(รีวิว OM-1n
https://pantip.com/topic/35169964)
(รีวิว#3 OM-10
https://pantip.com/topic/36507413)
QR Code?

"ถึงท่านผู้ครอบครอง OM-2
OM-2 คือกล้อง 35mm single lens reflex ที่นำระบบสุดล้ำอย่าง TTL Direct Light Metering System
มาใช้ในการสั่งงานอิเล็คทรอนิคชัตเตอร์โดยอัตโนมัติ เพื่อความแม่นยำในการวัดแสงและคุมความเร็วชัตเตอร์
ได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งสามารถปรับให้เป็นระบบแมนนวลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
OM-2 ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับคำว่า เชื่อถือได้, เอนกประสงค์, เบาพกพาสะดวก
สู่โลกของนักถ่ายภาพยุคใหม่ที่โหยหาสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นตากล้องมือโปรหรือมือสมัครเล่น,
นักสร้างสรรค์ภาพหรือนักวิทยาศาสตร์.........."
ย่อหน้าที่1 จาก รองปกหน้า Olympus OM-2 Instructions Manual
สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งกับผู้หลงใหลในอุปกรณ์สุดล้ำ.....เมื่อ40ปีที่แล้วอย่างผม
วันนี้จะขอนำท่านมาร่วมพิสูจน์คำโปรยของเจ้ากล้องตัวนี้ ว่าจะเป็นเพียงคำโอ้อวดสรรพคุณหรือไม่
ขอเริ่มด้วยประวัติและสเปคกล้องนะครับ
1.ประวัติ
1974 : 2 ปีหลังการเปิดตัวรุ่น OM-1 ด้วยทีมออกแบบชุดเดิมที่มี Mr.Yoshihisa Maitani เป็นหัวหน้าทีม
กล้องรหัส OM-2 ได้เผยตัวครั้งแรกในงาน Photokina ซึ่งเป็นงานกล้องประจำปีระดับโลก
1975 - 1978 : OM-2 ออกวางจำหน่าย
1979 : ปรับปรุงและพัฒนาเพิ่มจาก OM-2 เดิม เช่น ก้านขึ้นฟิล์มแบบมน ไม่บาดนิ้ว, รองรับฝาหลัง Recordata Back, ใช้ Hot Shoe4
ที่รองรับ X-sync flash บอกสถานะและการทำงานของแฟลชได้ใน view finder เลย ใช้ชื่อรหัส OM-2n (ลอกมาจากกระทู้ที่แล้ว
เพราะ 1n และ 2n ถูกอัพเกรดเหมือนกันเป๊ะ และออกวางจำหน่ายพร้อมกัน)
2.ข้อมูลกล้องโดยละเอียด
(ส่วนที่ไม่เหมือน 1n จะใส่ **ไว้ข้างหน้า)
ระบบ : Olympus OM
**ชนิดกล้อง : 35mm Single Lens Reflex with automatic exposure control electronic focal plane shutter
ขนาดฟิล์ม : 24mm x 36mm (ฟิล์ม 135 ที่แพร่หลายที่สุดนี่แหละ ม้วนนึงได้ 36 รูป)
เมาท์เลนส์ : Olympus OM
**ชัตเตอร์ : ม่านชัตเตอร์ทำจากผ้า วิ่งตามระนาบฟิล์ม ความเร็วในโหมด Manual มี B, 1 วินาที ถึง 1/1,000 วินาที
ในโหมด Auto จาก 120 วินาที ถึง 1/1,000 วินาที
ตั้งเวลาถ่าย : ก้านโยกระบบลาน นับถอยหลังได้ประมาณ 4-12 วินาที
ระบบวัดแสงโหมด Manual : Highly sensitive CdS (Cadmium Sulfide) cell (เซลล์ไวแสงที่ใช้กันสมัยนั้น) เป็นคู่อยู่ข้างซ้าย-ขวาช่องมองภาพ
