

ธนาคารความสุข 


จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 133 ค่ะ
โดย คุณ aston27 ค่ะ
นกน้อยในไร่แห้ว 
คำถามที่มักมีคนถามผมเสมอคือ ผมเริ่มต้นการเขียนจากแรงจูงใจอะไร
ที่อยากเขียนส่วนหนึ่งเพราะผมจบวารสารศาสตร์ จากธรรมศาสตร์ มันมีสัญชาตญาณรักการขีดๆเขียนๆ มานาน ไม่ได้เขียนเป็นอาชีพ ก็เขียนแบบสมัครเล่นก็ได้ ใครจะทำไม
จริงๆ ก็ไม่มีใครเขาจะมาทำไมหรอก เขียนเท่ๆ ไปงั้นเอง ^^ ถ้านึกอยากเอาหลังเท้าสะกิดผมเล่นด้วยความเอ็นดู ก็สงวนเท้าไว้ก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวเท้าท่านจะมีราคี แหะแหะ
แรกเริ่มเดิมที บล็อกที่ผมเขียนก็มีคนรู้จักไม่มากนัก จากที่เคยเขียนแล้วมีคนอ่านวันละสี่ซ้าห้าคน ก็เริ่มมีคนเข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นผู้ฟังรายการวิทยุที่ผมเคยจัด อีกส่วนก็เป็นชาวบล็อกเกอร์ด้วยกันเองมาช่วยอ่าน ชะรอยว่ากลัวผีจะหลอกคนเขียนจนจับไข้หัวโกร๋นไปเสียก่อน
พอเริ่มมีคนชอบเอาไปส่งต่อให้เพื่อนทางอีเมล์บ้าง เอาลิงค์ไปบอกต่อกันบ้าง ยิ่งพอได้รวมเล่มเป็นหนังสือ “ธนาคารความสุข” บล็อกเล็กๆ ของผมก็เริ่มมีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นไปอีก จากที่อ่านและออกความเห็นปกติ ก็เริ่มมีคนเขียนมาปรึกษาปัญหาจิปาถะชนิดไม้จิ้มฟันยันดาวเทียม แต่หนึ่งในปัญหายอดฮิตที่มีคนถามบ่อยและมากที่สุด คุณคงเดาได้ว่า คือเรื่องอกหัก นั่นแหละ
เคยมีคนวิเคราะห์ว่า ผมมักจะมีวิธีแนะนำคนที่อกหักได้ดุเด็ดเผ็ดเจ่อเหมือนเอาทิงเจอร์ราดลงบนแผล แสบนิดสะกิดหน่อยแต่ถ้าทนได้ก็หายเร็ว แต่มิวายที่บางคนจะย้อนผมว่า “ก็พี่ไม่ได้เป็นคนอกหัก ก็พูดได้สิ”
สำหรับคนที่จบจากคณะในสายสื่อสารมวลชนแบบผม เราจะมีศัพท์เรียกกันว่า พวกนกน้อยในไร่ส้ม แต่โดยส่วนตัวเคยรู้สึกว่าถ้าผมเป็นนกจริงๆ แล้วไซร้ ไอ้นกแบบผมคงไม่ได้อยู่ในไร่ส้ม แต่อยู่ในไร่แห้ว
ถ้าจะบอกว่า ผมเริ่มต้นรู้จักความรักพร้อมกับการมีไร่แห้วเป็นของตัวเอง ก็ไม่ผิดนะ เริ่มจากเป็นพวก Old Sunlight รู้จักไหม พวกแก่แดดน่ะ
คือไปแอบชอบเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกันสมัยประถมที่เชียงใหม่ แต่ไม่เคยกล้าบอก พอเข้ามาเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ ก็ดันมาเรียนโรงเรียนชายล้วน อันนี้เรียกได้ว่าแห้วสนิทศิษย์ส่ายหน้า
ตอนเรียนม.สาม อุตส่าห์มีโอกาสไปเจอสาวในโรงเรียนกวดวิชา และรวบรวมความกล้าเข้าไปชวนสาวสวยๆ คุยแต่ไม่ว่าจะกี่คนก็ดันเห็นผมเป็นเพื่อนไปเสียหมด เลยเริ่มรู้ว่าเรามีหน้าตาเป็นอาวุธก็ตอนนี้เอง ^^
นับแต่นั้นมาสถานะความเป็นชาวไร่แห้วของผมก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ตามชั่วโมงบิน กระทั่งมีแฟนกับเขาเป็นตัวเป็นตนคนแรกแล้ว ยังโดนบอกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ยิ่งการันตีชั่วโมงบินของการชินกับความช้ำใจ
