สวัสดีค่ะ เราเป็นสมาชิกใหม่ของพันทิป เข้ามาอ่านประจำแต่ไม่เคยเป็นสมาชิก วันนี้อยากเล่าประสบการณ์ตัวเองที่อาจจะเป็นกำลังใจสำหรับคนที่อยากมีลูก หรือต้องเจ็บตัวเพราะการตั้งท้อง รวมถึงนำเอาอาการที่เราเคยเป็นไปสังเกตตัวเองดูนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้หญิงหลายๆคนนะคะ
//แท้งลูก 2556// (ท้องครั้งที่1)
อาการ – ท้องได้ 11 สัปดาห์ มีเลือดออกเป็นสีน้ำตาลเล็กน้อย ไม่ปวดท้อง อาการแพ้ท้องยังคงมีอยู่
- พบหมอครั้งแรกที่ ร.พ. เอกชนแห่งหนึ่งที่หาดใหญ่ (ตอนนั้นทำงานที่สงขลา) คุณหมอซาวด์ดูพบว่าน้องไม่มีสัญญาณชีพแล้ว หมอจึงสั่งขูดมดลูกทันที (ตรงนี้อยากเตือนไว้เป็นอุทาหรว่า คุณควรหา second opinion เพราะอาจมีวิธีที่ไม่ต้องขูดมดลูก อย่าเชื่อหมอแค่คนเดียว) การขูดมดลูกครั้งนี้ใช้ยาสลบ นอนโรงพยาบาล 2 คืน สภาพจิตใจย่ำแย่มาก เสียใจมาก หลังจากออก ร.พ.แล้วก็เดินทางกลับบ้านเกิดที่โคราชเพื่อพักฟื้นร่างกาย
- พบหมอครั้งที่ 2 ที่ ร.พ. เอกชนแห่งหนึ่งที่โคราช เนื่องจากมีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอยและปวดท้องร่วมด้วย หมอซาวด์แล้วพบว่า “ขูดมดลูกไม่หมด” ต้องรักษาด้วยการขูดมดลูกครั้งที่ 2 โดยขูดสด เรียกได้ว่าเจ็บที่สุดในชีวิต ครั้งนี้ไม่ต้องนอน ร.พ. แต่ระบมอยู่หลายวัน
+++ถ้าใครเป็นแบบนี้ อย่าลืมหาหมอที่อื่นร่วมด้วย อาจมีวิธีการรักษาที่ไม่ต้องเจ็บตัว มดลูกไม่บอบช้ำ+++
//ท้องนอกมดลูกครั้งแรก 2557// (ท้องครั้งที่2)
อาการ - ตรวจพบว่าท้อง (2 ขีด) แต่ประจำเดือนมา รอให้ประจำเดือนหมดจึงตรวจซ้ำ ก็ยังคงพบ 2 ขีดอยู่
- พบหมอครั้งแรกอายุครรภ์ประมาณ 5 สัปดาห์ (คลินิกแถวๆสัตหีบ) คุณหมอซาวด์ผ่านหน้าท้อง ไม่พบถุงการตั้งครรภ์ หมอว่ายังเล็กมากยังไม่เห็นและไม่มีเครื่องมือซาวด์ผ่านช่องคลอด
- พบหมอครั้งที่ 2 ที่ ร.พ. แถวๆถ.บางนาตราด เช็คค่าฮอร์โมน b-HCG 2ครั้งห่างกัน 48 ช.ม.แล้วนำค่ามาเปรียบเทียบกัน พบว่าไม่ปกติคือค่าฮอร์โมนขยับขึ้นไม่ถึง 66% ซาวด์ยังไม่เจอลูก แต่หมอวินิจฉัยว่าน่าจะท้องนอกมดลูก "ต้องผ่าดู" แต่ไม่แน่ใจใครจะกล้า "ผ่าดู" ละคะ เปลี่ยน ร.พ. ด่วนๆ
