ออกตัวก่อนว่าผมรีวิวในมุมมองแฟนหนังและคอมมิคส์นะครับ ผมจะรีวิวคร่าวๆแต่ไม่เจาะลึก ทุกคนสามารถรีวิวในุมมองตัวเองได้ ถ้าขี้เกียจอ่าน ก็อ่านแค่เอกลักษณ์กับเสน่ห์ของหนังและรีวิวในมุมของตัวเองเลยก็ได้ครับ แบ่งปันความคิดกันนะ
หากพูดถึงหนังฮีโร่จากMarvel รุ่นบุกเบิกของศตวรรษใหม่คงจะหนีไม่พ้นX-Menแน่นอน หลังจากนั้นMarvelก็เริ่มปล่อยสัญญาเฟรนด์ไชร์ให้กับFox, Colombia และUniversal สมัยนั้นX-Menเป็นตระกูลหนังที่มีเอกลักษณ์เด่นมากเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะประเด็นของสังคม ความขัดแย้ง และจิตวิทยา แต่ก็ยังคงความเป็นหนังแอคชั่นตามแบบฉบับคอมมิคส์อยู่ ถึงรายได้จะไม่เท่าเฟรนไชร์น้องอย่างSpiderman ของแซม ไรมี่ แต่X-Menก็ทิ้งอะไรไว้ให้กับคนดูไว้มากพอสมควร
6ปีผ่านไปก็ถึงคราวปิดไตรภาค ซึ่งตอนนั้นผกก.อาจจะไม่คิดเผื่ออนาคตของเฟรนไชร์เลยปิดฉากแบบเละตุ้มเป๊ะไปหน่อย แต่พอปี2008Marvelได้เริ่มปล่อยหนังฮีโร่อย่างIron Man, Hulk และThe Punisher ออกมารัวๆ ก็ถึงคราวที่Foxจะต้องคิดว่า เฟรนไชร์นี้ยังขายได้อยู่รึเปล่า หลังจากนั้นปล่อย The Origin Wolverine ออกมาเรียกน้ำย่อย โดยให้ป๋าHughมาเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมด้วย แต่ก็ยังไม่เปรี้ยง เพราะรายได้ก็แค่พอทุน Fox เลยต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ และเจ้าตัวก็ทำออกมาดีซะด้วยยย.....
X-Men : First Class (2011) ที่สุดของหนังปฐมบท
"Humanity has always fear that which is different and that fear will turn to hatred"
- Erik Lehnsherr
ถ้าเราคลิ๊กเข้าไปดู Top 10 Best Prequel ไม่ว่าจะเว็บไหนๆ ก็ต้องมีX-Men First Classอยู่แน่นอน100% (ได้อันดับ1จากWatchMojo.com) ก่อนหน้านี้แฟนๆหลายคน(รวมทั้งผม)คงถอดใจกับหนังภาคหลักไปแล้ว แต่สุดท้ายFoxหยิบเฟรนไชร์นี้ขึ้นมาให้เราได้เห็นบนจอเงินอีกครั้งหลังจาก5ปีที่ห่างเหินกันไปนาน
โดยครั้งนี้ตกมาอยู่ในมือผกก.Matthew Vaughn ส่วนBryanและลุงKinbergลงมาเป็นProducerคู่กัน บอกเลยว่าแรกๆก็กังวลว่าจะซ้ำรอยเดิมกับX3 แต่พอผมกลับไปดูผลงานของวอนและเห็นฝีมือกำกับเรื่องLayer cake(2004) แล้วชอบมากกก สำหรับใครที่นึกไม่ออกว่าเค้าถนัดกำกับหนังออกมาแนวไหน ก็ให้นึกถึง Kingsman โดนวอนจะถนัดการทำให้ตัวละครก้าวจากเด๋อไปเด่น จากคนที่ไม่มีอะไรเด่นกลายไปเป็นคนที่ทุกคนยอมรับ ซึ่งก็ตอบโจทย์ความX-Menได้อย่างดี ผมเลยเบาใจเรื่องนี้ไป
พล๊อตเรื่องและตัวละคร