ว่ากันว่าชีวิตมักมีหนทางของมันเสมอ นอกจากจะเชี่ยวชาญในการแห้วแล้ว ผมก็เริ่มเรียนรู้การเป็นชาวสวนปลูกใบบัวบกไว้ซดแก้ช้ำในอีกแปลงหนึ่ง ควบคู่ไปกับแปลงสวนแห้ว
ตลอดระยะเวลาการสมหวัง ผิดหวัง ช้ำใน ลองผิดลองถูกมานานร่วมๆ ๒๐ ปี ผมเริ่มเรียนรู้ว่า การรักษาอาการอกหักนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการยอมรับความจริง แล้วอยู่กับมันอย่างมีสติและปัญญา
ยอมรับความจริงว่าเวลาของคนคู่นี้มันหมดแล้ว จะด้วยเหตุประการใดก็ช่างหัวเผือกเถอะ อย่ามัวแต่ไปวิเคราะห์เจาะลึก เพราะเจาะให้สึกถึงแกนโลก ก็ไม่ทำให้อะไรมันกลับมา ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดี หรือทำให้ใครเปลี่ยนใจได้หรอก
อยู่กับมันอย่างมีสติ คือไม่ปฏิเสธว่าการพลัดพรากจากของรักจากคนรักเป็นทุกข์ อันนี้พระพุทธเจ้าท่านการันตีให้ ท่านแจกแจงไว้ให้แล้วว่า ทุกข์น่ะมันมีตั้งแต่การเกิดแล้ว
ท่านบอกว่า การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นทุกข์ ความโศกเศร้าร่ำไรรำพัน เป็นทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ เป็นทุกข์ และการอยากแล้วไม่สมอยาก ก็เป็นทุกข์
ฉะนั้นทุกข์เพราะอกหักก็ไม่ใช่ของใหม่ และใช่ว่าถ้าเราจะไม่รักใครเลย จะเงยคางเชิดหน้าอยู่บนคานทองอันผ่องศรี ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะหนีทุกข์พ้น เพราะมันก็มีทุกข์อื่นๆ รอเราอยู่
แต่การยอมรับทุกข์ด้วยสติ ไม่ได้แปลว่าเราควรปล่อยให้ตัวเองร่วมหัวจมท้ายอยู่กับความทุกข์ เพราะการรู้ทุกข์กับการจมทุกข์ มันไม่เหมือนกันนะครับ
รู้ทุกข์ คือการมีสติรู้สึกถึงทุกข์ด้วยใจที่เป็นกลาง ด้วยใจยอมรับ คือหนทางที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากทุกข์โดยไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของมัน เหมือนคนที่ตกน้ำแล้วมีสติประคองตัวจนขึ้นฝั่งพ้นน้ำ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มีน้ำ ไม่จริงๆ อิฉันไม่ได้จมน้ำ แต่พูดไปก็สำลักน้ำไปแบบนั้น
ที่เหลือก็เป็นแต่การมองสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องธรรมชาติ ว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปทั้งนั้น เราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่ต้องเจอความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก พูดให้ถูกกว่านั้นไม่มีใครเลยที่เกิดมาแล้วจะไม่เจอกับการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รัก
อีกทั้งการอกหักอาจจะเป็นทุกข์ แต่คนที่อกหักไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปกับเรื่องอกหัก หากมีสติและปัญญาที่มีคุณภาพพอ เว้นเสียแต่เราจะยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้จมและไหลไปในทุกข์ ซึ่งก็เท่ากับเราเลือกเอง
สุขสันต์วันที่เรายังเลือกได้ว่า จะเป็นนกอยู่ในไร่แห้วอย่างนี้ไปจนตาย... หรือจะบินไปไร่ส้ม นะครับ