- พบหมอครั้งที่ 3 ร.พ. ราฯ ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ คือต้องตรวจค่า b-HCG 2 ครั้งห่างกัน 48 ช.ม. ปรากฎว่าเหมือนเดิม ขึ้นไม่ปกติ หมอพยายามซาวด์ พบว่ามีน้ำในช่องท้องฝั่งขวา และเจอก้อนอยู่ที่ปลายท่อนำไข่ น้ำที่เห็นในช่องท้องวิเคราะห์ดูแล้วคือ "เลือด" หมอสรุปชัดเจนว่า ท้องนอกมดลูกซึ่งไปฝังตัวอยู่ที่ปลายท่อนำไข่ฝั่งขวาและเริ่มปริแตกแล้ว ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน เพื่อที่จะเอาท่อนำไข่ฝั่งขวาที่เค้าไปฝังตัวอยู่ออก ไปหาหมอเช้า-ผ่าบ่ายกันเลยทีเดียว หมอเลือกใช้วิธีผ่าส่องกล้อง แผลเล็ก หายเร็ว เสียเลือดน้อยมาก นอน 1 คืน เช้ามากลับบ้านได้ เดินได้ปกติ แต่ต้องพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ สภาพจิตใจแย่กว่าครั้งที่แท้ง แต่ทำใจได้เร็วขึ้นนิดนึง
**ตัวเล็กประมาณเกือบ 10 สัปดาห์ เค้าโตมากแล้วและท่อนำไข่เริ่มปริแตก จึงต้องผ่าออก(รังไข่ยังอยู่) เหลือท่อนำไข่ข้างเดียว**
// สำเร็จ ได้ลูกชาย 2558 // (ท้องครั้งที่ 3)
ท้องนี้ พอทราบว่าท้องก็รีบไปตรวจฮอร์โมน b-HCG เพราะคุณหมอเตือนไว้คราวที่แล้วว่าเราต้องรีบเช็ค เนื่องจากเคยท้องนอกมดลูกมาก่อน ปรากฎว่าปกติฮอร์โมนขึ้นดี ตั้งใจคลอดธรรมชาติแต่พอครบ 40 สัปดาห์หัวเค้าก็ยังไม่ลงมาที่อุ้งเชิงกราน (กลับหัวแล้วนะคะ แต่ยังลอยสูง) หมอแจ้งว่าต้องผ่าแล้วเนื่องจากรกเริ่มเสื่อมมีจุดแคลเซี่ยมเกาะที่รกแล้ว ถ้าทิ้งไว้ลูกอาจจะถ่ายขี้เทาในท้อง อันตราย ก็ได้ลูกชายมาเชยชมตอนนี้อายุ 1 ขวบ 1 เดือนเต็ม เดินได้แล้ว อารมณ์ดี กินเก่ง
// ท้องนอกมดลูกครั้งที่สอง 2559 //(ท้องครั้งที่ 4)
อาการ - ตรวจพบว่าท้องวันที่ 11 พ.ค. มีเลือดออกวันที่ 26 พ.ค.
- พบหมอครั้งแรก ที่ ร.พ.ศิคฯ แถวถนน ศรีนครินทร์ วันที่ 16 พ.ค.และ 18 พ.ค. เพื่อตรวจฮอร์โมน b-HCG เนื่องจากเคยเป็น เราจึงจำเป็นต้องตรวจค่านี้ 48 ช.ม. เพื่อเช็คว่าเค้าฝังตัวปกติหรือไม่ ปรากฎว่า ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น 57% หมอไม่กล้าฟันธงว่าปกติ เพราะไม่ถึง 66% หมอจึงนัดอีกครั้งวันที่ 1 มิ.ย.
