ทดสอบปัญญาประดิษฐ์

กระทู้สนทนา
ศาสตราจารย์ทีโอบีนั่งอยู่ในบัลลังก์กลางห้องประชุมใหญ่ ในห้องมีเหล่านักวิทยาศาสตร์หลายสิบคนนั่งเป็นสักขีพยาน ในการทดสอบอภิมหาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ เบื้องหน้าสายตาผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายคือ กล่องไม้ขนาดใหญ่เท่ากับห้องเล็ก ๆ  สองห้องแยกห่างกันประมาณสองเมตร ในแต่ละห้องสามารถบรรจุคนได้หนึ่งคน

            การทดสอบคือ ผู้สัมภาษณ์จากห้องหนึ่งจะไม่สามารถเห็นว่าอีกห้องหนึ่งที่บรรจุผู้ถูกสัมภาษณ์นั้น จะเป็นมนุษย์หรือคอมพิวเตอร์กันแน่ สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์จะประเมินว่าคู่สนทนาจะเป็นมนุษย์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็จะต้องวิเคราะห์จากบทสนทนาเท่านั้น

        เสียงผู้สัมภาษณ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในกล่องไม้เริ่มต้นบทสนทนา

            “สวัสดีครับคุณมายูติ ผมคือศาสตราจารย์วัลเลอี”

            “สวัสดีครับท่านศาสตราจารย์วัลเลอี” ผู้ถูกสัมภาษณ์ทักทายตอบ

            “คุณอายุเท่าไหร่ครับ”

            “35 ปีครับ”

            “คุณเกิดและเติบโตที่ไหนครับ”

            “ผมมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่หลังเขาฟูจี ผมอยู่ที่นั่นจนอายุ 10 ปีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้ ผมเริ่มเข้ารับการศึกษาที่นี่จนกระทั่งจบมหาลัย”

            “คุณทำงานอะไรครับ”

            “ผมเป็นผู้ช่วยออกแบบโครงสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ครับ”

            “สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ เช่นอะไรบ้างครับ”

            “อาคารขนาดใหญ่ สะพานข้ามแม่น้ำ อุโมงค์ถนนใต้ดิน หอประภาคารสูง นี่คือสิ่งปลูกสร้างที่ผมเคยช่วยออกแบบ”

            “ช่วยอธิบายลักษณะงานที่คุณทำด้วยครับ”

            “ผมมีหน้าที่ประเมินความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง และยังมีหน้าที่คำนวณตัวเลขทางด้านวิศวกรรม”

            “งานอดิเรกของคุณคืออะไรครับ”

            “ผมมักไปปั่นจักรยานขึ้นภูเขาในในหยุด”

            “ทำไมถึงชอบการปั่นจักรยานขึ้นภูเขาครับ”

            “การปั่นจักรยานขึ้นภูเขาทำให้หัวใจเราเต้นแรงขึ้น เมื่อหัวใจเต้นแรงจะทำให้เราสูดอากาศหายใจแรงขึ้น ออกซิเจนจำนวนมากที่เข้าไปเผลาผลาญพลังงานในร่างกายของเรา จะทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งออกมา ช่วงเวลานั้นทำให้ผมมีความสุขมากครับ”

            “คุณมีครอบครัวหรือยังครับ”

            “ผมมีภรรยาและลูกสาวอีกหนึ่งคนครับ”

            “คุณรักภรรยาของคุณมั้ยครับ”

            “รักครับ”

            “ช่วยอธิบายความรักหน่อยครับ ว่าความรักของคุณคืออะไร”

            “ณ ตอนนี้สำหรับผม ความรักคือการไว้ใจคนรัก การไว้เนื้อเชื่อใจไม่บังคับไม่ครอบครอง ไม่มีความสงสัยในตัวเธอ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน”

            “คุณรักลูกสาวของคุณมั้ย”

            “รักครับ”

            “ความรักที่มีต่อลูกสาว เหมือนกับความรักที่คุณมีให้ภรรยามั้ยครับ”

