▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ศาสนาพุทธ
ศาสนา
...แสงส่องใจ... จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 217 ค่ะ โดยสมเด็จพระสังฆราช (สกลมหาสังฆปริณายก)
โดยสมเด็จพระสังฆราช (สกลมหาสังฆปริณายก)
พุทธุปปาทาทิสุขกถา
เทศนานิพนธ์
ใน
สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒโน)
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท สุขา สทฺธมฺมเทสนา
สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโขติ.
บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาธรรมะซึ่งพระได้ตรัสเป็นเครื่องชี้ทางแห่งความสุข ตามพระพุทธภาษิตอันมาในธรรมบทขุทกนิกายที่ยกขึ้นไว้เป็นบทอุเทศ ณ เบื้องต้น แปลความว่า “ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายให้เกิดสุข การแสดงพระสัทธรรมให้เกิดสุข ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข ความเพียรของผู้พร้อมเพรียงกันให้เกิดสุข” ดังนี้ พระพุทธภาษิตนี้แสดงฐานให้เกิดสุข ๔ ประการ จำเดิมแต่ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป
ความสำราญ ชื่นบาน เอิบอิ่มแจ่มใส ปลอดโปร่งจากทุกข์ภัยเดือดร้อน ได้ชื่อว่าสุข สุขนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจให้เป็นไปได้ด้วยดี ตรงกันข้ามกับทุกข์เป็นเครื่องแผดเผาให้อาดูรเดือดร้อน จึงเป็นพระที่ปรารถนาตรงกันของทุก ๆ คน จะเห็นได้ในคำอวยพรหรือคำอนุโมทนาทั้งปวง เช่นว่า “สุขิโต โหตุ ขอจงบรรลุสุข” แม้ในบทเจริญเมตตาแผ่ไมตรีจิต เช่นในกรณียเมตตสูตรก็มีว่า “สพฺเพสตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา ขอสัตว์ทั้งหลาย จงรักษาตนให้เป็นสุขทั่วกันเถิด” ดังนี้ สุขเป็นที่ปรารถนาดังกล่าวมา เพราะมีอีกสิ่งหนึ่งบังคับให้ปรารถนา สิ่งนั้นคือทุกข์ ในเวลาที่ไม่มีทุกข์หรือไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ ก็ดูไม่จำต้องการสุข แต่เมื่อมีทุกข์หรือเกิดเห็นว่าเป็นทุกข์ขึ้น ก็เกิดต้องการและขวนขวายเพื่อให้ได้สุขมา และสุขจักปรากฏเมื่อทุกข์อย่างหนึ่งสิ้นสุดลง แต่เมื่อสุขสิ้นแล้ว ทุกข์ก็กลับปรากฏให้ต้องการสุขอีก มีข้อเปรียบโลกนี้ด้วยต้นไม้ ทุกข์เหมือนความแห้งผากอันเกิดแต่แสงตะวัน สุขเหมือนน้ำ เมื่อมีทุกข์ก็จำต้องการสุข เหมือนเมื่อมีความแห้งผากก็จำต้องการน้ำ และเมื่อจำต้องการสุข ก็ส่องความว่าทุกข์ยังไม่สุดสิ้นกะแสดง โลกได้อาศัยสุขแก้ทุกข์พอกันอยู่จึงเป็นไปได้เหมือนต้นไม้ได้น้ำหล่อเหลี้ยงลำต้นอยู่ฉะนั้น สุขทุกข์มีคู่กันอยู่อย่างนี้ในโลก และเป็นเรื่องประจำชีวิต จนถึงเมื่อถามถึงข่าวคราวของกันปรารถนา ก็ย่อมมีให้ได้ประสบอยู่เสมอ จึงเป็นเหตุให้ปรารถนาแหละแสดงสุขอยู่ร่ำไป
ในการแสวงหาให้ได้สุข จำเป็นต้องรู้จักหลบทุกข์ ยกตัวอย่างความยากจนขาดแคลน เพราะมีไม่พอแก่ความต้องการ หรือไม่มีตามที่ต้องการ เป็นทุกข์เดือดร้อน เมื่อปรารถนาสุขอันตรงกันข้าม ก็จำต้องรู้จักหลบความยากจนขาดแคลนนั้นเสีย ถ้าไม่รู้จักหลบ แม้จะขวนขวายประการใด ก็ไม่อาจประสบสุขได้ คงต้องพบแต่ทุกข์ ในการหลบทุกข์ ก็จำต้องมีสุขวัตถุ คือเครื่องบริหารอันพอแก้ทุกข์นั้นๆได้ ยกตัวอย่าง เช่น ผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยาแก้ไข้เจ็บ สิ่งเหล่านี้เมื่อมีอยู่พอเพียง ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์เดือดร้อน แต่เมื่อขาดแคลนมีไม่พอต้องการ จึงรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ผู้ปรารถนาสุขจึงสมควรแสวงหาสุขวัตถุทั้งปวงไว้ ให้มีเพียงพอทั้งเมื่อนี้และเมื่อหน้า แม้ใจข้ออื่นก็มีนัยเช่นเดียวกัน รวมความว่า ในการแสวงหาให้ได้สุข จำต้องรู้จักหลบทุกข์ ในการหลบทุกข์ จำต้องมีสุขวัตถุพอแก้ทุกข์นั้น ๆ ได้ เหตุฉะนี้ ผู้ปรารถนาสุขจึงควรสำเนียกให้รู้จักวิธีหลบทุกข์ แสวงเครื่องบริหารสุขนั้น ๆ มาใช้แก้ทุกข์ให้ตกไปเป็นอย่าง ๆ ด้วยความขยันหมั่นเพียรไม่ท้อถอย