- พบหมอครั้งที่ 2 เนื่องจากวันที่ 25 พ.ค. กลางคืนมีเลือดซึมออกมา และเช้าตรู่วันที่ 26 พ.ค. ยังคงออกเยอะอยู่ จึงตัดสินใจไปหาหมอที่ ร.พ. ราฯ เช็คโดยการซาวด์ผ่านช่องคลอดปรากฎว่า "ท้องนอกมดลูก" พบที่ปลายท่อนำไข่ฝั่งซ้าย แต่ยังเล็กมากๆด้วยอายุครรภ์แค่ 6 สัปดาห์ หมอจึงใช้วิธีฉีดยาเคมี เหมือนกับที่เค้ารักษามะเร็ง เพื่อทำให้ตัวอ่อนที่ฝังผิดที่นั่นฝ่อตัวเองโดยไม่ต้องผ่าตัด ตอนที่หมอวิเคราะห์และสอนนักเรียนแพทย์ไปด้วยนั้น ได้ยินว่าข้อจำกัดของการฉีดยาคือ
* ผู้ป่วยต้องไม่เป็นโรคประจำตัวเช่น ตับ ไต ปอด
* ค่า b-HCG ต้องไม่เกิน 1,xxx ( 1,000หรือ 1,500 จำไม่ได้)
* ขนาดของตัวอ่อนต้องไม่เกิน 3-4 cm (ของเรา 2x1 cm)
การรักษา
- 26 พ.ค. ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อตรงสะโพก แอดมิทดูอาการ 1 คืนเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่แพ้ยาหรือ ท่อนำไข่จะไม่ปริ-แตก (ค่าฮอร์โมน 625)
- 27 พ.ค. ออกจากโรงพยาบาล
** 28 พ.ค. มีก้อนหลุดออกมา คุณหมอส่งตรวจ (ยังไม่ได้ผลตรวจ)**
- 30 พ.ค. หมอนัดเพื่อตรวจค่าฮอร์โมน (ค่าฮอร์โมนเหลือ 81)
- 2 มิ.ย. หมอนัดเพื่อตรวจค่าฮอร์โมน (ค่าฮอร์โมนเหลือ 21)
** 3 มิ.ย. มีอาการปวดท้องแทบจะเดินไม่ได้ตอนตี 4 ขอให้แฟนพาไปโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลหายเฉยเลย จึงรอพบหมอ 9 มงเช้า T^T หมออธิบายว่า พอได้รับยาไปแล้วตัวอ่อนฝ่อ ร่างกายจะพยายามขับออก อาการนี้น่าจะเป็นท่อนำไข่บิดตัวเพื่อรีดเอาตัวอ่อนที่ฝ่อแล้วออก เพราะหลังจากหายปวดก็เหมือนอาการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด **
- หมอนัดครั้งถัดไปวันที่ 9 มิ.ย. เพื่อตามค่าฮอร์โมนให้เหลือ 0 จึงจะจบการรักษา
***ท้องนอกมดลูกนี้ยังคงเก็บท่อนำไข่ข้างซ้ายไว้ได้ เพียงแต่โอกาสที่จะท้องนอกมดลูกในท้องหน้ามันสูงมาก เท่านั้นเอง T^T***
++++ยาวหน่อยแต่ขอให้ประสบการณ์ครั้งนี้กับผู้หญิงทุกคน เพื่อสังเกตตัวเอง ขออย่าให้ใครเป็นเหมือนเราเลยค่ะ ขอยกกุศลครั้งนี้ให้ลูก(ที่ฝังตัวผิดที่)ของแม่ ถ้าเรามีบุญสัมพันธ์กันก็ขอให้เราได้พบกันอีกนะลูกรัก++++
ประสบการณ์ แท้ง ท้องนอกมดลูก 2 รอบ
//แท้งลูก 2556// (ท้องครั้งที่1)
อาการ – ท้องได้ 11 สัปดาห์ มีเลือดออกเป็นสีน้ำตาลเล็กน้อย ไม่ปวดท้อง อาการแพ้ท้องยังคงมีอยู่
- พบหมอครั้งแรกที่ ร.พ. เอกชนแห่งหนึ่งที่หาดใหญ่ (ตอนนั้นทำงานที่สงขลา) คุณหมอซาวด์ดูพบว่าน้องไม่มีสัญญาณชีพแล้ว หมอจึงสั่งขูดมดลูกทันที (ตรงนี้อยากเตือนไว้เป็นอุทาหรว่า คุณควรหา second opinion เพราะอาจมีวิธีที่ไม่ต้องขูดมดลูก อย่าเชื่อหมอแค่คนเดียว) การขูดมดลูกครั้งนี้ใช้ยาสลบ นอนโรงพยาบาล 2 คืน สภาพจิตใจย่ำแย่มาก เสียใจมาก หลังจากออก ร.พ.แล้วก็เดินทางกลับบ้านเกิดที่โคราชเพื่อพักฟื้นร่างกาย
