ทริปประหยัด :: “ลพบุรี” เมืองลิง เมืองเล็ก เมืองน่ารัก

สวัสดีเพื่อนที่น้องสมาชิกครับ
เมื่อวันที่ 21 - 22 พ.ค. ที่ผ่านมา มีอาการอยากเที่ยว แต่เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินไม่ค่อยเอื้ออำนวย เลยกลายเป็นโจทย์ให้มาหาคำตอบว่าจะไปที่ไหนดีที่จะใช้เงินไม่มาก ก็เลยมาหาข้อมูลที่เที่ยวที่มีรถไฟผ่าน ใช้เวลาจากกรุงเทพฯไม่นาน และเป็นที่ที่เรายังไม่เคยไป สุดท้ายมาลงเอยที่ “ลพบุรี” ซึ่งเราไม่เคยไป และเป็นที่ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง เลยวางแผนไว้คร่าวๆว่าเราจะเดินทางเช้าวันเสาร์ และกลับในวันอาทิตย์ตอนเย็นๆ ส่วนจะไปที่ไหนก็ไปดูเอาดาบหน้า ฮ่าๆๆ ...ว่าแล้วก็เตรียมของเพื่อไปลพบุรีวันเสาร์อาทิตย์นี้ดีกว่า...

…เช้าวันที่ 21 พ.ค. งัดร่างตัวเองจากที่นอนแต่เช้ามืด (ไปทำงานยังไม่ฟิตขนาดนี้ - -‘ ) เพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานีบางเขน (พอดีที่พักอยู่ใกล้สถานีบางเขน) เราถึงสถานีตอน 6.40 น. จัดการซื้อตั๋วรถไฟในราคาคนละ 40 บาท(จริงๆ รถไฟฟรีมีนะครับ แต่วันที่เราเดินทางรถฟรีไม่วิ่ง...) ตั๋วที่ได้เป็นตั๋วยืน นั่นหมายความว่า ขึ้นรถไฟ ที่นั่งว่างตรงไหนก็เลือกเอาเลยนะจ๊ะ (แต่ถ้ามีคนจองที่นั่งเราก็ต้องให้สิทธิคนที่จองได้นั่งนะครับ) พี่คนขายตั๋วบอกว่ารถจะมาถึงประมาณ 7.30น.

หลังจากที่ซื้อตั๋วรถไฟแล้ว เราก็นั่งซัดข้าวเหนียวหมูทอดเจียงฮายกันไม่พูดไม่จา ตาก็เหล่ๆไปดูว่ารถไฟขบวนของเรามาหรือยัง


...เวลาที่นาฬิกาบอกเวลา 7.30น. รถไฟก็มาถึงสถานี เราก็ปรี่ขึ้นรถไฟหาที่พักพิงก้น เตรียมตัวมุ่งหน้าสู่จังหวัดลพบุรีกัน

…รถไฟออกแล้ว เรานั่งดูนู่นนี่ข้างทางไปกันเรื่อยๆ งีบบ้าง ตื่นบ้าง ถ่ายรูปบ้าง ยิ่งออกห่างจากเมืองหลวงมากเท่าไหร่ อาคารสูงใหญ่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นทุ่งหญ้า ทุ่งนา หนองน้ำมากขึ้นตามระยะทางที่ห่างจากกรุงเทพฯ



ประมาณ 9.40น. และแล้วก็ถึงเสียที จังหวัดลพบุรี

เรานัดน้องสองคนที่อยู่ลพบุรี มาเป็นเจ้าถิ่นนำทางในการเที่ยววันแรก ก่อนที่เราจะเที่ยว น้องก็พาไปที่พักที่เราจะอยู่คืนนี้กันก่อน เราพักกันที่ห้องพักแถวๆโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช (เอาจริงๆที่ที่มาพักมันออกจะไกลจากจุดเที่ยวในเมืองไปหน่อย ถ้าให้แนะนำ เราคิดว่าหาที่พักแถวๆสถานีรถไฟ น่าจะเที่ยวได้สะดวกขึ้นครับ) พาหนะในการเดินทางของเราก็จะใช้สองแถวกับรถเมล์หวานเย็นคันเล็กเป็นหลักครับ

หลังจากที่จัดการเรื่องที่พักแล้ว น้องเจ้าถิ่นสองคนบอกเราว่าจะพาเราไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ในวันแรก และก่อนที่จะเดินทางออกจากเมือง ก็ต้องเติมพลังมื้อเที่ยงกันก่อน น้องๆเลยแนะนำเราไปกินก๋วยเตี๋ยว “ล้วน” อยู่ใกล้ๆบขส. ซึ่งเราจะต้องขึ้นรถไปเขื่อนป่าสักที่บขส.นี่แหละ

หลักฐานการันตีความอร่อยและชื่อเสียงของร้าน

ด้วยแรงแห่งความหิว ผมสั่งเส้นเล็กเนื้อ+ลูกชิ้น มา 1 ชาม และแรงแห่งความหิวทำให้ภาพสองภาพเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน

ชามแรกหมดไป รสชาติดีมาก ติดใจในความอร่อยของลูกชิ้นเนื้อทำเองของร้าน เลยจัดการสั่งลูกชิ้นเนื้อเปล่าๆมาอีก 1 ชาม นั่งจ้วงเข้าปากคนเดียวอย่างไม่เกรงใจผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น ฮ่าๆ (มันอร่อยจริงๆนะ ใครมาลพบุรีและชอบกินก๋วยเตี๋ยว เราขอแนะนำร้านนี้เลยครับ)

หลังจากอื่มจนอืดกับก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว ก็มาที่ท่ารถบขส. เพื่อขึ้นรถเมล์หวานเย็นคันนี้ไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นรถเมล์สาย ลพบุรี วังม่วง สนนราคาอยู่ที่คนละ 33 บาท

เริ่มเดินทางภาคบ่าย...

…หลังจากรถออกจากบขส.ประมาณเกือบๆ 2 ชม. เราก็ลงรถ เดินมาอีกซักหน่อยก็ถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แล้ววววว

เดินเข้าไปข้างในเราจะเจอทางรถไฟเก่าๆพร้อมกับป้ายสถานีมะนาวหวาน จากข้อมูลที่เรารู้เล็กๆน้อยๆ เส้นทางนี้มีมาก่อนที่เขื่อนป่าสักฯจะสร้างขึ้น พอมีเขื่อน เส้นทางสายนี้จึงถูกยกเลิกไป

เข้ามาข้างในก็มีของขายเล็กที่ระลึกและของกินเล็กๆน้อยๆ เราก็เดินมุ่งมาที่ถนนบนสันเขื่อนชมวิวทิวทัศน์กัน


ที่เขื่อนมีรถลากนำเที่ยวชมเขื่อน หากใครสนใจก็ใช้บริการได้นะครับ (แต่เราไม่ได้นั่งนะครับ เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก และต้องเดินกลับออกมารอรถเมล์หวานเย็นก่อน 16.30น.)




ดูนาฬิกา ใกล้ได้เวลาที่รถจะมาแล้ว เราก็รีบเดินออกจากเขื่อนไปที่จุดขึ้นรถเมล์

ถึงที่รอรถเมล์แล้ว...

…16.30น. มีรถเมล์มา แต่เรื่องผิดคาดก็เกิดขึ้น เมื่อคนบนรถเมล์ที่ผ่านมาโบกมือบ๊ายบายเราแล้วผ่านไปโดยไม่ได้รับเราขึ้นรถ ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดเหมือนกัน แล้วเราก็รอ รอ และรอตรงนี้จนถึงประมาณ 17.00น. ก็ยังไม่มีวี่แววรถคันไหนจะพาเรากลับเข้าเมือง ...เราก็เริ่มใจเสีย จะกลับยังไงดี และแล้วก็มีผู้ชายลึกลับขับมอเตอร์ไซค์มาถามว่าจะไปไหน รอรถเข้าเมืองหรอ ...รถเมล์มันหมดแล้ว จ้างพี่ไปส่งมั้ย? พี่รับจ้าง หน้าตาพี่ผู้ชายเขาก็ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่(ทั้งที่หน้าตาผมไม่น่าไว้ใจกว่านะ ฮ่าๆ) แต่ด้วยความที่ทางเลือกของเราขณะนั้นเหลือแค่พี่ผู้ชายคนนี้แล้ว เราเลยตกลงที่จะจ้างพี่เขาให้ขับรถไปส่งในเมืองลพบุรี จากเขื่อนป่าสักฯ ด้วยราคา 500 บาท ...กลับในเมืองกันดีกว่า... จากการพูดคุยกับพี่คนที่มาส่ง ก็ทำให้สบายใจมากขึ้น พี่เขาเป็นชาวบ้านที่แถวเขื่อน เราก็เลยถือโอกาสพูดคุยถามไถ่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ เรื่องเขื่อน และอีกหลายๆเรื่องที่เราไม่มีทางรู้เลยหากไม่ได้มาพูดคุยกับคนพื้นที่จริงๆ เป็นการผิดคาดที่ได้ความรู้สึกดีๆกลับมา ยิ้ม

ประมาณ 18.15น. กลับถึงที่พัก เราก็อาบน้ำแล้วก็ออกมาหาอะไรกินแถวๆโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช มื้อเย็นของเราก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่า ผัดกะเพราหมูกรอบ ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ และข้าวสวยร้อนๆครับ ราคาค่าข้าวที่เห็นในรูปรวมทั้งหมด 125 บาทครับ ถือว่าไม่แพงเลยครับ

หลังจากกินข้าวกันแล้ว ก็ได้เวลาพักร่างเสียที เดินทั้งวันจนจะจำไม่ได้ขาไหนซ้ายขวาแล้ว ฮ่าๆ วันต่อไปเราจะเที่ยวในเมืองกันแล้ว....
(ติดตามวันที่  2 กันต่อด้านล่างนะคร้าบ)
**แก้ไขคำผิดครับ**
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่