โอกาสที่รัฐบาลจะหวังพึ่งการเติบโตจากภายใน ทดแทนการส่งออกที่ยังย่ำแย่ต่อเนื่อง โดยชูธง "การลงทุนภาครัฐ" เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศดูเลือนรางลงเรื่อย ๆ เพราะแม้ทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะพยายามผลักดันให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเครื่องยนต์หลักให้เดินหน้า แต่หลายโครงการยังติดขัดล่าช้า ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็ยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
นอกจากออกแรงกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนรอบใหม่ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ปี 2559 ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้แล้ว ปลายเดือน พ.ค. 2559 ที่ผ่านมา รองนายกฯสมคิดยังได้เรียกรัฐวิสาหกิจเข้าหารือด่วน พร้อมไล่เบี้ยการเบิกจ่ายงบฯลงทุน ซึ่งนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังระบุว่า รองนายกฯได้มอบนโยบายและกำชับเป็นพิเศษให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบฯให้ได้ถึง 97% ในปีนี้ ทั้งยังให้ติดตามความคืบหน้าเป็นรายไตรมาส
ขณะเดียวกัน นายสมคิดมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ดูแลการลงทุนที่เป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ซึ่งจะเริ่มเปิดประมูลเดือน มิ.ย. 2559 นี้ 3 โครงการ โดยให้เร่งเตรียมเอกสารให้พร้อมตั้งแต่ต้นเดือน ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง, สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี
ทั้งยังกระตุ้นให้ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ท่าอากาศยานไทย เร่งจัดทำแผนการลงทุนพัฒนาสนามบินทั้ง 6 แห่งที่อยู่ในการดูแล เพื่อให้สามารถประกาศนโยบายลงทุนอย่างชัดเจนภายในปี 2559
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลักดันสร้างบรรยากาศการลงทุนของภาครัฐ เพื่อให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจจะได้ตัดสินใจลงทุนตาม
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นโดยง่าย เพราะแม้แต่โครงการที่ถูกกำหนดไว้ใน "แผนบริหารหนี้สาธารณะ" ชัดเจนหลายโครงการยังม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน ทำให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ที่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เป็นประธาน ต้องเสนอ ครม.ปรับลดวงเงิน "ก่อหนี้ใหม่" เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2559 ที่ผ่านมา
ลดก่อหนี้ใหม่ 5.7 หมื่นล้าน เหตุลงทุนอืด
โดย ครม.ได้อนุมัติปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบฯ 2559 ครั้งที่ 2 โดยปรับลดวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 68,108.30 ล้านบาท จากกรอบเดิม 1,741,422.25 ล้านบาท เหลือ 1,673,313.95 ล้านบาท ซึ่งรายการที่สำคัญคือ วงเงิน "ก่อหนี้ใหม่" ลดลงถึง 57,833 ล้านบาท จากเดิม 612,958.45 ล้านบาท เหลือ 555,125.45 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการปรับลดวงเงินบริหารหนี้เดิม
ทั้งนี้ เหตุผลความจำเป็นในการปรับลดวงเงิน "ก่อหนี้ใหม่" ว่า มากกว่า 50% มาจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ล่าช้า ทำให้หน่วยงานต้องปรับแผนการกู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายเงินจริง เพราะไม่สามารถดำเนินการกู้เงินได้ตามแผนเดิม
ชี้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเริ่มกระเตื้อง
แม้นายกฤษฎาจีนะวิจารณะผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)จะมองว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เป็นโครงการระยะยาว เริ่มทยอยเดินหน้าได้แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ รัฐบาลเน้นมาตรการระยะสั้นไป สศค.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2559 จะเติบโตได้ 3.3% หลังไตรมาสแรกขยายตัว 3.2% สอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเกิน 3% เช่นเดียวกัน