- พบหมอครั้งที่ 2 ที่ ร.พ. เอกชนแห่งหนึ่งที่โคราช เนื่องจากมีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอยและปวดท้องร่วมด้วย หมอซาวด์แล้วพบว่า “ขูดมดลูกไม่หมด” ต้องรักษาด้วยการขูดมดลูกครั้งที่ 2 โดยขูดสด เรียกได้ว่าเจ็บที่สุดในชีวิต ครั้งนี้ไม่ต้องนอน ร.พ. แต่ระบมอยู่หลายวัน
+++ถ้าใครเป็นแบบนี้ อย่าลืมหาหมอที่อื่นร่วมด้วย อาจมีวิธีการรักษาที่ไม่ต้องเจ็บตัว มดลูกไม่บอบช้ำ+++
//ท้องนอกมดลูกครั้งแรก 2557// (ท้องครั้งที่2)
อาการ - ตรวจพบว่าท้อง (2 ขีด) แต่ประจำเดือนมา รอให้ประจำเดือนหมดจึงตรวจซ้ำ ก็ยังคงพบ 2 ขีดอยู่
- พบหมอครั้งแรกอายุครรภ์ประมาณ 5 สัปดาห์ (คลินิกแถวๆสัตหีบ) คุณหมอซาวด์ผ่านหน้าท้อง ไม่พบถุงการตั้งครรภ์ หมอว่ายังเล็กมากยังไม่เห็นและไม่มีเครื่องมือซาวด์ผ่านช่องคลอด
- พบหมอครั้งที่ 2 ที่ ร.พ. แถวๆถ.บางนาตราด เช็คค่าฮอร์โมน b-HCG 2ครั้งห่างกัน 48 ช.ม.แล้วนำค่ามาเปรียบเทียบกัน พบว่าไม่ปกติคือค่าฮอร์โมนขยับขึ้นไม่ถึง 66% ซาวด์ยังไม่เจอลูก แต่หมอวินิจฉัยว่าน่าจะท้องนอกมดลูก "ต้องผ่าดู" แต่ไม่แน่ใจใครจะกล้า "ผ่าดู" ละคะ เปลี่ยน ร.พ. ด่วนๆ
- พบหมอครั้งที่ 3 ร.พ. ราฯ ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ คือต้องตรวจค่า b-HCG 2 ครั้งห่างกัน 48 ช.ม. ปรากฎว่าเหมือนเดิม ขึ้นไม่ปกติ หมอพยายามซาวด์ พบว่ามีน้ำในช่องท้องฝั่งขวา และเจอก้อนอยู่ที่ปลายท่อนำไข่ น้ำที่เห็นในช่องท้องวิเคราะห์ดูแล้วคือ "เลือด" หมอสรุปชัดเจนว่า ท้องนอกมดลูกซึ่งไปฝังตัวอยู่ที่ปลายท่อนำไข่ฝั่งขวาและเริ่มปริแตกแล้ว ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน เพื่อที่จะเอาท่อนำไข่ฝั่งขวาที่เค้าไปฝังตัวอยู่ออก ไปหาหมอเช้า-ผ่าบ่ายกันเลยทีเดียว หมอเลือกใช้วิธีผ่าส่องกล้อง แผลเล็ก หายเร็ว เสียเลือดน้อยมาก นอน 1 คืน เช้ามากลับบ้านได้ เดินได้ปกติ แต่ต้องพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ สภาพจิตใจแย่กว่าครั้งที่แท้ง แต่ทำใจได้เร็วขึ้นนิดนึง
**ตัวเล็กประมาณเกือบ 10 สัปดาห์ เค้าโตมากแล้วและท่อนำไข่เริ่มปริแตก จึงต้องผ่าออก(รังไข่ยังอยู่) เหลือท่อนำไข่ข้างเดียว**
// สำเร็จ ได้ลูกชาย 2558 // (ท้องครั้งที่ 3)
ท้องนี้ พอทราบว่าท้องก็รีบไปตรวจฮอร์โมน b-HCG เพราะคุณหมอเตือนไว้คราวที่แล้วว่าเราต้องรีบเช็ค เนื่องจากเคยท้องนอกมดลูกมาก่อน ปรากฎว่าปกติฮอร์โมนขึ้นดี ตั้งใจคลอดธรรมชาติแต่พอครบ 40 สัปดาห์หัวเค้าก็ยังไม่ลงมาที่อุ้งเชิงกราน (กลับหัวแล้วนะคะ แต่ยังลอยสูง) หมอแจ้งว่าต้องผ่าแล้วเนื่องจากรกเริ่มเสื่อมมีจุดแคลเซี่ยมเกาะที่รกแล้ว ถ้าทิ้งไว้ลูกอาจจะถ่ายขี้เทาในท้อง อันตราย ก็ได้ลูกชายมาเชยชมตอนนี้อายุ 1 ขวบ 1 เดือนเต็ม เดินได้แล้ว อารมณ์ดี กินเก่ง
// ท้องนอกมดลูกครั้งที่สอง 2559 //(ท้องครั้งที่ 4)
อาการ - ตรวจพบว่าท้องวันที่ 11 พ.ค. มีเลือดออกวันที่ 26 พ.ค.