เปิดมากับฉากของErikที่บิดกรงประตูค่ายกักกัน และCharlesที่เจอกับRaven โดยเราจะเห็นความแตกต่างในเรื่องที่มาของทั้ง2คนอย่างชัดเจน เอริคโตมากับความโดดเดี่ยวและความกลัวสุดท้ายเค้าก็เปลี่ยนมันเป็นความชัง ในขณะที่ชาร์ลมีครอบครัว(ที่ห่างเหินไปหน่อย) มีเงิน เค้าโตมาในสังคมที่ดี มีการศึกษา มีคนยอมรับ และเจ้าชู้ไก่โต้งมากด้วย ซึ่งชาร์ลพยายามที่จะทำให้ทุกคนยอมรับความต่างที่เค้าเป็นให้ได้ แต่เอริกคิดว่าชาตินี้ยังไงมนุษย์ก็ไม่ยอมรับ
Stan Lee สร้างMagnetoขึ้นมาไม่ได้เจตนาจะให้เป็นตัวร้าย เพียงแต่ว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่มองเค้าเป็นตัว แต่หลายครั้งทั้งบนจอเงิน จอแก้ว และกระดาษขาว เค้าก็เป็นเหมือนฮีโร่ ที่ยอมสู้เพื่อเผ่าพันธ์ุตัวเอง แต่ถึงกระนั้น IGN (เว็บเกมส์และคอมมิค) จัดให้เค้าเป็นอันดับ1ตัวหลายจากทุกจักรวาลคอมมิคส์
ท่ามกลางความต่างขั้วในด้านความคิด เรเวน คือกระจกเงาของทั้ง2ฝ่าย ชาร์ลพยายามควบคุมเธอไว้ พยายามให้เรเวนเป็นคนอื่น ควบคุมชีวิตประจำวัน เช่น ในขณะที่ชาร์ลกินเบียร์จนเมาปลิ้นได้ แต่ก็กำชับเสมอว่าให้เรเวนกินแต่โค๊ก เพราถ้าเมาเรเวนจะคุมสติไม่ได้แน่นอน ส่วนเอริกพยายามกำชับให้เรเวนเห็นถึงพรสวรรค์ตัวเอง ไม่หลบซ่อน โดยภาคนี้เราได้เห็นมิสทีคในมุมที่น่ารัก มีคอมแพชชั้นที่ดี ถือว่าแปลกใหม่แต่ก็โอเคเลยสำหรับแฟนหนัง
ส่วนในด้านของตัวร้าย ผกก.พยายามพาเราไปแนะนำในมุมมองของคุณหมอมัวร่า เอ๊ย CIAมัวร่า ขอบอกก่อนเลยว่าเซอร์ไพรซ์มากที่มัวร่าบู๊บุ๋นได้ขนาดนี้ เราได้เห็น Shaw ซึ่งเป็นตัวแทนความขัดแย้งของมนุษย์ หลอกใช้ความกลัวของเฮนรี่(นายทหารใหญ่) เป็นตัวจุดชนวนให้2ประเทศมหาอำนาจ(ซึ่งมีนิวเคลียร์) ตีกันเองและใช้นิวเคลียร์ในที่สุด
โดยชาร์ลเป็นคนขยายจุดประสงค์ให้เรารู้ว่า เมื่อ2ประเทศปล่อยนิวเคลียร์แล้ว รังสีจะเร่งยีนส์กลายพันธ์ุ คือหมายความว่า นอกจากสงครามจะทำให้ประเทศมหาอำนวจนอกจากจะพังพินาศกันไปแล้ว ยังเป็นการเพิ่มประชากรกลายพันธ์ุ ซึ่งเป็นทรรศนคิของErikในเวอร์ชั่นที่รุนแรงกว่า และในภาคนี้ ชาร์ลก็ใช้ประโยคขลังว่า "การกลายพันธ์ุ วิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดี่ยว จนมาเป็นสายพันธ์ุเด่นในโลก" เป็นประโยคคุ้นหูที่จีนพูดไว้ก่อนจะปิดเรื่องในX-Men 2 เมื่อ8ปีก่อน
ตัวเดินเรื่องหลักคนสุดท้ายคือแฮงค์ ที่ยังคงหลบซ่อนตัวตนไว้ (ขนาดนายทุนตัวเองก็พึ่งรู้) โตมาในสภาพแวดล้อมคล้ายกับเรเวน เพียงแต่ว่าเรเวนมีมุมมองแบบเอริค และแฮงค์มีมุมมองแบบชาร์ล อีกอย่าง แฮงค์อยู่แต่กับแลบ ใช้สมองมากกว่าร่างกาย เจ้าตัวเลยไม่เห็นค่าของพลังที่เจ้าตัวมี