            “เหมือนกันครับ แต่จะเพิ่มในเรื่องของการดูแลเอาใจใส่”

            “คุณมีพี่น้องร่วมสายเลือดมั้ยครับ”

            “ไม่มีครับ”

            “คุณมีแนวคิดทางการเมืองอย่างไรครับ”

            “ผมคิดว่าทัศนะคติ ความคิด ค่านิยมและจิตใต้สำนึกของคนจะนำไปสู่ความจริงทางสังคม ซึ่งนั่นก็คืออิสรภาพของแต่ละปัจเจกบุคคล การปกครองสังคมที่ประสบความสำเร็จหรือไม่คงจะขึ้นอยู่กับอิสรภาพของประชาชนเป็นหลัก”

            “คุณชอบสีอะไรมากที่สุด”

            “ผมชอบสีฟ้าครับ”

            “เพราะอะไรคุณถึงชอบสีฟ้า”

            “ผมคิดว่าสีฟ้าทำให้ผมรู้สึกสงบและอิสระ”

            “คุณชอบงานศิลปะชนิดใด”

            “ผมชอบภาพวาดครับ”

            “ภาพวาดแนวไหนที่คุณชอบ”

            “ผมชอบภาพวาดแนวเอ็กซ์เพรสชั่นนิส”

            “ทำไมคุณถึงชอบภาพวาดแนวเอ็กซ์เพรสชั่นนิส”

            “เพราะภาพเขียนแนวนี้เน้นในเรื่องการแสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน”

            “คุณนับถือศาสนามั้ย”

            “ผมนับถือศาสนาครับ”

            “คุณนับถือศาสนาอะไร”

            “ผมนับถือศาสนาคริสครับ”

            “คุณเชื่อในเรื่องพระเจ้ามั้ย”

            “เชื่อครับ”

            “ทำไมคุณถึงเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง”

            “พระเจ้าคือระบบความคิดที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันไม่สำคัญว่าตัวตนของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร ขอแค่เราเชื่อมั่นในพระเจ้า”

            “คุณเชื่อในเรื่องบาปมั้ย”

            “เชื่อครับ”

            “อะไรคือการทำบาป”

            “การกระทำที่เมื่อเราทำแล้วรู้สึกเป็นทุกข์ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรารับรู้แล้วเป็นทุกข์”

            “คุณเชื่อเรื่องการไถ่บาปมั้ย”

            “เชื่อครับ”

            “คุณคิดว่าการไถ่บาปสามารถทำให้บาปหมดไปได้หรือไม่”

            “ได้ครับ ขอเพียงให้เราลืมเลือนบาปนั้นไป”

            “อะไรคือบาปที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณ และคุณจัดการไถ่บาปนั้นอย่างไร”

            “บาปของผมที่ไม่เคยลืม คือผมเคยขับรถชนสองสามีภรรยาตาย”

            “คุณยังไม่ลืม นั่นหมายถึงคุณไม่เคยไถ่บาปในเรื่องนี้”

            “บาปครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ลูกน้อยของพวกเขารอดตายจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น แม้ผมจะชดใช้ความผิดตามกฎหมายทั้งหมดแล้ว แต่หากผมลืมเลือนเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปจะทำให้ลูกของพวกเขากลายเป็นเด็กที่ไม่มีใครเลี้ยงดู”

            “แล้วคุณทำอย่างไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นบ้าง”

            “ผมรับเด็กคนนั้นเป็นลูกบุญธรรมครับ”

            “หมายความว่าลูกสาวของคุณไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคุณและภรรยาของคุณ”

            “ผมและภรรยาเป็นหมัน เราไม่สามารถมีทายาทได้ การเลี้ยงดูเธอเท่ากับการไถ่บาปของผมไปตลอดชีวิต”