- พบหมอครั้งแรก ที่ ร.พ.ศิคฯ แถวถนน ศรีนครินทร์ วันที่ 16 พ.ค.และ 18 พ.ค. เพื่อตรวจฮอร์โมน b-HCG เนื่องจากเคยเป็น เราจึงจำเป็นต้องตรวจค่านี้ 48 ช.ม. เพื่อเช็คว่าเค้าฝังตัวปกติหรือไม่ ปรากฎว่า ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น 57% หมอไม่กล้าฟันธงว่าปกติ เพราะไม่ถึง 66% หมอจึงนัดอีกครั้งวันที่ 1 มิ.ย.
- พบหมอครั้งที่ 2 เนื่องจากวันที่ 25 พ.ค. กลางคืนมีเลือดซึมออกมา และเช้าตรู่วันที่ 26 พ.ค. ยังคงออกเยอะอยู่ จึงตัดสินใจไปหาหมอที่ ร.พ. ราฯ เช็คโดยการซาวด์ผ่านช่องคลอดปรากฎว่า "ท้องนอกมดลูก" พบที่ปลายท่อนำไข่ฝั่งซ้าย แต่ยังเล็กมากๆด้วยอายุครรภ์แค่ 6 สัปดาห์ หมอจึงใช้วิธีฉีดยาเคมี เหมือนกับที่เค้ารักษามะเร็ง เพื่อทำให้ตัวอ่อนที่ฝังผิดที่นั่นฝ่อตัวเองโดยไม่ต้องผ่าตัด ตอนที่หมอวิเคราะห์และสอนนักเรียนแพทย์ไปด้วยนั้น ได้ยินว่าข้อจำกัดของการฉีดยาคือ
* ผู้ป่วยต้องไม่เป็นโรคประจำตัวเช่น ตับ ไต ปอด
* ค่า b-HCG ต้องไม่เกิน 1,xxx ( 1,000หรือ 1,500 จำไม่ได้)
* ขนาดของตัวอ่อนต้องไม่เกิน 3-4 cm (ของเรา 2x1 cm)
การรักษา
- 26 พ.ค. ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อตรงสะโพก แอดมิทดูอาการ 1 คืนเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่แพ้ยาหรือ ท่อนำไข่จะไม่ปริ-แตก (ค่าฮอร์โมน 625)
- 27 พ.ค. ออกจากโรงพยาบาล
** 28 พ.ค. มีก้อนหลุดออกมา คุณหมอส่งตรวจ (ยังไม่ได้ผลตรวจ)**
- 30 พ.ค. หมอนัดเพื่อตรวจค่าฮอร์โมน (ค่าฮอร์โมนเหลือ 81)
- 2 มิ.ย. หมอนัดเพื่อตรวจค่าฮอร์โมน (ค่าฮอร์โมนเหลือ 21)
** 3 มิ.ย. มีอาการปวดท้องแทบจะเดินไม่ได้ตอนตี 4 ขอให้แฟนพาไปโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลหายเฉยเลย จึงรอพบหมอ 9 มงเช้า T^T หมออธิบายว่า พอได้รับยาไปแล้วตัวอ่อนฝ่อ ร่างกายจะพยายามขับออก อาการนี้น่าจะเป็นท่อนำไข่บิดตัวเพื่อรีดเอาตัวอ่อนที่ฝ่อแล้วออก เพราะหลังจากหายปวดก็เหมือนอาการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด **
- หมอนัดครั้งถัดไปวันที่ 9 มิ.ย. เพื่อตามค่าฮอร์โมนให้เหลือ 0 จึงจะจบการรักษา
***ท้องนอกมดลูกนี้ยังคงเก็บท่อนำไข่ข้างซ้ายไว้ได้ เพียงแต่โอกาสที่จะท้องนอกมดลูกในท้องหน้ามันสูงมาก เท่านั้นเอง T^T***
++++ยาวหน่อยแต่ขอให้ประสบการณ์ครั้งนี้กับผู้หญิงทุกคน เพื่อสังเกตตัวเอง ขออย่าให้ใครเป็นเหมือนเราเลยค่ะ ขอยกกุศลครั้งนี้ให้ลูก(ที่ฝังตัวผิดที่)ของแม่ ถ้าเรามีบุญสัมพันธ์กันก็ขอให้เราได้พบกันอีกนะลูกรัก++++