ภาคนี้เราจะได้เห็นการไล่เก็บนักเรียนใหม่ทีละคน เดินเรื่องสนุกและน่าติดตาม อีกอย่าง นี่ปี60s มนุษย์ยังไม่รู้จักพวกพลายพันธ์ุดี ทำให้ประเด็นการเกลียดกลัวมนุษย์กลายพันธ์ยังไม่เด่นชัดในองค์นี้ แต่จะไปเด่นในองค์สุดท้าย
แม้เอริคกับชาร์ลในระหว่างเดินเรื่องเจ้าตัวมีเป้าหมายเดียวกันคือหยุดShawให้ได้ ซึ่งเรายังเห็นความต่างด้านความคิดของ2คนนี้อยู่ชัดเจน แต่ทั้งคู่ก็พยายามจูนเข้าหากันเสมอ เหมือนฉากหมากรุกที่เอริกขอฆ่าชอว์ แต่ก็เถียงกันจนเอริคจนมุม สุดท้ายเอริคก็ต้องหยุด เพราะไม่อยากทะเลาะกับชาร์ล แต่ในใจก็ยังอยากจะฆ่าShawอยู่
แต่ก็มาถึงจุดๆนึงที่มันไม่ไหวจริงๆ การฆ่าชอว์หยุดสงครามโลกได้ก็จริง แต่มนุษย์ได้เห็นพลังของเอริค ก็เกิดความกลัว และความกลัวก็เปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง ความเกลียดชังนำไปสู่ความขัดแย้ง และสุดท้าย ความขัดแย้งก็นำไปสู่สงคราม ซึ่งก็ถูกแบบที่อีริคว่าไว้ไม่มีผิด จะชาติไหน เผ่าพันธ์ุไหน ความขัดแย้งก็ทำให้เกิดการทะเลาะกันได้
สุดท้ายทั้ง2มหาอำนาจก็ตัดสินใจที่จะกำจัดความกลัวจึงพร้อมใจกันสาดขีปนาวุธแบบไม่ยั้ง สุดท้ายความอีริคก็ฉายแววออกมา อีริคเลือกทีจะตอบโต้แบบเดียวกับที่โดน เลยสาดมิซไซร์กลับ นั่นเป็นการแก้ปัญหาของอีริคเสมอไม่ว่าจะจอเงินหรือกระดาษขาว แต่ชาร์ลพยายามดึงเอริคกลับตลอด เลือกวิธีที่รุนแรงน้อยกว่าและสูญเสียน้อยที่สุด
แม้เอริคคิดว่า ทั้งคู่มีอะไรที่เหมือนกัน แต่ชาร์ลก็ยืนยันว่าไม่ การที่เราเป็นกลายพันธ์ุเหมือนกัน อยู่ด้วยกันได้ ผ่านอะไรมาด้วยกัน ไม่ได้แปลว่าความคิดและทัศนคติเราเหมือนกัน ที่ผ่านมาเรายอมกันเสมอ
เอกลักษณ์ของหนัง
หนังภาคนี้ผูกปมโยงกับสงครามโลก มีการโยงบทเข้ากับความขัดแย้งทางสังคม จิตวิทยา และการเมือง แต่หนังก็ยังไม่ทิ้งความเป็นX-Men ตามแบบฉบับเดิม ฉากดราม่าลึกซึ้งและกินใจมาก ดูกี่รอบก็น้ำตาไหล ฉากแอคชั่นอาจจะยังไม่ถึงแต่เราก็เอ็นจอยเนื้อเรื่องแนวใหม่ ที่บทส่วนใหญ่จะเน้นบรรยายมากกว่าแอคชั่นแต่ก็คิดตามได้ตลอดเรื่อง ไม่รู้สึกว่าโดนยัดเยียดให้เสพแม้แต่น้อยเพราะเนื้อหารองรับคนดู ไม่จำเป็นต้องติ่งคอมมิคส์ก็เข้าใจได้ หนังจบแล้ว เราก็ยังเก็บประเด็นจากหนังมาคิดเสมอ ว่าสรุปแล้วใครถูกใครผิด อารมณ์เดียวกับCivil Warsตอนนี้เลยครับ
เสน่ห์ของหนัง
