไม่น้อยที่ลูกสาวคนเดียวจะต้องเดินทางไกลไปนาน
แต่เธอเข้มแข็งและรู้ว่าลูกสาวของเธอเอาตัวรอดได้เสมอ เวลานี้แคทก็ต้องการให้เธอดูแลตัวเองดีที่สุด
นั่นคงเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่เธอทำให้ลูกสาวได้ เธอจึงเดินเข้ามากอดลูกอีกครั้ง
"ไปถึงแล้วรีบไลน์บอกแม่นะ เรียบร้อยไหมยังไง ขาดตกบกพร่องตรงไหนก็บอกมานะ อย่าเก็บไว้คนเดียว แม่รักหนูนะ"
แคทรีบปาดน้ำตา พิมรีบเดินเข้ามา
"เห้ย ไปได้แล้ว เดี๋ยวตม. คนเยอะ"
แคทกอดแม่แน่นแล้วหันไปหาแทคที่กำลังร่ำลาครอบครัวตัวเองเช่นกัน แทคหันมาลากกระเป๋ามาหาแคทแล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปลับตา
2:
"เห้ย จะนั่งนอกหรือนั่งใน"
แคทถามแทคทั้งที่รู้ในใจว่าแทคชอบนั่งริมหน้าต่าง แต่เครื่องบินเที่ยวนี้เป็นเครื่องที่แต่ละฝั่งมี 3 ที่นั่ง
การนั่งข้างคนแปลกหน้าข้ามคืนก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่แคทอยากทำเหมือนกัน เธอจึงให้แทคตัดสินใจ
"แกอยากนั่งในใช่มะ เออ งั้นขากลับฉันค่อยนั่งในก็ได้"
แทคตอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
น่าแปลกที่ทั้งคู่ชอบเดินทางไปด้วยกัน แต่ก็มักจะเถียงกันเรื่องที่นั่งเสมอ
และแม้การเดินทางครั้งนี้จะเป็นเพียง one way ticket แต่ด้วยวีซ่าที่จำกัดระยะเวลา 1 ปี ทำให้เธอรู้ระยะเวลาของการเดินทางครั้งนี้คร่าวๆ
ยังไง .. ก็ต้องกลับมีตั๋วขากลับอยู่ดี
แต่จะเป็นเมื่อไหร่ และที่ไหน ยังเป็นประโยคปลายเปิดสำหรับเธอ
แคทขยับตัวเข้าไปนั่งด้านริมหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก ฝนโปรยปรายลงมา
ที่นี่กำลังเข้าสู่หน้าฝน ในขณะที่เมลเบิร์นกำลังเข้าสู่หน้าหนาว แคทนั่งมองสายฝนไหลผ่านกระจกเหมือนวิ่งแข่งกันมาอำลาเธอ
"เห้ย แกอย่าร้องไห้นะเว่ย ยังไม่เริ่มไปไหนกันเลย"
เสียงแทคลอยเข้ามากระทบหู เธอหันมามองหน้าแทค
"เออ ไม่ร้องหรอกน่า น้ำตาฉันมีค่าเอาไว้สำหรับผู้ชายเท่านั้น"
แคทชิงเล่นตัวเองก่อน
ตั้งแต่เกิดมาจนจะเข้า 30 แคทมันรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีดวงเรื่องความรักเท่าไร มักเจอปัญหาความรักไม่สมประกอบเสมอ
ไม่รักเขาข้างเดียว เขาก็มารักเธอข้างเดียว หรือบางทีก็วุ่นวายกับรักสามเส้าเสมอ เรื่องเดียวที่มักทำให้เธอเสียน้ำตาก็เป็นเรื่องนี้
ก่อนที่จะตัดสินใจมาครั้งนี้ เธอเองก็เพิ่งจะจัดการกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนจบไป
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผลักเธอให้เดินออกจากพื้นที่คุ้นเคยของเธอ
ช่างแตกต่างจากแทค ชายหนุ่มผู้อุดมสมบูรณ์ด้วยสาวๆ ไม่เคยขาด
แทคมักจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายที่รอคอยคนที่ใช่ ซึ่งเอาจริงๆ แคทก็ยังสงสัยว่ามันต่างอะไรกับคำว่า "ผู้ชายเจ้าชู้"
"ถ้าฉันยังไม่คบใครจริงจัง ฉันก็ยังสามารถคุยกะใครก็ได้ดิวะ และที่ยังไม่ตกลงก็เพราะยังไม่แน่ใจ แกจะให้ฉันรีบไปไหนวะ"
แทคเคยบอกแคทในวันที่เธอด่าเขาถึงอาการไม่ยอมลงเอยกับใครสักคน ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของแคทก็ตาม
พนักงานต้อนรับออกมาสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ แทคเริ่มหยิบหูฟังมาเสียบเตรียมรอฟังเพลง
แคทเองก็เริ่มขยับตัวเตรียมปรับเบาะนอน ช่วงเวลากว่าสิบชั่วโมงที่เธอต้องติดอยู่ในเบาะนี้ เธอต้องการเก็บแรงให้มากที่สุด
เพราะเมื่อถึงที่หมายเธอจะต้องเดินทางไปบ้านโฮสที่นัดหมายไว้ ซึ่งมันอยู่ส่วนไหนของเมลเบิร์นเธอก็ยังไม่รู้
มีเพียงที่อยู่ในมือถือที่คงจะพอนำทางให้เธอได้ เธอมองความมืดผ่านหน้าต่างเล็กๆ ก่อนจะหย่อนเปลือกตาลง แล้วค่อยๆ หลับไป
ในเวลาใกล้ตีสาม
แคทสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมา เพราะเสียงเพลงเวียดนามที่ดังมากจากที่นั่งข้างหน้าเธอ
ซึ่งเธอร็สึกว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเพลงนี้ นี่คงเป็นกิจกรรมรับน้องแรกอย่างแรกของการเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดสินะ
แคทหันไปเห็นแทคยังนอนหลับอยู่
.. คงเพราะใส่หูฟังคาหูไว้สินะ ..
แทคเป็นคนชอบฟังเพลง เรียกว่าเสพติดเพลงเลยก็ว่าได้ เวลาเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกัน แทคจะใส่หูฟังตลอดเวลา
จนหลายครั้งแคทก็สงสัยว่าไม่อึดอัดบ้างหรือไง
"ไม่อ่ะ ชินแล้ว ถ้าไม่ฟังดิมันจะอึดอัด"
แทคเคยบอกในทริปหนึ่งที่ไปด้วยกัน
"เออ แต่เปิดเพลงเบาๆ หน่อยได้มะ พอนอนใกล้แล้วฉันได้ยินเสียงวุ้งวิ้งๆ ตลอดเวลาเลย ฉันนอนไม่หลับ"
แคทบ่นขึ้นมา แล้วแทคก็เบาเสียงลงแบบเสียไม่ได้
ว่าแต่ การเดินทางครั้งนี้
แทคจะยังเปิดเพลงฟังทุกคืนก่อนนอนไหมนะ?
- หวังว่าแกคงจะเปิดเสียงเบาลงนะ เพราะฉันต้องนอนข้างแกอีก 1 ปีเลยเนี่ย! -
ติดตามตอนต่อไป
เธอ ฉัน เรา เขา และเหล่าจิงโจ้ 1 : นิยายจากเรื่อง (คล้ายจะ) จริงของหญิงไทย
แคทลากกระเป๋าวิ่งเข้ามาในสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากได้รับโทรศัพท์จากแทค ว่าให้รีบมาเช็คอินได้แล้ว!