วัดแบบ TTL (Through The Lens) แสดงค่าแสงเป็นเข็มชี้ในช่องมองภาพ ใช้พลังงานจากถ่านในการวัดแสง
**ระบบวัดแสงโหมด Auto : TTL Direct Light Measuring System มีเซลล์วัดแสง SBC (Silicon Blue Cells) เพิ่มอีกชุดอยู่หน้าระนาบฟิล์ม
**แบตเตอรี่ : ใช้ถ่าน S-76 / EPX-76 silver oxide กำลังไฟ 1.5v 2 ก้อน (ใช้ SR44 silver oxide ได้เลย)
**ASA : คือ ISO ในสมัยนี้ ตั้งได้ตั้งแต่ 12 - 1600
ช่องมองภาพ : สะท้อนภาพจากเลนส์ผ่านกระจกและ pentaprism แสดงผลถึง 97% ของภาพจริง
กำลังขยายที่ 0.92X ณ ระยะอินฟินิตี้ บนเลนส์ระยะ 50mm
โฟกัสซิ่งสกรีน : Microprism / split image สามารถถอดเปลี่ยนได้ มี13แบบให้เลือกใช้
ขนาด : Body 136mm x 83mm x 50mm **หนัก 520g
: Body + 50mm f/1.8 136mm x 83mm x 81mm **หนัก 690g
(มิติเท่า 1n เป๊ะ แต่หนักกว่า 10g)
3.หน้าตา
มันก็คือ OM-1 อัพเกรดไส้ในใหม่ มีโหมด Aperture Priority เพิ่มขึ้นมา แต่อาศัยอยู่ในร่างเดิม
การออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีนี้ ให้ประโยชน์ทั้งช่วยประหยัดต้นทุนในการผลิต
และยังรักษาน้ำใจผู้บริโภคด้วย เพราะทั้ง 2 รุ่นนี้สามารถแชร์อุปกรณ์เสริมทุกชิ้นร่วมกันได้
ผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนเป็นอีกรุ่นนึงได้ทันที หรือจะซื้อเพิ่มอีกตัวก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก
(ไม่ต้องนั่งหาเคสใหม่ หัวชาร์จใหม่ แบบมือถือสมัยนี้)
หน้าตาโดยรวม วางคู่ OM-1 มองไกลๆนี่แทบแยกไม่ออก

มีชื่อรุ่นอยู่ตรงนี้ OM-2n

อ๊ะๆ ด้านนี้ก็เห็นความต่าง กรอบอะไรหนอ ใช่จอ Touch screen รึเปล่า?

ผ่าง! มันคือที่เสียบหางกล่องฟิล์ม หมดปัญหาการลืมว่าใส่ฟิล์มอะไรไว้ (ถ้าไม่ลืมเด็ดหางกล่องมาใส่นะ)
[CR] รีวิว#2 กล้องฟิล์ม 35mm SLR Olympus OM-2n จะล้ำไปไหน? มี QR code ตั้งแต่ปี 1975?
(รีวิว#3 OM-10 https://pantip.com/topic/36507413)
QR Code?
"ถึงท่านผู้ครอบครอง OM-2
OM-2 คือกล้อง 35mm single lens reflex ที่นำระบบสุดล้ำอย่าง TTL Direct Light Metering System
มาใช้ในการสั่งงานอิเล็คทรอนิคชัตเตอร์โดยอัตโนมัติ เพื่อความแม่นยำในการวัดแสงและคุมความเร็วชัตเตอร์
ได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งสามารถปรับให้เป็นระบบแมนนวลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
OM-2 ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับคำว่า เชื่อถือได้, เอนกประสงค์, เบาพกพาสะดวก
สู่โลกของนักถ่ายภาพยุคใหม่ที่โหยหาสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นตากล้องมือโปรหรือมือสมัครเล่น,
นักสร้างสรรค์ภาพหรือนักวิทยาศาสตร์.........."