หนังภาคนี้เป็นที่สุดของโมเมนต์ #ชงเชริคให้วีลแชร์สะท้าน 5555555 สิ่งที่X-Men ไตรภาคแรกไม่มีคือที่มาความสัมพันธ์ของคู่เชริค หนังภาคนี้นำเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ตามสโลแกน "witness the beginning " เราได้เห็นมิตรภาพที่ถึงจะอยู่ด้วยกันแค่เวลาอันสั้น แต่ความสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้นขนาดนี้ และCharlesก็คือเพื่อนคนแรกและคนเดียวของErik เสน่ห์เด่นๆอีกอย่างหนึ่งคือการไล่เก็บนักเรียนใหม่เข้าบ้านทีละคน ซึ่งโมเมนต์แบบนี้ก็ไม่มีให้เราเห็นบนจอเงินมาก่อน ไม่ว่าจะภาคเก่าหรือใหม่กว่า และฉากแต่ละฉากสามารถดึงเรากลับไปยุค60sได้อย่างเต็มที่ ทั้งดนตรี, องค์ประกอบฉาก และfacilitiesต่างๆให้อารมณ์เหมือนเราได้ย้อนเวลาจากทามไลน์อนาคตกลับมาดูจุดเริ่มต้นจริงๆ แต่สำหรับผม มิตรภาพของ2เพื่อนรักคือเหตุผลที่ทำให้อยากหยิบแผ่นขึ้นมาเปิดดูใหม่อีกรอบ

และMichael Fassbender คือ Magneto ในอุดมคติของนักอ่านคอมมิคหลายๆคน การแสดงออก สีหน้า แม้กระทั่งหุ่น และยิ่งไปกว่านั้น การที่เฮียหลามพูดเยอรมันได้เป็นการตอกย้ำความเป็น Erik Lehnsherr ได้อย่างดีเยี่ยม (เจ้าตัวเป็นลูกครึ่งGer-Irish) ส่วนMcavoyมีสำเนียงที่โดดเด่น ชวนฟัง เหมาะมากๆสำหรับนักพูด แต่สิ่งที่ขัดคือเจ้าตัวค่อนข้างใช้กำลังไปหน่อย ขนาดในX-Apocalypseเจ้าตัวรัวหมัดแบบไม่เหลือคราบชาร์ล แต่ผมชอบครับ เป็นมิติใหม่ของตัวละคร 5555555
[CR] รีวิว X-Men The 2nd Trilogy : 10ปีผ่านไป เฟรนด์ไชร์นี้ดีขึ้นหรือแย่ลงยังไง ลองมาคุยกันครับ
หากพูดถึงหนังฮีโร่จากMarvel รุ่นบุกเบิกของศตวรรษใหม่คงจะหนีไม่พ้นX-Menแน่นอน หลังจากนั้นMarvelก็เริ่มปล่อยสัญญาเฟรนด์ไชร์ให้กับFox, Colombia และUniversal สมัยนั้นX-Menเป็นตระกูลหนังที่มีเอกลักษณ์เด่นมากเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะประเด็นของสังคม ความขัดแย้ง และจิตวิทยา แต่ก็ยังคงความเป็นหนังแอคชั่นตามแบบฉบับคอมมิคส์อยู่ ถึงรายได้จะไม่เท่าเฟรนไชร์น้องอย่างSpiderman ของแซม ไรมี่ แต่X-Menก็ทิ้งอะไรไว้ให้กับคนดูไว้มากพอสมควร
6ปีผ่านไปก็ถึงคราวปิดไตรภาค ซึ่งตอนนั้นผกก.อาจจะไม่คิดเผื่ออนาคตของเฟรนไชร์เลยปิดฉากแบบเละตุ้มเป๊ะไปหน่อย แต่พอปี2008Marvelได้เริ่มปล่อยหนังฮีโร่อย่างIron Man, Hulk และThe Punisher ออกมารัวๆ ก็ถึงคราวที่Foxจะต้องคิดว่า เฟรนไชร์นี้ยังขายได้อยู่รึเปล่า หลังจากนั้นปล่อย The Origin Wolverine ออกมาเรียกน้ำย่อย โดยให้ป๋าHughมาเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมด้วย แต่ก็ยังไม่เปรี้ยง เพราะรายได้ก็แค่พอทุน Fox เลยต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ และเจ้าตัวก็ทำออกมาดีซะด้วยยย.....