เธอมักประสบปัญหาแบบนี้เสมอเวลาต้องเดินทางไกล คือมักจะจัดของทุกอย่างและเตรียมตัวนาทีสุดท้าย
นี่ยังดีที่ได้สายรัดกระเป๋าที่ฝากแฟนของเพื่อนร่วมทางอย่างแจนไปซื้อมาให้
การเดินทางครั้งนี้จัดว่าเป็นทริปที่ยาวนานเพราะเธอและแทค คู่หูเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
จนหลายคนคิดว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน และหลายคนก็พูดสบประมาทไว้ว่า
"เดี๋ยวยังไงก็ได้กันเอง"
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยกว่าเพื่อน
อาจเพราะทั้งคู่รู้จักกันดีมากเกินกว่าจะก้ามข้ามไปพื้นที่อื่นที่ตัวเองไม่คุ้นเคย
แต่ใครจะรู้..ในสถานที่ใหม่ บรรยากาศใหม่ที่ทั้งคู่กำลังจะต้องก้าวไป
อาจจะเกิดอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น
แคทวิ่งมารอหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน แจนรีบวิ่งมาพร้อมสายรัดกระเป๋า
"พี่แคท มานี่แจนช่วย เดี๋ยวรัดเรียบร้อยแล้ววิ่งไปหาพี่แทคเลย ฮีไปเข้าแถวรอแล้ว วันนี้เช็คอินช้ามากเลยพี่"
แจนสาวหมวย แฟนสาวของแทคเพื่อนร่วมทางของเธอพุ่งตัวเข้ามาจัดแจงช่วยรัดกระเป๋าให้แคท
แคทมองความคล่องแคล่วของแจน ไม่แปลกใจที่แจนเป็นสาว producer ดาวรุ่งที่หลายคนต่างอยากคว้าตัวไปทำงานด้วย
และนอกจากเรื่องงานแล้ว แจนก็ยังเป็นสาวฮอตที่ใครต่อใครต่างหมายปอง ด้วยความขาว หมวย ฉลาด เก่ง และร่าเริงของเธอ ทำให้ใครๆ ต่างก็อยากใกล้ชิด..รวมถึงเพื่อนชายของเธอ
แต่เธอก็เลือกแล้วที่จะอยู่กับแทค ไอ้เพื่อนบ้าที่กำลังต่อแถวรอแคทอยู่ตรงโน้น และเริ่มทำหน้านิ่งระดับ5
นั่นถือเป็นสัญญาณไม่ดีของแคทซึ่งเธอก็รู้ตัว เพราะเวลาแทคหงุดหงิดมาก จะเริ่มนิ่งอย่างที่กำลังเป็นตอนนี้
แคทรีบวิ่งไปอยู่ในคิวพร้อมกับแทค ท่ามกลางสายตาของคนอื่นที่ต่อแถวมา
แคทรู้สึกผิดที่ต้องแทรกแถวเข้ามาอยู่กับเพื่อน แต่เมื่อมองนาฬิกาที่ข้อมือ
เธอก็ให้เหตุผลแถในใจว่าเธอมีใบเช็คอินใบเดียวกับแทค ดังนั้นก็ต้องเข้ามาเช็คมันตอนนี้แหละ!
"เห้ย ไหนบอกจะรีบออกตั้งแต่ 6 โมง นัดกันที่นี่ทุ่มนึงไม่ใช่เหรอวะ"
แทคเริ่มเปิดบทสนทนา
"ก็ออกแล้ว แต่ลืมของนิดหน่อย เลยเก็บของเพิ่มอ่ะ นี่เราไปดันปีนึงนะเว่ย ไม่ใช่เที่ยว 4-5วัน"
แคทพยายามให้เหตุผลซึ่งเธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่วิธีการง้อแทคที่ดี แต่ก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
"นี่คือไม่กะจะเดินใน duty free แล้วใช่มะ เอาให้ชัวร์นะ"
แทคยังไม่เลิกเหน็บ
"เออ ชัวร์ เพราะหมดตัวแล้วโว้ย!"
แคทพูดจากใจจริง
เพราะเงินทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอ หมดไปกับการเดินทางครั้งนี้หมดแล้ว จริงๆ มันอาจจะไม่ถือว่าเป็นเงินก้อนโตสำหรับคนอื่น แต่ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน
รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ก่อนจะมาถึงวันนี้ รวมถึงค่าปิดบัตรเครดิตของเธอ ก็เรียกได้ว่าโบนัสที่ได้มาสำหรับปีล่าสุดของเธอหายไปกับสายลมแล้ว
