.
มาอีกแล้วล่ะครับ แนวความคิดของคนดีศรีรัฐบวม..
เศรษฐกิจไม่ดีรัฐบวมไม่มีตังค์ใช้ ก็ต้องไปไล่เอากับการขึ้นภาษี อันนี้พอเข้าใจ
แต่การเลือกปฏิบัตินี่ซิครับมันรับไม่ได้จริงๆ
มีอย่างที่ไหน คนใช้บัตรเครดิต เสียภาษีแวตน้อยกว่าคนใช้เงินสด..
คิดแบบนี้ คิดได้ไง คิดเพื่อประโยชน์ของพวกตัวเองนี่หว่า..ทุกวันนี้ยังเอาเปรียบกันไม่พอรึงัย..!
........................................................................................................................
" คิดได้ยังไง "
ไม่มีภาษีใดที่สร้างรายได้ให้รัฐบาลหวาน คอแร้งเท่าภาษีมูลค่าเพิ่มแน่นอน เพราะภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ “ภาษีแวต” เก็บจากการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการจากประประชาชนทุกคนโดยตรง
หลบไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ ต้องจ่ายทุกบาททุกสตางค์
เช่น “แม่ลูกจันทร์” จ่ายเงินเติมน้ำมันรถยนต์ 800 บาท เป็นค่าน้ำมันแท้ๆ 748 บาท บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ อีก 52 บาท
รัฐบาลสะง่อมไปแล้ว 52 บาททันที รัฐบาลจึงมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นกอบเป็นกำกว่าสี่แสนล้านบาทต่อปี สบายแฮ
รัฐบาลของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขยับๆจะเพิ่มแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 10 เปอร์เซ็นต์เต็มเพดานมาแล้ว 2 ปี
แต่จังหวะยังไม่เหมาะ เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อจากประชาชนแผ่ว ปลาย การค้าขายฝืดเคือง ฯลฯ
ล่าสุด รัฐบาลจึงต้องยืดภาษีแวต 7 เปอร์เซ็นต์ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน จากนั้นจะปรับเพิ่มภาษีแวตอีก 2 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าการเพิ่มภาษีแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นเหนาะๆอีก 1.4 แสนล้านบาทต่อปี
มีเงินไหลเข้าคลังให้รัฐบาลใช้จ่ายได้อีกก้อนโต แต่จะขึ้น? หรือไม่ขึ้น?
ยังต้องรอประเมินสภาวะเศรษฐกิจช่วง 3 เดือนจากนี้ไป
ถ้าโชคดีเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน การขึ้นภาษีแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ ก็เดินหน้าสะดวกโยธิน
แต่ถ้าเศรษฐกิจยังสะลึมสะลือ การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 9 เปอร์เซ็นต์อาจ “แรง” เกินไป
รัฐบาลอาจตัดสินใจเพิ่มแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 8 เปอร์เซ็นต์
“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่นเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มมาซะยืดยาว เพื่อคัดค้านแนวคิดใหม่แกะกล่องของ “นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง” ที่จะเสนอรัฐบาลใช้ภาษีแวตจูงใจคนไทยให้เปลี่ยนจากการใช้เงินสดซื้อสินค้า เป็นการจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
คือใครยังใช้เงินสดซื้อสินค้า จะโดนโขกภาษีมูลค่าเพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใช้บัตรเครดิต หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซื้อสิ้นค้า ยังจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม “แม่ลูกจันทร์” ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอปลัดกระทรวงการคลัง ด้วยเหตุผล 5 ประการดังนี้ คือ
1, อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเก็บจากคนไทยทุกคนควรมีอัตราเดียว ไม่ควรแยกเป็น 2 อัตราให้สับสนวุ่นวาย
2, การส่งเสริมให้คนไทยใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตจะทำให้คนไทยใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย รูดปื๊ดๆๆ เป็นหนี้เป็นสินยิ่งกว่าเดิม
3, การใช้เงินสดซื้อสินค้าทำให้เห็นคุณค่าของเงิน ช่วยกระตุ้นจิตสำนึกคนไทยไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
4, คนแก่คนเฒ่าชาวไร่ชาวนาไม่มีบัตรเครดิต ไม่คุ้นเคยกับการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เหมือนคนในเมือง
5,การบังคับให้คนที่ใช้เงินสดซื้อสินค้าต้องจ่ายภาษีแวตสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นการเลือกปฏิบัติทำให้คนยาก คนจนต้องซื้อสินค้าแพงกว่าคนรวย
ปัดโธ่...แค่คิดเฉยๆก็ผิดแล้วคุณ.
http://www.thairath.co.th/content/638687
..............................................................................................
ก็คิดกันแบบนี้ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถึงแก้ไม่ได้สักที
คนรวย คนมีกินหรือพอจะมีอันจะกินก็สบายตัวเพราะได้อภิสิทธิ์เหนือคนจน
ส่วนธนาคารรวยอยู่แล้ว เขาก็รวยเอา รวยเอา..ได้ค่าต๋งบาน..
ส่วนภาระก็ตกไปอยู่กับคนจน ก็ต้องทนจนกันต่อไป ต่อให้อีก 20 ปีก็ไม่มีวันฟื้น..
แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคืนความสุขให้ประชาชนได้อย่างไรครับทั่น..เจ้านาย..?
ขอแสดงความสลดหดหู่อย่างสูง
นกเค้าแมวสีคราม
.