"มาตรการระยะสั้น ระยะปานกลาง เราทำมาแล้ว พวกตำบลละ 5 ล้านบาท หมู่บ้านละ 5 แสนบาท หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.7 ล้านล้านบาท ขณะนี้ ครม.อนุมัติไปแล้ว 4 แสนล้านบาท เริ่มเบิกจ่ายแล้ว 6,000-7,000 ล้านบาท ส่วนรถไฟฟ้าวงเงิน 3 แสนล้านบาท ก็ลงนามและเริ่มก่อสร้างแล้ว โครงการเหล่านี้ก็จะทยอยเกิดขึ้นเรื่อย ๆ" นายกฤษฎากล่าว
คาด Q2-Q4 เบิกจ่ายลงทุนกว่าแสนล้าน
ทั้งนี้ สศค.ได้คาดการณ์การเบิกจ่ายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ในช่วงไตรมาส 2-4 ของปีนี้ ได้แก่ 1) โครงการลงทุนขนาดใหญ่ ปี 2559 (Action Plan) วงเงินรวม 1,796,358.7 ล้านบาท จะเบิกจ่ายในไตรมาส 2 ได้ 3,700 ล้านบาท เบิกจ่ายในไตรมาส 3 อีก 14,600 ล้านบาท ไตรมาส 4 เบิกจ่ายอีกราว 32,000 ล้านบาท รวมเบิกจ่ายช่วงไตรมาส 2-4 ราว 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการต่อเนื่อง (On-going) ปี 2558-2559 ที่จะเบิกจ่ายช่วงไตรมาส 2-4 รวมแล้วกว่า 34,600 ล้านบาท โครงการตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ปี 2558-2561 จะเบิกจ่ายไตรมาส 2-4 กว่า 11,400 ล้านบาท และโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท จะเบิกจ่ายไตรมาส 2-4 อีกกว่า 2,100 ล้านบาท
"สมคิด" จี้หน่วยงานรัฐ-รัฐวิสาหกิจรายวัน
ล่าสุด แม่ทัพด้านเศรษฐกิจเดินสายเร่งรัดกระบวนการทำงานของหน่วยงานราชการกับรัฐวิสาหกิจใกล้ชิด โดยรองนายกฯสมคิดกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเร่งการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ผ่านการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการลงทุน และสอบถามความคืบหน้าการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ขับเคลื่อนโดยเร็วที่สุด
"โจทย์หลักขณะนี้ที่ให้การบ้านกระทรวงต่าง ๆ ไปแล้ว เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้คิดกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไทยเป็นฤดูการท่องเที่ยวทั้งปี ไม่มีแบ่งเป็นไฮซีซั่น โลว์ซีซั่น ส่วนการลงทุนได้หารือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อเร่งโครงการต่าง ๆ เต็มที่ และได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่มีเม็ดเงินมหาศาลให้เร่งลงทุน จึงได้เห็นการเบิกจ่ายของภาครัฐในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แปลว่ารัฐบาลมาถูกทางแล้ว"
แอ่งลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ 2.5 ล้านล้าน
พร้อมระบุว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้คือ โครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง ซึ่งพร้อมจะเปิดประมูลได้ โดยวันที่ 10 มิ.ย. ได้หารือกับกระทรวงคมนาคม ดูความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนจริง เช่นเดียวกับการเร่งรัดให้บริษัทขนาดใหญ่ เช่น บมจ.ปตท.ที่มีงบฯลงทุนกว่า 3 แสนล้านบาท และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีงบฯลงทุนจำนวนมากเข้ามาช่วยเร่งการลงทุนด้วย
เพื่อให้ระยะถัดจากนี้จะได้เห็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ไทยไม่ได้ทำมานานไม่ว่าจะเป็นถนนรถไฟสนามบินรถไฟฟ้า พลังงาน จะมีงบฯลงทุนราว 2.5 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงงบฯลงทุนของกระทรวงคมนาคม หรือแม้แต่การลงทุนด้านดิจิทัลมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท การลงทุนด้านไอซีที สื่อสาร ที่ปีนี้มีการลงทุนไปแล้วกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากนี้ไปจะค่อย ๆ เห็นโครงการเหล่านี้ขับเคลื่อน เช่นเดียวกันกับโครงการท่าเรือกรุงเทพ แหลมฉบัง ท่าเรืออู่ตะเภา รถไฟฟ้าความเร็วสูง