...นกน้อยในไร่แห้ว... (ธนาคารความสุข) จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 133 ค่ะ โดย คุณ aston27 ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 133 ค่ะ
โดย คุณ aston27 ค่ะ
คำถามที่มักมีคนถามผมเสมอคือ ผมเริ่มต้นการเขียนจากแรงจูงใจอะไร
ที่อยากเขียนส่วนหนึ่งเพราะผมจบวารสารศาสตร์ จากธรรมศาสตร์ มันมีสัญชาตญาณรักการขีดๆเขียนๆ มานาน ไม่ได้เขียนเป็นอาชีพ ก็เขียนแบบสมัครเล่นก็ได้ ใครจะทำไม
จริงๆ ก็ไม่มีใครเขาจะมาทำไมหรอก เขียนเท่ๆ ไปงั้นเอง ^^ ถ้านึกอยากเอาหลังเท้าสะกิดผมเล่นด้วยความเอ็นดู ก็สงวนเท้าไว้ก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวเท้าท่านจะมีราคี แหะแหะ
แรกเริ่มเดิมที บล็อกที่ผมเขียนก็มีคนรู้จักไม่มากนัก จากที่เคยเขียนแล้วมีคนอ่านวันละสี่ซ้าห้าคน ก็เริ่มมีคนเข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นผู้ฟังรายการวิทยุที่ผมเคยจัด อีกส่วนก็เป็นชาวบล็อกเกอร์ด้วยกันเองมาช่วยอ่าน ชะรอยว่ากลัวผีจะหลอกคนเขียนจนจับไข้หัวโกร๋นไปเสียก่อน
พอเริ่มมีคนชอบเอาไปส่งต่อให้เพื่อนทางอีเมล์บ้าง เอาลิงค์ไปบอกต่อกันบ้าง ยิ่งพอได้รวมเล่มเป็นหนังสือ “ธนาคารความสุข” บล็อกเล็กๆ ของผมก็เริ่มมีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นไปอีก จากที่อ่านและออกความเห็นปกติ ก็เริ่มมีคนเขียนมาปรึกษาปัญหาจิปาถะชนิดไม้จิ้มฟันยันดาวเทียม แต่หนึ่งในปัญหายอดฮิตที่มีคนถามบ่อยและมากที่สุด คุณคงเดาได้ว่า คือเรื่องอกหัก นั่นแหละ
เคยมีคนวิเคราะห์ว่า ผมมักจะมีวิธีแนะนำคนที่อกหักได้ดุเด็ดเผ็ดเจ่อเหมือนเอาทิงเจอร์ราดลงบนแผล แสบนิดสะกิดหน่อยแต่ถ้าทนได้ก็หายเร็ว แต่มิวายที่บางคนจะย้อนผมว่า “ก็พี่ไม่ได้เป็นคนอกหัก ก็พูดได้สิ”
สำหรับคนที่จบจากคณะในสายสื่อสารมวลชนแบบผม เราจะมีศัพท์เรียกกันว่า พวกนกน้อยในไร่ส้ม แต่โดยส่วนตัวเคยรู้สึกว่าถ้าผมเป็นนกจริงๆ แล้วไซร้ ไอ้นกแบบผมคงไม่ได้อยู่ในไร่ส้ม แต่อยู่ในไร่แห้ว
ถ้าจะบอกว่า ผมเริ่มต้นรู้จักความรักพร้อมกับการมีไร่แห้วเป็นของตัวเอง ก็ไม่ผิดนะ เริ่มจากเป็นพวก Old Sunlight รู้จักไหม พวกแก่แดดน่ะ
คือไปแอบชอบเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกันสมัยประถมที่เชียงใหม่ แต่ไม่เคยกล้าบอก พอเข้ามาเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ ก็ดันมาเรียนโรงเรียนชายล้วน อันนี้เรียกได้ว่าแห้วสนิทศิษย์ส่ายหน้า
ตอนเรียนม.สาม อุตส่าห์มีโอกาสไปเจอสาวในโรงเรียนกวดวิชา และรวบรวมความกล้าเข้าไปชวนสาวสวยๆ คุยแต่ไม่ว่าจะกี่คนก็ดันเห็นผมเป็นเพื่อนไปเสียหมด เลยเริ่มรู้ว่าเรามีหน้าตาเป็นอาวุธก็ตอนนี้เอง ^^
นับแต่นั้นมาสถานะความเป็นชาวไร่แห้วของผมก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ตามชั่วโมงบิน กระทั่งมีแฟนกับเขาเป็นตัวเป็นตนคนแรกแล้ว ยังโดนบอกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ยิ่งการันตีชั่วโมงบินของการชินกับความช้ำใจ
