เมื่อเราลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก เช่น น้ำมัน หรือทองคำ หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดราคาในตลาดขึ้น/ลง แต่ทำไม NAV กองทุนของเราถึงไม่ขึ้น/ลงตาม ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า กองทุนส่วนใหญ่ของไทยเหล่านี้เป็นกองทุนรวมประเภท feeder fund ที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมในต่างประเทศเพียงกองเดียว (master fund) ดังนั้นหากเราจะดูการขึ้นลงของ NAV ควรเปรียบเทียบกับกองทุนหลักจะเห็นภาพชัดเจนกว่า โดยกองทุนน้ำมันจะลงในกอง DBO และ USO (ลงทุนใน WTI Future) ส่วนกองทุนทองคำส่วนใหญ่จะลงในกอง GLD (ลงทุนในทองคำแท่ง)
กองทุนรวมน้ำมัน ทำไม NAV ของกองทุนเราไม่ขึ้นตามราคาน้ำมัน
- ราคาน้ำมันที่เราดู ไม่ว่าจะเป็น WTI Spot Price หรือ Front Month ไม่ใช่ราคาน้ำมันที่กองทุนหลักในต่างประเทศลงทุน ซึ่งเป็นสัญญา Future ในเดือนอื่น
- มีต้นทุนในการเปลี่ยนสัญญา (Rollover Cost) แต่ละครั้ง โดยการขายถูกไปซื้อแพง เมื่อตลาดเป็นแบบสัญญาเดือนใกล้ถูกกว่าเดือนไกล (Contango)
ยกตัวอย่าง หากเราลงทุนในกอง K-OIL ที่นำเงิน 97.85% ไปลงทุนในกองที่ชื่อ PowerShares DB Oil Fund (DBO) ซึ่งเป็นกอง ETF ที่แทร็คการเคลื่อนไหวของดัชนี DBIQ Optimum Yield Crude Oil Index Excess Return (DBOLIX) กอง DBO ส่วนมากจะถือสัญญา Future ข้ามปี (โดยเลือกจากเดือนที่ 1-13 ต่อจากสัญญาที่หมดอายุลง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าให้ผลตอบแทนดีที่สุด) เมื่อดูพอร์ตโฟลิโอของ DBO ในปัจุบัน (มิถุนายน 16) ลงทุนใน WTI CRUDE FUTURE (CLH17) 49.39% (ไม่ได้ลงทุนในน้ำมันทั้งหมด เข้าถือประมาณปลายกุมภาพันธ์ 16) และที่เหลือเป็น U.S. Treasury Bills ดังนั้นหากเราจะดูการเคลื่อนไหว NAV ของ K-OIL เราต้องเปรียบเทียบกับ DBO เป็นต้น
DBO เข้าถือ CLH17 ประมาณ 23 กุมภาพันธ์ - 10 มิถุนายน 2516 ราคาขึ้นมาประมาณ 28% ซึ่งใกล้เคียงกับ NAV ของ K-OIL ที่ขึ้นมาจาก 2.9322 เป็น 3.7571 ประมาณ 28%
กองทุนรวมทองคำ
กองทุนรวมทองคำส่วนใหญ่ในบ้านเราจะไปลงทุนในกองทุนหลักคือ SPDR Gold Shares (GLD) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนในทองคำแท่ง (gold bullion) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีทั้งที่จดทะเบียนในตลาด NYSE Arca, Singapore, Tokyo และ Hong Kong แต่โดยรวมแล้วราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกัน เพราะ GLD พยายามแทร็ค ราคาทองแท่งของ LBMA Gold Price PM เหมือนกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนในทองคำแท่งจริงๆ จึงมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายน้อยกว่าลงทุนในฟิวเจอร์ ทำให้การลงทุนในกองทุนรวมทองคำ ไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนกองทุนรวมน้ำมัน
สรุป หากจะลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน ต้องดูว่ากองของเราไปลงในกองทุนหลักอะไร แล้วกองทุนหลักถือสัญญาฟิวเจอร์เดือนไหน ในสัดส่วนเท่าไหร่ จะครบกำหนดส่งมอบเมื่อไหร่ (กอง DBO มักถือสัญญาข้ามปี ส่วนกอง USO ถือสัญญา Front Month) ส่วนการลงทุนในกองทุนรวมทองคำก็เช่นกัน ถ้ากองของเราไปลงทุนในกองหลักกองอื่นที่ไม่ใช่ GLD ควรตรวจดูว่ากองหลักนั้นไปลงทุนในทองคำประเภทไหน ในสัดส่วนเท่าไหร่ หรือดัชนีที่กองทุนกองนั้นแทร็คคืออะไร เพื่อประกอบการตัดสินใจ และทำให้เราไม่เข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการขึ้นลงของ NAV กองทุนของเราด้วย