ทั้งหมดนี้เปรียบเป็นแอ่งการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวมหลายล้านล้านบาท
JJNY : ลงทุน "รัฐ" ไม่มาตามนัด คลังปรับแผน "ลดก่อหนี้" รอบสอง
นอกจากออกแรงกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนรอบใหม่ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ปี 2559 ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้แล้ว ปลายเดือน พ.ค. 2559 ที่ผ่านมา รองนายกฯสมคิดยังได้เรียกรัฐวิสาหกิจเข้าหารือด่วน พร้อมไล่เบี้ยการเบิกจ่ายงบฯลงทุน ซึ่งนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังระบุว่า รองนายกฯได้มอบนโยบายและกำชับเป็นพิเศษให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบฯให้ได้ถึง 97% ในปีนี้ ทั้งยังให้ติดตามความคืบหน้าเป็นรายไตรมาส
ขณะเดียวกัน นายสมคิดมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ดูแลการลงทุนที่เป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ซึ่งจะเริ่มเปิดประมูลเดือน มิ.ย. 2559 นี้ 3 โครงการ โดยให้เร่งเตรียมเอกสารให้พร้อมตั้งแต่ต้นเดือน ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง, สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี
ทั้งยังกระตุ้นให้ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ท่าอากาศยานไทย เร่งจัดทำแผนการลงทุนพัฒนาสนามบินทั้ง 6 แห่งที่อยู่ในการดูแล เพื่อให้สามารถประกาศนโยบายลงทุนอย่างชัดเจนภายในปี 2559
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลักดันสร้างบรรยากาศการลงทุนของภาครัฐ เพื่อให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจจะได้ตัดสินใจลงทุนตาม
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นโดยง่าย เพราะแม้แต่โครงการที่ถูกกำหนดไว้ใน "แผนบริหารหนี้สาธารณะ" ชัดเจนหลายโครงการยังม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน ทำให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ที่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เป็นประธาน ต้องเสนอ ครม.ปรับลดวงเงิน "ก่อหนี้ใหม่" เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2559 ที่ผ่านมา
ลดก่อหนี้ใหม่ 5.7 หมื่นล้าน เหตุลงทุนอืด
โดย ครม.ได้อนุมัติปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบฯ 2559 ครั้งที่ 2 โดยปรับลดวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 68,108.30 ล้านบาท จากกรอบเดิม 1,741,422.25 ล้านบาท เหลือ 1,673,313.95 ล้านบาท ซึ่งรายการที่สำคัญคือ วงเงิน "ก่อหนี้ใหม่" ลดลงถึง 57,833 ล้านบาท จากเดิม 612,958.45 ล้านบาท เหลือ 555,125.45 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการปรับลดวงเงินบริหารหนี้เดิม
ทั้งนี้ เหตุผลความจำเป็นในการปรับลดวงเงิน "ก่อหนี้ใหม่" ว่า มากกว่า 50% มาจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ล่าช้า ทำให้หน่วยงานต้องปรับแผนการกู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายเงินจริง เพราะไม่สามารถดำเนินการกู้เงินได้ตามแผนเดิม
ชี้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเริ่มกระเตื้อง
แม้นายกฤษฎาจีนะวิจารณะผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)จะมองว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เป็นโครงการระยะยาว เริ่มทยอยเดินหน้าได้แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ รัฐบาลเน้นมาตรการระยะสั้นไป สศค.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2559 จะเติบโตได้ 3.3% หลังไตรมาสแรกขยายตัว 3.2% สอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเกิน 3% เช่นเดียวกัน