ในการแสวงหาสุขตามที่กล่าวมานี้ จำต้องใช้ทั้งกำลังกายและกำลังใจด้วยความฉลาด จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งเสียไม่ได้ จึงจำต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงปราศจากโรค บำรุงจิตใจให้เข้มแข็งอดทน และอบรมปัญญาให้ฉลาดเฉียบแหลม ไม่เช่นนั้นก็จักยอมแพ้ทุกข์เอาง่าย ๆ ความฉลาดรู้วิธีหลบทุกข์นั้น ต้องดำเนินตามหลัก ๔ ประการ คือ ต้องรู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด อะไรเป็นความดับทุกข์ เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์ ยกตัวอย่างในทางโลก ความจนเป็นทุกข์ ความเกียจคร้าน เป็นเหตุ ความมี เป็นความดับทุกข์ ความขยันหมั่นเพียรประกอบการงาน เป็นทางดำเนิน ในทางธรรม ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และความโศกความระทมใจเป็นทุกข์ ตัณหาคือความดิ้นรนของใจ เป็นเหตุ ความดับตัณหาเสียได้ เป็นความดับทุกข์ มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เป็นทางดำเนิน ในหลัก ๔ ประการนี้ไม่มีกล่าวถึงสุข เพราะสุขเป็นที่สุดของทุกข์ และจำต้องการเมื่อทุกข์ยังไม่สิ้นสุดลงเพื่อแก้กัน เมื่อทุกข์สิ้นสุดลงแล้วก็ไม่จำต้องการ และถือว่าเป็นสุขอยู่ในตัว
ความฉลาดรู้วิธีหลบทุกข์ในทางโลก ไม่อาจทำให้หลบทุกข์ได้ทั้งหมด เพราะทุกข์บางอย่างไม่อาจหลบได้ แม้จะหลบทุกข์อื่นได้โดยลำดับมา ก็ต้องประจวบทุกข์ คือความแก่จนถึงความตายในที่สุด ทั้งถ้าใจดิ้นรนไปต่าง ๆ ด้วยความยึดถือ เมื่อไม่ได้ตามปรารถนาก็เป็นทุกข์ใจ มีโศกระทมเป็นต้นขึ้นอีก และถ้าลุอำนาจแห่งความดิ้นรนปรารถนา ก็อาจดำเนินไปในทางผิด เช่นในทางเบียดเบียนกัน เป็นเหตุก่อทุกข์โศกให้อีกส่วนหนึ่ง เพราะผู้แสวงหาสุขโดยวิธีให้ทุกข์แก่ผู้อื่น หรือโดยทางทุจริตผิดธรรม หาได้รับสุขไม่ ผู้ฉลาดรู้แต่ในทางคดีโลก ไม่ปรากฏว่าแก้ทุกข์ได้ตกทั้งหมด บางทีกลับทุกข์หนักเสียอีก ทุกข์ที่หลบหรือแก้ให้ตกไปไม่ได้ในทางโลกนั้น อาจหลบหรือแก้ให้ตกไปได้ในทางธรรม กล่าวคือทุกข์ใจ หลบหรือแก้ให้ตกได้ด้วยดับความดิ้นรนปรารถนาที่จะให้ได้ดังใจ เป็นเหตุให้ปล่อยวางความยึดถือ เป็นอันหลบทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พ้นได้ด้วย เพราะเมื่อไม่ยึดถือแล้ว จะประจวบสิ่งใด ๆ ก็หาเป็นทุกข์อันใดไม่ การที่ยังยึดถือดิ้นรนไป เพราะเห็นว่า ข้อที่ยึดถือไว้นั้นเป็นสุข ในทางปฏิบัติ จำต้องกลับไปเห็นตรงกันข้ามกับความเป็นจริงว่า เป็นทุกข์ เห็นดังนี้ เป็นเหตุดับความดิ้นรนของใจ ปล่อยวางความยึดถือ เป็นฝ่ายสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ซึ่งเป็นมรรคองค์ที่หนึ่ง มรรคองค์นอกนี้เป็นเครื่องอบรมส่งเสริมให้รวบรวมเข้าเป็นกำลังกาย จิตใจ และปัญญา จนเป็นมัคคสมังคีในที่สุด กล่าวโดยย่อ “เมื่อเห็นทุกข์ จักเป็นสุข เมื่อเห็นสุข จักเป็นทุกข์” มีคำเทียบว่า “ไฝ่ร้อน จะนอนเย็น ไฝ่เย็น จะเข็ญใจ” ดังนี้ เหตุฉะนี้ ผู้ปรารถนาสุขจึงควรสำเนียกวิธีหลบทุกข์ด้วยการอบรมปัญญาให้เห็นสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นสุขนั้นแลว่า เป็นทุกข์ตามเป็นจริง แล้วจักเป็นสุขตามแต่จะเห็นได้เพียงไร เพราะทุกข์อันเกิดที่ใจนั้น ก็ดับไปที่ใจนั้นเอง