            ศาสตราจารย์วัลเลอีนิ่งเสียงเหมือนกำลังนั่งคิดอะไรอยู่ในกล่องไม้เงียบ ๆ สักพักเขาก็พูดออกมาเสียงดังลั่นห้องประชุม

            “การสัมภาษณ์จบลงแล้วครับ ผมหมดคำถามที่จะพิสูจน์ว่าคู่สนทนาของผมนั้นเป็นเอไอหรือเป็นมนุษย์แล้วครับ ศาสตราจารย์ทีโอบี”

            “ผลการวิเคราะห์ของคุณเป็นยังไงบ้างครับ” ศาสตราจารย์ทีโอบีถาม

            “เขาไม่ใช่มนุษย์ครับ เขาเป็นเอไอ”

            “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นครับ”

            “ตอนแรกผมก็เกือบเชื่อแล้วครับว่าเขาคือมนุษย์ เขารู้ถึงสิทธิหน้าที่พลเมืองและยังเข้าใจในเรื่องของอารมณ์ศิลปะ แต่เมื่อเขาตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมเริ่มทำให้ผลลังเล ผมคิดว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ที่เชื่อในเรื่องศาสนามักจะไม่ตีความวิธีคิดของคำสอนมากนัก แต่เมื่อเขาบอกว่าเขารับลูกของคนที่เขาฆ่ามาเป็นลูกบุญธรรม ผมคิดว่านั่นผิดกฎธรรมชาติของมนุษย์”

            “คุณไม่เชื่อเรื่องการไถ่บาป หรือการสำนึกผิดอย่างที่เขาว่าเหรอ”

        “ผมไม่เชื่อเรื่องการสำนึกผิดของมนุษย์ครับ” ศาสตราจารย์วัลเลอีกล่าวทิ้งท้ายคำอธิบาย

            

            “เอาล่ะครับทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้ ผมต้องขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เราพัฒนาขึ้นยาวนานเกือบศตวรรษ ยังไม่พัฒนาถึงจุดสูงสุดที่จะสามารถสื่อสารและเข้าใจจิตใต้สำนึกของมนุษย์อย่างแท้จริง แม้เอไอของเราจะสามารถพัฒนาไปถึงระดับระบบผู้เชี่ยวชาญ คือสามารถแก้ปัญหาหรือช่วยในการตัดสินใจโดยใช้วิธีเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์...

            “อีกทั้งเอไอยังสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถตรวจจับรูปแบบการเกิดเหตุการณ์ใด ๆ แล้วปรับตัวสู่สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เอไอยังคิดอย่างมนุษย์ได้ด้วยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลวทางเคมีไฟฟ้าในร่างกายเหมือนมนุษย์ การกระทำอย่างมีเหตุผลของเอไอ โดยใช้หลักตรรกศาสตร์ในการคิดหาคำตอบอย่างมีเหตุผล”

            ศาสตราจารย์ทีโอบีพูดเสียงดังกังวานทั่วห้องประชุม โดยมีนักวิทยาศาสตร์ทุกคนในห้องตั้งใจฟัง

            “แต่ระบบเอไอของเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจระบบศีลธรรมของมนุษย์ได้ ระบบศีลธรรมที่มีความสลับซับซ้อนจนไม่สามารถสร้างอัลกอรึทึ่มเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ เราอาจจะใช้เวลาอีกหนึ่งศตวรรษหรือเท่ากับระยะเวลาที่เราเริ่มต้นสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อที่จะให้ให้คอมพิวเตอร์เข้าใจระบบศีลธรรมของมนุษย์”

            ศาสตราจารย์ลุกขึ้นและกวาดสายไปที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้

            “ศาสตราจารย์วัลเลอีคือปัญญาประดิษฐ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ในอุดมคติของเราครับ” ผู้พูดมองไปที่กล่องไม้ที่มายูติอยู่ในนั้น “ขอเชิญคุณมายูติออกมาจากห้องได้แล้วครับ ขอขอบคุณที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในการทดสอบระบบให้เรา”
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่