- Erik Lehnsherr
ถ้าเราคลิ๊กเข้าไปดู Top 10 Best Prequel ไม่ว่าจะเว็บไหนๆ ก็ต้องมีX-Men First Classอยู่แน่นอน100% (ได้อันดับ1จากWatchMojo.com) ก่อนหน้านี้แฟนๆหลายคน(รวมทั้งผม)คงถอดใจกับหนังภาคหลักไปแล้ว แต่สุดท้ายFoxหยิบเฟรนไชร์นี้ขึ้นมาให้เราได้เห็นบนจอเงินอีกครั้งหลังจาก5ปีที่ห่างเหินกันไปนาน
โดยครั้งนี้ตกมาอยู่ในมือผกก.Matthew Vaughn ส่วนBryanและลุงKinbergลงมาเป็นProducerคู่กัน บอกเลยว่าแรกๆก็กังวลว่าจะซ้ำรอยเดิมกับX3 แต่พอผมกลับไปดูผลงานของวอนและเห็นฝีมือกำกับเรื่องLayer cake(2004) แล้วชอบมากกก สำหรับใครที่นึกไม่ออกว่าเค้าถนัดกำกับหนังออกมาแนวไหน ก็ให้นึกถึง Kingsman โดนวอนจะถนัดการทำให้ตัวละครก้าวจากเด๋อไปเด่น จากคนที่ไม่มีอะไรเด่นกลายไปเป็นคนที่ทุกคนยอมรับ ซึ่งก็ตอบโจทย์ความX-Menได้อย่างดี ผมเลยเบาใจเรื่องนี้ไป
พล๊อตเรื่องและตัวละคร
เปิดมากับฉากของErikที่บิดกรงประตูค่ายกักกัน และCharlesที่เจอกับRaven โดยเราจะเห็นความแตกต่างในเรื่องที่มาของทั้ง2คนอย่างชัดเจน เอริคโตมากับความโดดเดี่ยวและความกลัวสุดท้ายเค้าก็เปลี่ยนมันเป็นความชัง ในขณะที่ชาร์ลมีครอบครัว(ที่ห่างเหินไปหน่อย) มีเงิน เค้าโตมาในสังคมที่ดี มีการศึกษา มีคนยอมรับ และเจ้าชู้ไก่โต้งมากด้วย ซึ่งชาร์ลพยายามที่จะทำให้ทุกคนยอมรับความต่างที่เค้าเป็นให้ได้ แต่เอริกคิดว่าชาตินี้ยังไงมนุษย์ก็ไม่ยอมรับ
Stan Lee สร้างMagnetoขึ้นมาไม่ได้เจตนาจะให้เป็นตัวร้าย เพียงแต่ว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่มองเค้าเป็นตัว แต่หลายครั้งทั้งบนจอเงิน จอแก้ว และกระดาษขาว เค้าก็เป็นเหมือนฮีโร่ ที่ยอมสู้เพื่อเผ่าพันธ์ุตัวเอง แต่ถึงกระนั้น IGN (เว็บเกมส์และคอมมิค) จัดให้เค้าเป็นอันดับ1ตัวหลายจากทุกจักรวาลคอมมิคส์
ท่ามกลางความต่างขั้วในด้านความคิด เรเวน คือกระจกเงาของทั้ง2ฝ่าย ชาร์ลพยายามควบคุมเธอไว้ พยายามให้เรเวนเป็นคนอื่น ควบคุมชีวิตประจำวัน เช่น ในขณะที่ชาร์ลกินเบียร์จนเมาปลิ้นได้ แต่ก็กำชับเสมอว่าให้เรเวนกินแต่โค๊ก เพราถ้าเมาเรเวนจะคุมสติไม่ได้แน่นอน ส่วนเอริกพยายามกำชับให้เรเวนเห็นถึงพรสวรรค์ตัวเอง ไม่หลบซ่อน โดยภาคนี้เราได้เห็นมิสทีคในมุมที่น่ารัก มีคอมแพชชั้นที่ดี ถือว่าแปลกใหม่แต่ก็โอเคเลยสำหรับแฟนหนัง