ตอนแรกที่แคทคิดว่าจะมาออสเตรเลีย เธอคิดหนักมาก เพราะมันคือการไปใช้ชีวิตที่เธออยากลองไปดูสักครั้ง
และยิ่งพอได้รู้จักวีซ่า Working Holiday วีซ่าที่ทำให้เธอสามารถทำงานระหว่างที่ใช้ชีวิตเมืองนอกได้แล้ว ก็จัดว่าเป็นวีซ่าที่เหมาะกับเธอทีเดียว
"จริงๆ อยากเรียนต่อนะ แต่ไม่มีตังค์"
แคทเปิดประโยคกับแทคสำหรับการขายแพลนนี้ให้เพื่อนร่วมทางฟัง
"คือถ้าไปแล้วหาตังค์เก็บได้ก็ว่าจะเรียนต่อแหละ แต่ตอนนี้ไปลองดูก่อนว่าจะอยากอยู่เมืองนอกไหม"
แทคตักข้าวเข้าปากหน้านิ่งๆ
"เห้ย นี่ถ้าไม่ไปตอนนี้จะไปตอนไหนวะ"
แคทชักชวนแบบสุดๆ
แทคมองหน้าแคทแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า
"แล้วถ้าฉันไม่ไป แกจะไปกะใคร"
"แกไม่ไป ฉันก็ไปคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นจะยากเลย"
แคทบอกอย่างมั่นใจทั้งที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ว่ากว่าจะได้วีซ่านั้น มันต้องทำอะไรหลายอย่างมาก
ทั้งต้องผ่านการสอบ IELTS ต้องกดแย่งโควต้า ทั้งต้องยังไปสอบสัมภาษณ์อีก
สารพันขั้นตอนที่ผ่านมานั้น เธอจะผ่านมาได้ยังไง ถ้าไม่มีแทคคอยช่วยเธอ
วันนี้ก็เช่นกัน
แทคยกกระเป๋าของแคทชั่งน้ำหนัก ก่อนจะรับตั๋วแล้วเก็บใส่กระเป๋าตัวเองไปเงียบๆ
แทครู้ดีว่าแคทเป็นคนที่ซุ่มซ่ามและมักประสบปัญหาการทำของหายตลอด เมื่อมีของที่ต้องเก็บร่วมกันแทคจึงมักเป็นคนดูแลให้เสมอ
"เก็บตั๋วแล้วนะคะ จะกินอะไรก่อนขึ้นเครื่องหรือเปล่า?"
แจนเดินเข้ามาถามแทคอย่างเป็นห่วง ก่อนที่จะมีเสียงดังตะโกนมา
"นี่พวกจะทิ้งกูไปจริงๆ เหรอ อีดวกกก"
เสียงของพิมสาวเปรี้ยวเพื่อนสนิทของทั้งคู่วิ่งตามมา
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 3 จะห่างกันมากกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิต
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เหล่านักเดินทางทั้ง 3 ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
ไม่ว่าจะขึ้นเหนือหรือล่องใต้
คงมีครั้งนี้ที่ทั้งคู่จะไม่ได้ยินเสียงแจ๋นของพิมในการเดินทาง
" อีแป้งมาส่งไม่ได้นะ มันเลี้ยงลูกอยู่ ลูกมันป่วย แต่มันฝากบอกพวกให้สนใจกูด้วย ตอบกรุ๊ปไลน์บ้างอีห่า ตั้งแต่จะไปกันนี่ก็ไม่มีเวลาให้พวกกูเลย"
พิมจิกกัดเบาๆ ตามสไตล์
"โอ้ยยย แค่จัดการชีวิตก็แย่แล้ว นี่นึกว่าจะไม่มาส่งแล้วนะเนี่ย กูต้องคิดถึงแน่เลย"
แคทกอดเพื่อนน้ำตาคลออย่างประหลาดใจและอดใจหายไม่ได้
"เออ ไปละก็ไม่ใช่ไปได้กันที่นู่นละ แจนระวังนะอีแคทนี่มันตัวดีเลย"
พิมเสี้ยมขำๆ ก่อนออกเดินทาง
"ก็ถ้าคนที่ไปด้วยไม่ใช่พี่แคท แจนไม่ให้ไปหรอกค่ะ แต่แจนรู้จักพี่แคทดี"
แจนซบไหล่แทคอมยิ้ม ก่อนจะหันมาทางแคท
"ว่าแล้วก็ฝากพี่แทคด้วยนะคะพี่แคท อย่าให้ไปนอกลู่นอกทางที่ไหน เจออะไรไม่ชอบมาพากลรีบบอกแจนเลยนะคะ"
แจนพูดยิ้มๆ ทิ้งท้ายก่อนจะหยิบกล้องโพลารอยด์ตัวเก่งของเธอออกมา