"มาตรการระยะสั้น ระยะปานกลาง เราทำมาแล้ว พวกตำบลละ 5 ล้านบาท หมู่บ้านละ 5 แสนบาท หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.7 ล้านล้านบาท ขณะนี้ ครม.อนุมัติไปแล้ว 4 แสนล้านบาท เริ่มเบิกจ่ายแล้ว 6,000-7,000 ล้านบาท ส่วนรถไฟฟ้าวงเงิน 3 แสนล้านบาท ก็ลงนามและเริ่มก่อสร้างแล้ว โครงการเหล่านี้ก็จะทยอยเกิดขึ้นเรื่อย ๆ" นายกฤษฎากล่าว
คาด Q2-Q4 เบิกจ่ายลงทุนกว่าแสนล้าน
ทั้งนี้ สศค.ได้คาดการณ์การเบิกจ่ายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ในช่วงไตรมาส 2-4 ของปีนี้ ได้แก่ 1) โครงการลงทุนขนาดใหญ่ ปี 2559 (Action Plan) วงเงินรวม 1,796,358.7 ล้านบาท จะเบิกจ่ายในไตรมาส 2 ได้ 3,700 ล้านบาท เบิกจ่ายในไตรมาส 3 อีก 14,600 ล้านบาท ไตรมาส 4 เบิกจ่ายอีกราว 32,000 ล้านบาท รวมเบิกจ่ายช่วงไตรมาส 2-4 ราว 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการต่อเนื่อง (On-going) ปี 2558-2559 ที่จะเบิกจ่ายช่วงไตรมาส 2-4 รวมแล้วกว่า 34,600 ล้านบาท โครงการตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ปี 2558-2561 จะเบิกจ่ายไตรมาส 2-4 กว่า 11,400 ล้านบาท และโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท จะเบิกจ่ายไตรมาส 2-4 อีกกว่า 2,100 ล้านบาท
"สมคิด" จี้หน่วยงานรัฐ-รัฐวิสาหกิจรายวัน
ล่าสุด แม่ทัพด้านเศรษฐกิจเดินสายเร่งรัดกระบวนการทำงานของหน่วยงานราชการกับรัฐวิสาหกิจใกล้ชิด โดยรองนายกฯสมคิดกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเร่งการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ผ่านการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการลงทุน และสอบถามความคืบหน้าการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ขับเคลื่อนโดยเร็วที่สุด
"โจทย์หลักขณะนี้ที่ให้การบ้านกระทรวงต่าง ๆ ไปแล้ว เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้คิดกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไทยเป็นฤดูการท่องเที่ยวทั้งปี ไม่มีแบ่งเป็นไฮซีซั่น โลว์ซีซั่น ส่วนการลงทุนได้หารือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อเร่งโครงการต่าง ๆ เต็มที่ และได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่มีเม็ดเงินมหาศาลให้เร่งลงทุน จึงได้เห็นการเบิกจ่ายของภาครัฐในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แปลว่ารัฐบาลมาถูกทางแล้ว"
แอ่งลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ 2.5 ล้านล้าน
พร้อมระบุว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้คือ โครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง ซึ่งพร้อมจะเปิดประมูลได้ โดยวันที่ 10 มิ.ย. ได้หารือกับกระทรวงคมนาคม ดูความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนจริง เช่นเดียวกับการเร่งรัดให้บริษัทขนาดใหญ่ เช่น บมจ.ปตท.ที่มีงบฯลงทุนกว่า 3 แสนล้านบาท และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีงบฯลงทุนจำนวนมากเข้ามาช่วยเร่งการลงทุนด้วย
เพื่อให้ระยะถัดจากนี้จะได้เห็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ไทยไม่ได้ทำมานานไม่ว่าจะเป็นถนนรถไฟสนามบินรถไฟฟ้า พลังงาน จะมีงบฯลงทุนราว 2.5 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงงบฯลงทุนของกระทรวงคมนาคม หรือแม้แต่การลงทุนด้านดิจิทัลมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท การลงทุนด้านไอซีที สื่อสาร ที่ปีนี้มีการลงทุนไปแล้วกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากนี้ไปจะค่อย ๆ เห็นโครงการเหล่านี้ขับเคลื่อน เช่นเดียวกันกับโครงการท่าเรือกรุงเทพ แหลมฉบัง ท่าเรืออู่ตะเภา รถไฟฟ้าความเร็วสูง
ทั้งหมดนี้เปรียบเป็นแอ่งการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวมหลายล้านล้านบาท