ส่วนในด้านของตัวร้าย ผกก.พยายามพาเราไปแนะนำในมุมมองของคุณหมอมัวร่า เอ๊ย CIAมัวร่า ขอบอกก่อนเลยว่าเซอร์ไพรซ์มากที่มัวร่าบู๊บุ๋นได้ขนาดนี้ เราได้เห็น Shaw ซึ่งเป็นตัวแทนความขัดแย้งของมนุษย์ หลอกใช้ความกลัวของเฮนรี่(นายทหารใหญ่) เป็นตัวจุดชนวนให้2ประเทศมหาอำนาจ(ซึ่งมีนิวเคลียร์) ตีกันเองและใช้นิวเคลียร์ในที่สุด
โดยชาร์ลเป็นคนขยายจุดประสงค์ให้เรารู้ว่า เมื่อ2ประเทศปล่อยนิวเคลียร์แล้ว รังสีจะเร่งยีนส์กลายพันธ์ุ คือหมายความว่า นอกจากสงครามจะทำให้ประเทศมหาอำนวจนอกจากจะพังพินาศกันไปแล้ว ยังเป็นการเพิ่มประชากรกลายพันธ์ุ ซึ่งเป็นทรรศนคิของErikในเวอร์ชั่นที่รุนแรงกว่า และในภาคนี้ ชาร์ลก็ใช้ประโยคขลังว่า "การกลายพันธ์ุ วิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดี่ยว จนมาเป็นสายพันธ์ุเด่นในโลก" เป็นประโยคคุ้นหูที่จีนพูดไว้ก่อนจะปิดเรื่องในX-Men 2 เมื่อ8ปีก่อน
ตัวเดินเรื่องหลักคนสุดท้ายคือแฮงค์ ที่ยังคงหลบซ่อนตัวตนไว้ (ขนาดนายทุนตัวเองก็พึ่งรู้) โตมาในสภาพแวดล้อมคล้ายกับเรเวน เพียงแต่ว่าเรเวนมีมุมมองแบบเอริค และแฮงค์มีมุมมองแบบชาร์ล อีกอย่าง แฮงค์อยู่แต่กับแลบ ใช้สมองมากกว่าร่างกาย เจ้าตัวเลยไม่เห็นค่าของพลังที่เจ้าตัวมี
ภาคนี้เราจะได้เห็นการไล่เก็บนักเรียนใหม่ทีละคน เดินเรื่องสนุกและน่าติดตาม อีกอย่าง นี่ปี60s มนุษย์ยังไม่รู้จักพวกพลายพันธ์ุดี ทำให้ประเด็นการเกลียดกลัวมนุษย์กลายพันธ์ยังไม่เด่นชัดในองค์นี้ แต่จะไปเด่นในองค์สุดท้าย
แม้เอริคกับชาร์ลในระหว่างเดินเรื่องเจ้าตัวมีเป้าหมายเดียวกันคือหยุดShawให้ได้ ซึ่งเรายังเห็นความต่างด้านความคิดของ2คนนี้อยู่ชัดเจน แต่ทั้งคู่ก็พยายามจูนเข้าหากันเสมอ เหมือนฉากหมากรุกที่เอริกขอฆ่าชอว์ แต่ก็เถียงกันจนเอริคจนมุม สุดท้ายเอริคก็ต้องหยุด เพราะไม่อยากทะเลาะกับชาร์ล แต่ในใจก็ยังอยากจะฆ่าShawอยู่
แต่ก็มาถึงจุดๆนึงที่มันไม่ไหวจริงๆ การฆ่าชอว์หยุดสงครามโลกได้ก็จริง แต่มนุษย์ได้เห็นพลังของเอริค ก็เกิดความกลัว และความกลัวก็เปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง ความเกลียดชังนำไปสู่ความขัดแย้ง และสุดท้าย ความขัดแย้งก็นำไปสู่สงคราม ซึ่งก็ถูกแบบที่อีริคว่าไว้ไม่มีผิด จะชาติไหน เผ่าพันธ์ุไหน ความขัดแย้งก็ทำให้เกิดการทะเลาะกันได้
สุดท้ายทั้ง2มหาอำนาจก็ตัดสินใจที่จะกำจัดความกลัวจึงพร้อมใจกันสาดขีปนาวุธแบบไม่ยั้ง สุดท้ายความอีริคก็ฉายแววออกมา อีริคเลือกทีจะตอบโต้แบบเดียวกับที่โดน เลยสาดมิซไซร์กลับ นั่นเป็นการแก้ปัญหาของอีริคเสมอไม่ว่าจะจอเงินหรือกระดาษขาว แต่ชาร์ลพยายามดึงเอริคกลับตลอด เลือกวิธีที่รุนแรงน้อยกว่าและสูญเสียน้อยที่สุด