ย่อหน้าที่1 จาก รองปกหน้า Olympus OM-2 Instructions Manual
สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งกับผู้หลงใหลในอุปกรณ์สุดล้ำ.....เมื่อ40ปีที่แล้วอย่างผม
วันนี้จะขอนำท่านมาร่วมพิสูจน์คำโปรยของเจ้ากล้องตัวนี้ ว่าจะเป็นเพียงคำโอ้อวดสรรพคุณหรือไม่
ขอเริ่มด้วยประวัติและสเปคกล้องนะครับ
1974 : 2 ปีหลังการเปิดตัวรุ่น OM-1 ด้วยทีมออกแบบชุดเดิมที่มี Mr.Yoshihisa Maitani เป็นหัวหน้าทีม
กล้องรหัส OM-2 ได้เผยตัวครั้งแรกในงาน Photokina ซึ่งเป็นงานกล้องประจำปีระดับโลก
1975 - 1978 : OM-2 ออกวางจำหน่าย
1979 : ปรับปรุงและพัฒนาเพิ่มจาก OM-2 เดิม เช่น ก้านขึ้นฟิล์มแบบมน ไม่บาดนิ้ว, รองรับฝาหลัง Recordata Back, ใช้ Hot Shoe4
ที่รองรับ X-sync flash บอกสถานะและการทำงานของแฟลชได้ใน view finder เลย ใช้ชื่อรหัส OM-2n (ลอกมาจากกระทู้ที่แล้ว
เพราะ 1n และ 2n ถูกอัพเกรดเหมือนกันเป๊ะ และออกวางจำหน่ายพร้อมกัน)
(ส่วนที่ไม่เหมือน 1n จะใส่ **ไว้ข้างหน้า)
ระบบ : Olympus OM
**ชนิดกล้อง : 35mm Single Lens Reflex with automatic exposure control electronic focal plane shutter
ขนาดฟิล์ม : 24mm x 36mm (ฟิล์ม 135 ที่แพร่หลายที่สุดนี่แหละ ม้วนนึงได้ 36 รูป)
เมาท์เลนส์ : Olympus OM
**ชัตเตอร์ : ม่านชัตเตอร์ทำจากผ้า วิ่งตามระนาบฟิล์ม ความเร็วในโหมด Manual มี B, 1 วินาที ถึง 1/1,000 วินาที
ในโหมด Auto จาก 120 วินาที ถึง 1/1,000 วินาที
ตั้งเวลาถ่าย : ก้านโยกระบบลาน นับถอยหลังได้ประมาณ 4-12 วินาที
ระบบวัดแสงโหมด Manual : Highly sensitive CdS (Cadmium Sulfide) cell (เซลล์ไวแสงที่ใช้กันสมัยนั้น) เป็นคู่อยู่ข้างซ้าย-ขวาช่องมองภาพ
วัดแบบ TTL (Through The Lens) แสดงค่าแสงเป็นเข็มชี้ในช่องมองภาพ ใช้พลังงานจากถ่านในการวัดแสง
**ระบบวัดแสงโหมด Auto : TTL Direct Light Measuring System มีเซลล์วัดแสง SBC (Silicon Blue Cells) เพิ่มอีกชุดอยู่หน้าระนาบฟิล์ม
**แบตเตอรี่ : ใช้ถ่าน S-76 / EPX-76 silver oxide กำลังไฟ 1.5v 2 ก้อน (ใช้ SR44 silver oxide ได้เลย)
**ASA : คือ ISO ในสมัยนี้ ตั้งได้ตั้งแต่ 12 - 1600
ช่องมองภาพ : สะท้อนภาพจากเลนส์ผ่านกระจกและ pentaprism แสดงผลถึง 97% ของภาพจริง
กำลังขยายที่ 0.92X ณ ระยะอินฟินิตี้ บนเลนส์ระยะ 50mm
โฟกัสซิ่งสกรีน : Microprism / split image สามารถถอดเปลี่ยนได้ มี13แบบให้เลือกใช้
ขนาด : Body 136mm x 83mm x 50mm **หนัก 520g
: Body + 50mm f/1.8 136mm x 83mm x 81mm **หนัก 690g
(มิติเท่า 1n เป๊ะ แต่หนักกว่า 10g)
มันก็คือ OM-1 อัพเกรดไส้ในใหม่ มีโหมด Aperture Priority เพิ่มขึ้นมา แต่อาศัยอยู่ในร่างเดิม
การออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีนี้ ให้ประโยชน์ทั้งช่วยประหยัดต้นทุนในการผลิต
และยังรักษาน้ำใจผู้บริโภคด้วย เพราะทั้ง 2 รุ่นนี้สามารถแชร์อุปกรณ์เสริมทุกชิ้นร่วมกันได้
ผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนเป็นอีกรุ่นนึงได้ทันที หรือจะซื้อเพิ่มอีกตัวก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก
(ไม่ต้องนั่งหาเคสใหม่ หัวชาร์จใหม่ แบบมือถือสมัยนี้)
หน้าตาโดยรวม วางคู่ OM-1 มองไกลๆนี่แทบแยกไม่ออก
มีชื่อรุ่นอยู่ตรงนี้ OM-2n
อ๊ะๆ ด้านนี้ก็เห็นความต่าง กรอบอะไรหนอ ใช่จอ Touch screen รึเปล่า?
ผ่าง! มันคือที่เสียบหางกล่องฟิล์ม หมดปัญหาการลืมว่าใส่ฟิล์มอะไรไว้ (ถ้าไม่ลืมเด็ดหางกล่องมาใส่นะ)