If Cats Disappeared from the World (2016) ชีวิตของคนเจนวาย




ไม่ว้าวกับหนังเท่าที่เกร็งตัวไว้เท่าไหร่ อาจเพราะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรใหม่ด้วยก็ส่วนหนึ่ง รวมถึงช่วงแรกของหนังที่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงเบื่อได้ขนาดนั้น แต่หนังมันมีองค์ประกอบแทบทุกอย่างให้อบอุ่นและซึ้งไปกับมัน ไม่ว่าจะเป็นโทนสี สายฝน แมว หรือถ้าส่วนตัวหน่อยคือความสันโดษของคน แต่เราก็ไม่ได้อินกับมันมากเท่าที่คิดไว้ทั้งที่กะไว้แล้วว่าหนังมันน่าจะ "สัมผัส" กับคนแบบเรามากๆ

เรื่องของบุรุษไปรษณีย์หนุ่มที่พบว่าเขากำลังป่วยหนักใกล้ตาย และจำเป็นต้องดิ้นรนมีชีวิตอยู่ไปวันต่อวันกับปีศาจลึกลับ (ที่หน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะ) โดยการแลกของสำคัญในชีวิตเขาเองกับเวลาอีก 1 วันเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ



การสูญหายไปของสิ่งของแต่ละสิ่งเชื่อมโยงชายหนุ่มสู่ความสัมพันธ์ในชีวิต เราพบว่าเขาคือคนสันโดษ อยู่ตัวคนเดียวกับแมว มีกิจกรรมแบบปัจเจก ไม่มีสัมพันธ์กับใครเป็นเรื่องเป็นราว แต่เป็นคนสุภาพและอัธยาศัยดี เป็นเสมือนตัวแทนของคนญี่ปุ่นในยุคใหม่ซึ่งสันโดษตัวเองออกมาจากสังคม (ถึงมีหนังพล็อตแบบนี้ออกมา) และความสันโดษนี่เองที่ขับให้ความรู้สึกใจหายเมื่อความตายหายใจรดต้นคอรุนแรงมากขึ้นว่า หากเราตายไป จะมีคนคิดถึงไหม

หรืออีกนัยหนึ่ง-เรามีความหมายกับใครบ้างหรือไม่ในโลกแห่งความสันโดษนี้

เหล่านี้คือวิธีคิดแบบคนเจนวาย ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไล่ลงมาจากยุคเบบี้บูมและเจนเอ็กซ์ เป็นคนรุ่นที่เริ่มตัดขาดจากคนอื่น อยู่กับตัวเอง และเห็นความสำคัญของตัวเองในฐานะปัจเจกมากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะหน่วยหนึ่งขององค์กรหรือประเทศ

พ้นไปจากนี้ อีกหนึ่งแนวคิดที่ปรากฏในเรื่องซึ่งฟ้องชัดถึงความเป็นคนเจนวายมากๆ คือการพยายามจะใช้ชีวิตให้เต็มที่เพื่อจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง อันนี้ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่ามันเป็นวิธีคิดที่เพิ่งเกิดมาไม่นาน และเป็นวิธีคิดซึ่งถูกปลูกฝังอยู่ในคนรุ่นหลังๆ นี่เองจากการปลดตัวเองออกจากการเป็นหนึ่งหน่วยเล็กๆ ของระบบขนาดใหญ่




ตอนที่ดูอดคิดถึงเรื่อง Ikiru (1952) ไม่ได้ ในแง่ที่ว่าตัวเอกสำนึกรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเดินไปสู่ความตายด้วยระยะเวลาอันสั้นกว่าที่คิด นำมาสู่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของชีวิต-ซึ่งก็เพียงแต่ให้อารมณ์คนละแบบ ขณะที่ Ikiru พูดถึงชีวิตซึ่งทำคุณประโยชน์ให้แก่คนอื่น If Cats Disappeared from the World กลับพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งเชื่อมโยงตัวเรากับคนอื่นมากกว่า แม้ว่าอีกด้าน มันจะพูดถึงสิ่งที่เราทำเพื่อคนอื่นอยู่ด้วยก็ตามที

น่าเสียดายที่หนังถ่วงน้ำหนักระหว่างความสัมพันธ์ของคนรัก เพื่อน ชีวิต และครอบครัวได้ไม่ดีพอ จังหวะของหนังเลยแกว่งไปบ้าง ซึ่งมันส่งผลต่ออารมณ์คนดูประมาณหนึ่ง แต่ชอบที่หนังเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกชาย ความเป็นเพศชายในสายตาของคนรักและครอบครัว




เราอาจจะเห็นว่า พระเอกคิดว่าพ่อของเขาไม่ใช่ผู้นำครอบครัวที่ดีนัก เมินเฉย และบางทีก็ไม่ทำ "อะไร" ที่จะเกิดประโยชน์ในสายตาของคนเป็นลูก (ขณะที่แม่ดูจะอุทิศทั้งชีวิตให้ผู้อื่นอยู่เสมอ) และภายใต้ความสุภาพของพระเอก นางเอกอาจไม่เห็นความเป็นผู้นำ ความไม่แข็งขันหรือการใช้ชีวิตที่ควรจะเป็นจากพระเอกเช่นกัน

แม้สิ่งที่หนังเล่าจะไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่มันก็เรียกน้ำตาได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะขณะที่พาร์ทความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอกทำให้เราเนือยๆ ถึงขั้นเบื่อ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับเพื่อนนักดูหนังกลับสัมผัสเรามากกว่า อาจเพราะความสันโดษของคนเพื่อนด้วยที่ขับให้ตัวพระเอกเองก็มีความหมายกับเขา แบบที่เขาเองก็มีความหมายกับพระเอกเหมือนกัน โลกของคนสองคนที่อาจไม่ได้มีใครมากนักและมันก็มีกันและกันอยู่เพียงเท่านั้น-แต่ก็เพียงพอแล้วในการจะคบหาใครสักคนเป็นเพื่อน



ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่