แม้เอริคคิดว่า ทั้งคู่มีอะไรที่เหมือนกัน แต่ชาร์ลก็ยืนยันว่าไม่ การที่เราเป็นกลายพันธ์ุเหมือนกัน อยู่ด้วยกันได้ ผ่านอะไรมาด้วยกัน ไม่ได้แปลว่าความคิดและทัศนคติเราเหมือนกัน ที่ผ่านมาเรายอมกันเสมอ
เอกลักษณ์ของหนัง
หนังภาคนี้ผูกปมโยงกับสงครามโลก มีการโยงบทเข้ากับความขัดแย้งทางสังคม จิตวิทยา และการเมือง แต่หนังก็ยังไม่ทิ้งความเป็นX-Men ตามแบบฉบับเดิม ฉากดราม่าลึกซึ้งและกินใจมาก ดูกี่รอบก็น้ำตาไหล ฉากแอคชั่นอาจจะยังไม่ถึงแต่เราก็เอ็นจอยเนื้อเรื่องแนวใหม่ ที่บทส่วนใหญ่จะเน้นบรรยายมากกว่าแอคชั่นแต่ก็คิดตามได้ตลอดเรื่อง ไม่รู้สึกว่าโดนยัดเยียดให้เสพแม้แต่น้อยเพราะเนื้อหารองรับคนดู ไม่จำเป็นต้องติ่งคอมมิคส์ก็เข้าใจได้ หนังจบแล้ว เราก็ยังเก็บประเด็นจากหนังมาคิดเสมอ ว่าสรุปแล้วใครถูกใครผิด อารมณ์เดียวกับCivil Warsตอนนี้เลยครับ
เสน่ห์ของหนัง
หนังภาคนี้เป็นที่สุดของโมเมนต์ #ชงเชริคให้วีลแชร์สะท้าน 5555555 สิ่งที่X-Men ไตรภาคแรกไม่มีคือที่มาความสัมพันธ์ของคู่เชริค หนังภาคนี้นำเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ตามสโลแกน "witness the beginning " เราได้เห็นมิตรภาพที่ถึงจะอยู่ด้วยกันแค่เวลาอันสั้น แต่ความสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้นขนาดนี้ และCharlesก็คือเพื่อนคนแรกและคนเดียวของErik เสน่ห์เด่นๆอีกอย่างหนึ่งคือการไล่เก็บนักเรียนใหม่เข้าบ้านทีละคน ซึ่งโมเมนต์แบบนี้ก็ไม่มีให้เราเห็นบนจอเงินมาก่อน ไม่ว่าจะภาคเก่าหรือใหม่กว่า และฉากแต่ละฉากสามารถดึงเรากลับไปยุค60sได้อย่างเต็มที่ ทั้งดนตรี, องค์ประกอบฉาก และfacilitiesต่างๆให้อารมณ์เหมือนเราได้ย้อนเวลาจากทามไลน์อนาคตกลับมาดูจุดเริ่มต้นจริงๆ แต่สำหรับผม มิตรภาพของ2เพื่อนรักคือเหตุผลที่ทำให้อยากหยิบแผ่นขึ้นมาเปิดดูใหม่อีกรอบ
และMichael Fassbender คือ Magneto ในอุดมคติของนักอ่านคอมมิคหลายๆคน การแสดงออก สีหน้า แม้กระทั่งหุ่น และยิ่งไปกว่านั้น การที่เฮียหลามพูดเยอรมันได้เป็นการตอกย้ำความเป็น Erik Lehnsherr ได้อย่างดีเยี่ยม (เจ้าตัวเป็นลูกครึ่งGer-Irish) ส่วนMcavoyมีสำเนียงที่โดดเด่น ชวนฟัง เหมาะมากๆสำหรับนักพูด แต่สิ่งที่ขัดคือเจ้าตัวค่อนข้างใช้กำลังไปหน่อย ขนาดในX-Apocalypseเจ้าตัวรัวหมัดแบบไม่เหลือคราบชาร์ล แต่ผมชอบครับ เป็นมิติใหม่ของตัวละคร 5555555