กองทุนรวมน้ำมัน - กองทุนรวมทองคำ ว่าด้วยเรื่องการขึ้นลงของ NAV
กองทุนรวมน้ำมัน ทำไม NAV ของกองทุนเราไม่ขึ้นตามราคาน้ำมัน
- ราคาน้ำมันที่เราดู ไม่ว่าจะเป็น WTI Spot Price หรือ Front Month ไม่ใช่ราคาน้ำมันที่กองทุนหลักในต่างประเทศลงทุน ซึ่งเป็นสัญญา Future ในเดือนอื่น
- มีต้นทุนในการเปลี่ยนสัญญา (Rollover Cost) แต่ละครั้ง โดยการขายถูกไปซื้อแพง เมื่อตลาดเป็นแบบสัญญาเดือนใกล้ถูกกว่าเดือนไกล (Contango)
ยกตัวอย่าง หากเราลงทุนในกอง K-OIL ที่นำเงิน 97.85% ไปลงทุนในกองที่ชื่อ PowerShares DB Oil Fund (DBO) ซึ่งเป็นกอง ETF ที่แทร็คการเคลื่อนไหวของดัชนี DBIQ Optimum Yield Crude Oil Index Excess Return (DBOLIX) กอง DBO ส่วนมากจะถือสัญญา Future ข้ามปี (โดยเลือกจากเดือนที่ 1-13 ต่อจากสัญญาที่หมดอายุลง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าให้ผลตอบแทนดีที่สุด) เมื่อดูพอร์ตโฟลิโอของ DBO ในปัจุบัน (มิถุนายน 16) ลงทุนใน WTI CRUDE FUTURE (CLH17) 49.39% (ไม่ได้ลงทุนในน้ำมันทั้งหมด เข้าถือประมาณปลายกุมภาพันธ์ 16) และที่เหลือเป็น U.S. Treasury Bills ดังนั้นหากเราจะดูการเคลื่อนไหว NAV ของ K-OIL เราต้องเปรียบเทียบกับ DBO เป็นต้น
DBO เข้าถือ CLH17 ประมาณ 23 กุมภาพันธ์ - 10 มิถุนายน 2516 ราคาขึ้นมาประมาณ 28% ซึ่งใกล้เคียงกับ NAV ของ K-OIL ที่ขึ้นมาจาก 2.9322 เป็น 3.7571 ประมาณ 28%
กองทุนรวมทองคำ
กองทุนรวมทองคำส่วนใหญ่ในบ้านเราจะไปลงทุนในกองทุนหลักคือ SPDR Gold Shares (GLD) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนในทองคำแท่ง (gold bullion) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีทั้งที่จดทะเบียนในตลาด NYSE Arca, Singapore, Tokyo และ Hong Kong แต่โดยรวมแล้วราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกัน เพราะ GLD พยายามแทร็ค ราคาทองแท่งของ LBMA Gold Price PM เหมือนกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนในทองคำแท่งจริงๆ จึงมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายน้อยกว่าลงทุนในฟิวเจอร์ ทำให้การลงทุนในกองทุนรวมทองคำ ไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนกองทุนรวมน้ำมัน
สรุป หากจะลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน ต้องดูว่ากองของเราไปลงในกองทุนหลักอะไร แล้วกองทุนหลักถือสัญญาฟิวเจอร์เดือนไหน ในสัดส่วนเท่าไหร่ จะครบกำหนดส่งมอบเมื่อไหร่ (กอง DBO มักถือสัญญาข้ามปี ส่วนกอง USO ถือสัญญา Front Month) ส่วนการลงทุนในกองทุนรวมทองคำก็เช่นกัน ถ้ากองของเราไปลงทุนในกองหลักกองอื่นที่ไม่ใช่ GLD ควรตรวจดูว่ากองหลักนั้นไปลงทุนในทองคำประเภทไหน ในสัดส่วนเท่าไหร่ หรือดัชนีที่กองทุนกองนั้นแทร็คคืออะไร เพื่อประกอบการตัดสินใจ และทำให้เราไม่เข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการขึ้นลงของ NAV กองทุนของเราด้วย