เรื่องดีๆไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็นหรือคิดได้แค่นี้..คิดได้ไง by แม่ลูกจันทร์
มาอีกแล้วล่ะครับ แนวความคิดของคนดีศรีรัฐบวม..
เศรษฐกิจไม่ดีรัฐบวมไม่มีตังค์ใช้ ก็ต้องไปไล่เอากับการขึ้นภาษี อันนี้พอเข้าใจ
แต่การเลือกปฏิบัตินี่ซิครับมันรับไม่ได้จริงๆ
มีอย่างที่ไหน คนใช้บัตรเครดิต เสียภาษีแวตน้อยกว่าคนใช้เงินสด..
คิดแบบนี้ คิดได้ไง คิดเพื่อประโยชน์ของพวกตัวเองนี่หว่า..ทุกวันนี้ยังเอาเปรียบกันไม่พอรึงัย..!
........................................................................................................................
" คิดได้ยังไง "
ไม่มีภาษีใดที่สร้างรายได้ให้รัฐบาลหวาน คอแร้งเท่าภาษีมูลค่าเพิ่มแน่นอน เพราะภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ “ภาษีแวต” เก็บจากการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการจากประประชาชนทุกคนโดยตรง
หลบไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ ต้องจ่ายทุกบาททุกสตางค์
เช่น “แม่ลูกจันทร์” จ่ายเงินเติมน้ำมันรถยนต์ 800 บาท เป็นค่าน้ำมันแท้ๆ 748 บาท บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ อีก 52 บาท
รัฐบาลสะง่อมไปแล้ว 52 บาททันที รัฐบาลจึงมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นกอบเป็นกำกว่าสี่แสนล้านบาทต่อปี สบายแฮ
รัฐบาลของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขยับๆจะเพิ่มแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 10 เปอร์เซ็นต์เต็มเพดานมาแล้ว 2 ปี
แต่จังหวะยังไม่เหมาะ เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อจากประชาชนแผ่ว ปลาย การค้าขายฝืดเคือง ฯลฯ
ล่าสุด รัฐบาลจึงต้องยืดภาษีแวต 7 เปอร์เซ็นต์ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน จากนั้นจะปรับเพิ่มภาษีแวตอีก 2 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าการเพิ่มภาษีแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นเหนาะๆอีก 1.4 แสนล้านบาทต่อปี
มีเงินไหลเข้าคลังให้รัฐบาลใช้จ่ายได้อีกก้อนโต แต่จะขึ้น? หรือไม่ขึ้น?
ยังต้องรอประเมินสภาวะเศรษฐกิจช่วง 3 เดือนจากนี้ไป
ถ้าโชคดีเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน การขึ้นภาษีแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ ก็เดินหน้าสะดวกโยธิน
แต่ถ้าเศรษฐกิจยังสะลึมสะลือ การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 9 เปอร์เซ็นต์อาจ “แรง” เกินไป
รัฐบาลอาจตัดสินใจเพิ่มแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 8 เปอร์เซ็นต์
“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่นเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มมาซะยืดยาว เพื่อคัดค้านแนวคิดใหม่แกะกล่องของ “นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง” ที่จะเสนอรัฐบาลใช้ภาษีแวตจูงใจคนไทยให้เปลี่ยนจากการใช้เงินสดซื้อสินค้า เป็นการจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
คือใครยังใช้เงินสดซื้อสินค้า จะโดนโขกภาษีมูลค่าเพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใช้บัตรเครดิต หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซื้อสิ้นค้า ยังจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม “แม่ลูกจันทร์” ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอปลัดกระทรวงการคลัง ด้วยเหตุผล 5 ประการดังนี้ คือ
1, อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเก็บจากคนไทยทุกคนควรมีอัตราเดียว ไม่ควรแยกเป็น 2 อัตราให้สับสนวุ่นวาย
2, การส่งเสริมให้คนไทยใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตจะทำให้คนไทยใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย รูดปื๊ดๆๆ เป็นหนี้เป็นสินยิ่งกว่าเดิม
3, การใช้เงินสดซื้อสินค้าทำให้เห็นคุณค่าของเงิน ช่วยกระตุ้นจิตสำนึกคนไทยไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
4, คนแก่คนเฒ่าชาวไร่ชาวนาไม่มีบัตรเครดิต ไม่คุ้นเคยกับการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เหมือนคนในเมือง
5,การบังคับให้คนที่ใช้เงินสดซื้อสินค้าต้องจ่ายภาษีแวตสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นการเลือกปฏิบัติทำให้คนยาก คนจนต้องซื้อสินค้าแพงกว่าคนรวย
ปัดโธ่...แค่คิดเฉยๆก็ผิดแล้วคุณ.
http://www.thairath.co.th/content/638687
..............................................................................................
ก็คิดกันแบบนี้ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถึงแก้ไม่ได้สักที
คนรวย คนมีกินหรือพอจะมีอันจะกินก็สบายตัวเพราะได้อภิสิทธิ์เหนือคนจน
ส่วนธนาคารรวยอยู่แล้ว เขาก็รวยเอา รวยเอา..ได้ค่าต๋งบาน..
ส่วนภาระก็ตกไปอยู่กับคนจน ก็ต้องทนจนกันต่อไป ต่อให้อีก 20 ปีก็ไม่มีวันฟื้น..
แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคืนความสุขให้ประชาชนได้อย่างไรครับทั่น..เจ้านาย..?
ขอแสดงความสลดหดหู่อย่างสูง
นกเค้าแมวสีคราม
.