"เรามาถ่ายรูปกันเถอะค่ะ มาๆ พี่พิม พี่แคท พี่แทคเข้ามาใกล้ๆ"
แจนอาสาเป็นคนลั่นชัตเตอร์
-แชะ-
ฟิล์มเลื่อนออกมาช้าๆ ทุกคนมุงดูรูปก่อนจะเห็นว่ารูปนี้ติดแจนเพียงครึ่งหน้า
"เห้ย มาๆ เดี๋ยวพี่ถ่ายให้ คู่กะพี่แทคนะ"
แคทยื่นมือไปจะหยิบกล้อง พิมรีบออกตัว
"ไปๆ พวกเข้าไปถ่าย เดี๋ยวกูถ่ายให้นี่แหละ นี่มันทริปของพวกนะเว่ย"
พิมหยิบกล้องมาแล้วถ่ายรูปรวม 3 คน อีก 2 รูป ก่อนจะถ่ายรูปคู่ให้แจนกับแทคอีกที
"แจนขอเก็บรูปนี้กะรูปนี้นะ แล้วที่เหลือให้พี่แทคกะพี่แคทเอาไปด้วยเลยนะ จะได้คิดถึงพวกเราที่นี่"
แจนเลือกรูปคู่ตนเองกับแทคไป
แคทคว้ารูปรวมที่มีพิมเอามาไว้ในมือ นี่คงเป็นรูปความทรงจำที่นี่ ก่อนที่จะต้องไปเจออะไรก็ไม่รู้อีกตั้งปีนึง แคทเริ่มใจหายหันมากอดพิมแน่น
" ถ้ากู
แคทเริ่มกลั้นน้ำตา พิมรู้ใจเพื่อน
"เออ กูช่วยแน่ แล้วเดี๋ยวกูดูแลแม่ให้ จะแวะไปหาแม่บ่อยๆ"
สิ้นเสียงพิม แม่ของแคทก็พูดต่อว่า
"นั่นสิ นี่มางอแงอะไรตอนนี้ รีบเข้าไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปกันพอดี"
แม่ของแคทรีบเดินเข้ามากอดลูก เธอเองก็ใจหายไม่น้อยที่ลูกสาวคนเดียวจะต้องเดินทางไกลไปนาน
แต่เธอเข้มแข็งและรู้ว่าลูกสาวของเธอเอาตัวรอดได้เสมอ เวลานี้แคทก็ต้องการให้เธอดูแลตัวเองดีที่สุด
นั่นคงเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่เธอทำให้ลูกสาวได้ เธอจึงเดินเข้ามากอดลูกอีกครั้ง
"ไปถึงแล้วรีบไลน์บอกแม่นะ เรียบร้อยไหมยังไง ขาดตกบกพร่องตรงไหนก็บอกมานะ อย่าเก็บไว้คนเดียว แม่รักหนูนะ"
แคทรีบปาดน้ำตา พิมรีบเดินเข้ามา
"เห้ย ไปได้แล้ว เดี๋ยวตม. คนเยอะ"
แคทกอดแม่แน่นแล้วหันไปหาแทคที่กำลังร่ำลาครอบครัวตัวเองเช่นกัน แทคหันมาลากกระเป๋ามาหาแคทแล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปลับตา
2:
"เห้ย จะนั่งนอกหรือนั่งใน"
แคทถามแทคทั้งที่รู้ในใจว่าแทคชอบนั่งริมหน้าต่าง แต่เครื่องบินเที่ยวนี้เป็นเครื่องที่แต่ละฝั่งมี 3 ที่นั่ง
การนั่งข้างคนแปลกหน้าข้ามคืนก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่แคทอยากทำเหมือนกัน เธอจึงให้แทคตัดสินใจ
"แกอยากนั่งในใช่มะ เออ งั้นขากลับฉันค่อยนั่งในก็ได้"
แทคตอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
น่าแปลกที่ทั้งคู่ชอบเดินทางไปด้วยกัน แต่ก็มักจะเถียงกันเรื่องที่นั่งเสมอ
และแม้การเดินทางครั้งนี้จะเป็นเพียง one way ticket แต่ด้วยวีซ่าที่จำกัดระยะเวลา 1 ปี ทำให้เธอรู้ระยะเวลาของการเดินทางครั้งนี้คร่าวๆ
ยังไง .. ก็ต้องกลับมีตั๋วขากลับอยู่ดี
แต่จะเป็นเมื่อไหร่ และที่ไหน ยังเป็นประโยคปลายเปิดสำหรับเธอ
แคทขยับตัวเข้าไปนั่งด้านริมหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก ฝนโปรยปรายลงมา
ที่นี่กำลังเข้าสู่หน้าฝน ในขณะที่เมลเบิร์นกำลังเข้าสู่หน้าหนาว แคทนั่งมองสายฝนไหลผ่านกระจกเหมือนวิ่งแข่งกันมาอำลาเธอ
"เห้ย แกอย่าร้องไห้นะเว่ย ยังไม่เริ่มไปไหนกันเลย"
