Macro Analysis By THANSIN K.

Macro Analysis By THANSIN K.

ถ้อยแถลงของ Fed ในคืนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีขึ้นของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่อาจยังมีตัวแปรบางตัวในตลาดแรงงานที่ยังคงเป็นลบอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในภาพรวมแล้วนั้นนับได้ว่ายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่
ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวขึ้นได้ต่อเนื่องและจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งภายในปีนี้ โดยการปรับขึ้นจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดผลกระทบจากกระแสเงินทุนที่ไหลออกจากกลุ่มประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ emerging market ให้เบาบางลง และเพื่อเป็นการ prevent การแข็งค่าของค่าเงิน USD ที่รวดเร็วเกินไปเพราะจะส่งผลลูกโซ่ต่อภาคการส่งออกและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯเอง

ในอีกมุมมองหนึ่ง สาเหตุที่อาจทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ต้องยืดระยะเวลาออกไปอีกคือในกรณีที่เศรษฐกิจโลกเกิด negative shock และนำเศรษฐกิจเข้าสู่ recession แต่หากไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นคาดว่าค่าเงิน USD จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ   

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือ “Brexit” หรือการถอนตัวออกจาก EU ของ UK โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 23/6/59 เนื่องจากหากผลประชามติออกมาว่า UK ต้องออกจาก EU จะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อตลาดเงินตลาดทุนของ UK กับกลุ่ม EU และอาจทำให้เศรษฐกิจของ EU กับ UK เข้าสู่สภาวะถดถอยได้ (recession)
อย่างไรก็ตามคาดว่าประเด็น Brexit จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกของประเทศไทยพอสมควร (รวม 12% ของการส่งออกทั้งหมด) และจะทำให้ค่าเงิน euro และปอนด์อ่อนค่าลงส่งผลให้ USD แข็งค่าขึ้นจากเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่สหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้จะทำให้ค่าเงินของประเทศต่างๆอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ USD หากบทสรุปคือการถอนตัวออกจาก EU ของ UK (อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ Fed เลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปเพื่อป้องกันกันแข็งค่าของค่าเงิน USD ที่รวดเร็วเกินไปและเพื่อลดผลกระทบจากภาระหนี้ของกลุ่มประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ emerging market ที่มีการกู้ยืมเงินสกุล USD ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นจำนวนมาก)
***จากข้อมูลของ IMF พบว่าภาคเอกชนใน emerging market มีการกู้ยืมมากขึ้น 10-25% ต่อ GDP ในช่วง 2550-2557 และในหลายประเทศ เช่น อินโดนิเซีย เม็กซิโก ชิลี และรัสเซีย ที่มีหนี้เป็นสกุลตราต่างประเทศถึงกว่า 40-70% ของมูลหนี้ทั้งหมด

ด้วย P/E ของ SET Index ในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 21.9 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปีที่ 12.67 เท่า ถือได้ว่าเป็นความเสี่ยงต่อการปรับตัวลดลงอย่างมากในอนาคต หากทิศทาง Fund Flow ไหลกลับ (SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.97% นับตั้งแต่ต้นปี 59 ซึ่งหลักๆ เกิดจากการไหลเข้าของ Fund Flow) และมีโอกาสค่อนข้างน้อยที่ E หรือผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดจะเติบโตขึ้นและทำให้ P/E ตลาดลดลงจนอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับ P หรือดัชนีของ SET จากปัจจัยลบต่างๆ ที่ยังกดดันภาวะเศรษฐกิจอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การค้าโลกที่ขยายตัวช้า, การตกต่ำของราคาสินค้าโภคภัณฑ์, อัตราเงินเฟ้อโลกที่ตกต่ำ และปริมาณผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น (แรงงานลดลง) ส่งผลให้ Dependency Ratio เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ที่มา : https://web.facebook.com/Stocks-Research-617905188375844/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่