ว่ากันว่าชีวิตมักมีหนทางของมันเสมอ นอกจากจะเชี่ยวชาญในการแห้วแล้ว ผมก็เริ่มเรียนรู้การเป็นชาวสวนปลูกใบบัวบกไว้ซดแก้ช้ำในอีกแปลงหนึ่ง ควบคู่ไปกับแปลงสวนแห้ว
ตลอดระยะเวลาการสมหวัง ผิดหวัง ช้ำใน ลองผิดลองถูกมานานร่วมๆ ๒๐ ปี ผมเริ่มเรียนรู้ว่า การรักษาอาการอกหักนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการยอมรับความจริง แล้วอยู่กับมันอย่างมีสติและปัญญา
ยอมรับความจริงว่าเวลาของคนคู่นี้มันหมดแล้ว จะด้วยเหตุประการใดก็ช่างหัวเผือกเถอะ อย่ามัวแต่ไปวิเคราะห์เจาะลึก เพราะเจาะให้สึกถึงแกนโลก ก็ไม่ทำให้อะไรมันกลับมา ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดี หรือทำให้ใครเปลี่ยนใจได้หรอก
อยู่กับมันอย่างมีสติ คือไม่ปฏิเสธว่าการพลัดพรากจากของรักจากคนรักเป็นทุกข์ อันนี้พระพุทธเจ้าท่านการันตีให้ ท่านแจกแจงไว้ให้แล้วว่า ทุกข์น่ะมันมีตั้งแต่การเกิดแล้ว
ท่านบอกว่า การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นทุกข์ ความโศกเศร้าร่ำไรรำพัน เป็นทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ เป็นทุกข์ และการอยากแล้วไม่สมอยาก ก็เป็นทุกข์
ฉะนั้นทุกข์เพราะอกหักก็ไม่ใช่ของใหม่ และใช่ว่าถ้าเราจะไม่รักใครเลย จะเงยคางเชิดหน้าอยู่บนคานทองอันผ่องศรี ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะหนีทุกข์พ้น เพราะมันก็มีทุกข์อื่นๆ รอเราอยู่
แต่การยอมรับทุกข์ด้วยสติ ไม่ได้แปลว่าเราควรปล่อยให้ตัวเองร่วมหัวจมท้ายอยู่กับความทุกข์ เพราะการรู้ทุกข์กับการจมทุกข์ มันไม่เหมือนกันนะครับ
รู้ทุกข์ คือการมีสติรู้สึกถึงทุกข์ด้วยใจที่เป็นกลาง ด้วยใจยอมรับ คือหนทางที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากทุกข์โดยไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของมัน เหมือนคนที่ตกน้ำแล้วมีสติประคองตัวจนขึ้นฝั่งพ้นน้ำ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มีน้ำ ไม่จริงๆ อิฉันไม่ได้จมน้ำ แต่พูดไปก็สำลักน้ำไปแบบนั้น
ที่เหลือก็เป็นแต่การมองสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องธรรมชาติ ว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปทั้งนั้น เราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่ต้องเจอความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก พูดให้ถูกกว่านั้นไม่มีใครเลยที่เกิดมาแล้วจะไม่เจอกับการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รัก
อีกทั้งการอกหักอาจจะเป็นทุกข์ แต่คนที่อกหักไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปกับเรื่องอกหัก หากมีสติและปัญญาที่มีคุณภาพพอ เว้นเสียแต่เราจะยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้จมและไหลไปในทุกข์ ซึ่งก็เท่ากับเราเลือกเอง
สุขสันต์วันที่เรายังเลือกได้ว่า จะเป็นนกอยู่ในไร่แห้วอย่างนี้ไปจนตาย... หรือจะบินไปไร่ส้ม นะครับ