เสียงแทคลอยเข้ามากระทบหู เธอหันมามองหน้าแทค
"เออ ไม่ร้องหรอกน่า น้ำตาฉันมีค่าเอาไว้สำหรับผู้ชายเท่านั้น"
แคทชิงเล่นตัวเองก่อน
ตั้งแต่เกิดมาจนจะเข้า 30 แคทมันรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีดวงเรื่องความรักเท่าไร มักเจอปัญหาความรักไม่สมประกอบเสมอ
ไม่รักเขาข้างเดียว เขาก็มารักเธอข้างเดียว หรือบางทีก็วุ่นวายกับรักสามเส้าเสมอ เรื่องเดียวที่มักทำให้เธอเสียน้ำตาก็เป็นเรื่องนี้
ก่อนที่จะตัดสินใจมาครั้งนี้ เธอเองก็เพิ่งจะจัดการกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนจบไป
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผลักเธอให้เดินออกจากพื้นที่คุ้นเคยของเธอ
ช่างแตกต่างจากแทค ชายหนุ่มผู้อุดมสมบูรณ์ด้วยสาวๆ ไม่เคยขาด
แทคมักจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายที่รอคอยคนที่ใช่ ซึ่งเอาจริงๆ แคทก็ยังสงสัยว่ามันต่างอะไรกับคำว่า "ผู้ชายเจ้าชู้"
"ถ้าฉันยังไม่คบใครจริงจัง ฉันก็ยังสามารถคุยกะใครก็ได้ดิวะ และที่ยังไม่ตกลงก็เพราะยังไม่แน่ใจ แกจะให้ฉันรีบไปไหนวะ"
แทคเคยบอกแคทในวันที่เธอด่าเขาถึงอาการไม่ยอมลงเอยกับใครสักคน ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของแคทก็ตาม
พนักงานต้อนรับออกมาสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ แทคเริ่มหยิบหูฟังมาเสียบเตรียมรอฟังเพลง
แคทเองก็เริ่มขยับตัวเตรียมปรับเบาะนอน ช่วงเวลากว่าสิบชั่วโมงที่เธอต้องติดอยู่ในเบาะนี้ เธอต้องการเก็บแรงให้มากที่สุด
เพราะเมื่อถึงที่หมายเธอจะต้องเดินทางไปบ้านโฮสที่นัดหมายไว้ ซึ่งมันอยู่ส่วนไหนของเมลเบิร์นเธอก็ยังไม่รู้
มีเพียงที่อยู่ในมือถือที่คงจะพอนำทางให้เธอได้ เธอมองความมืดผ่านหน้าต่างเล็กๆ ก่อนจะหย่อนเปลือกตาลง แล้วค่อยๆ หลับไป
ในเวลาใกล้ตีสาม
แคทสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมา เพราะเสียงเพลงเวียดนามที่ดังมากจากที่นั่งข้างหน้าเธอ
ซึ่งเธอร็สึกว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเพลงนี้ นี่คงเป็นกิจกรรมรับน้องแรกอย่างแรกของการเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดสินะ
แคทหันไปเห็นแทคยังนอนหลับอยู่
.. คงเพราะใส่หูฟังคาหูไว้สินะ ..
แทคเป็นคนชอบฟังเพลง เรียกว่าเสพติดเพลงเลยก็ว่าได้ เวลาเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกัน แทคจะใส่หูฟังตลอดเวลา
จนหลายครั้งแคทก็สงสัยว่าไม่อึดอัดบ้างหรือไง
"ไม่อ่ะ ชินแล้ว ถ้าไม่ฟังดิมันจะอึดอัด"
แทคเคยบอกในทริปหนึ่งที่ไปด้วยกัน
"เออ แต่เปิดเพลงเบาๆ หน่อยได้มะ พอนอนใกล้แล้วฉันได้ยินเสียงวุ้งวิ้งๆ ตลอดเวลาเลย ฉันนอนไม่หลับ"
แคทบ่นขึ้นมา แล้วแทคก็เบาเสียงลงแบบเสียไม่ได้
ว่าแต่ การเดินทางครั้งนี้
แทคจะยังเปิดเพลงฟังทุกคืนก่อนนอนไหมนะ?
- หวังว่าแกคงจะเปิดเสียงเบาลงนะ เพราะฉันต้องนอนข้างแกอีก 1 ปีเลยเนี่ย! -
ติดตามตอนต่อไป