คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
อยากบอกว่าเราเข้าใจคุณดี และมีคนที่เป็นแบบคุณอีกมาก แต่ในสังคมไทย เมื่อคุณมีคำถามแบบนี้ คุณก็จะได้รับคำตอบแบบข้างบน ซี่งดูเหมือนไม่เข้าใจคุณเลย
ให้คุณบอกตัวเองว่าความรักของพ่อแม่บริสุทธิ์ ไม่มีความคิดที่จะทำร้ายคุณ เป็นความรักที่คุณหาไม่ได้จากผู้อื่นอีก แล้วก็ทำใจ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องกลับมาคิดอีกว่าพ่อแม่เคยบังคับอะไรคุณบ้าง เพราะมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดี สำหรับอนาคต ก็คุยกับท่านเป็นเรื่องๆไป อะไรยอมได้ก็ยอม ยอมไม่ได้ก็อาจทำให้ท่านเสียใจบ้าง ถึงเวลานั้นคุณจะรู้สึกผิด แต่ก็ชั่งน้ำหนักเหตุผลในการตัดสินใจให้ดี ไม่มีใครช่วยคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง
เวลามีคู่ครอง เลือกเองอย่างระมัดระวังและวางแผนอนาคตอย่างรอบคอบ แต่งงานแล้วอย่าอยู่ที่บ้าน เป็นเวลาที่คุณจะได้เป็นอิสระ ใช้สิ่งที่คุณเรียนรู้จากพ่อแม่มาเตือนใจในการสอนลูกของคุณ ให้ถือว่าพ่อแม่คือครูที่คุณควรจะขอบคุณ
ให้คุณบอกตัวเองว่าความรักของพ่อแม่บริสุทธิ์ ไม่มีความคิดที่จะทำร้ายคุณ เป็นความรักที่คุณหาไม่ได้จากผู้อื่นอีก แล้วก็ทำใจ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องกลับมาคิดอีกว่าพ่อแม่เคยบังคับอะไรคุณบ้าง เพราะมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดี สำหรับอนาคต ก็คุยกับท่านเป็นเรื่องๆไป อะไรยอมได้ก็ยอม ยอมไม่ได้ก็อาจทำให้ท่านเสียใจบ้าง ถึงเวลานั้นคุณจะรู้สึกผิด แต่ก็ชั่งน้ำหนักเหตุผลในการตัดสินใจให้ดี ไม่มีใครช่วยคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง
เวลามีคู่ครอง เลือกเองอย่างระมัดระวังและวางแผนอนาคตอย่างรอบคอบ แต่งงานแล้วอย่าอยู่ที่บ้าน เป็นเวลาที่คุณจะได้เป็นอิสระ ใช้สิ่งที่คุณเรียนรู้จากพ่อแม่มาเตือนใจในการสอนลูกของคุณ ให้ถือว่าพ่อแม่คือครูที่คุณควรจะขอบคุณ
แสดงความคิดเห็น
ไม่รู้จะเรียกว่าพ่อแม่รังแกฉันดีไหม
ปัจจุบันผมอายุ 22ปีครับมีพี่ชาย1คนอายุ25ปี เรียนหมอ มีบ้านอยู่ต่างจังหวัด พี่ชายเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้านส่วนตัวผมเองเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ
ไม่ได้เรียนหมอเหมือนพี่ชาย ตั้งแต่เกิดมาแทบไม่เคยอยู่ห่างพ่อแม่เลย ถ้าห่างหน่อยคงจะเป็น
ช่วง ม ปลายม.4ได้อยู่หอประมาณปีนึง แต่เสาร์-อาทิตย์พ่อกับแม่ก็จะมารับกลับบ้านอยู่ดี เวลาเรียนอยากทำกิจกรรม แม่ก็บอกว่าให้ตั้งใจเรียนไปก่อน
พออยู่ม.5ก็ย้ายอยู่บ้านที่ซื้อใหม่ในโรงเรียนจังหวัดที่ผมเรียน พอปีนี้อยากทำกิจกรรมแม่จะบอกเหลืออีกปีเดียวก็จะสอบแล้วนะ ทำเกรดดีๆตั้งใจ
ม.6อยู่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเพราะว่าใกล้สอบเอ็น ก็ต้องเตรียมสอบ แม่ก็บอกว่าเรียนคณะไหนก็ได้แต่ขอ แพทย์ ทันตะ เภสัช ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร พยายามเรียนสิ่งที่แม่บอก แต่ผมก็สอบไม่ติดคณะที่แม่พูด แต่พอโตขึ้นผมก็รู้สึกและเห็นอะไรหลายๆอย่าง
สิ่งที่ผมอยากบอกคือ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมอยากได้มีช่วงเวลาสนุกกับเพื่อนถามว่ามีมั้ย มีแต่น้อยมากครับ เวลาเพื่อนไปเที่ยวกันเราก็อยากไปเที่ยว พอเราบอกพ่อกับแม่ พ่อกับแม่จะค้านเสียงแข็งว่าไม่ให้ไป มันอันตราย พออยู่ปี1เราก็มาเรียนในกรุงเทพ เวลาเที่ยวมันก็มี แต่เวลาเราจะออกไปไหนพอบอกแม่แม่ก็จะเป็นคนที่ยุ่งมากๆ แทบจะโทรตามรอเวลาลูกกลับ ถ้าหากลูกกลับไม่ถึงที่พักก็จะรอและไม่สบายใจ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ช่วงปี2 ปี3 เวลาออกไปไหนผมเลยไม่อยากบอกพ่อแม่ พอช่วงปิดเทอมผมก็จะกลับมาบ้าน แม่ก็จะให้อยู่บ้าน พอไปเที่ยวกับเพื่อนแม่ก็จะไม่ให้ไป หรือถ้าอยากออกไปไหนต้องบอกแม่ แม่ถึงค่อยพาไป ซึ่งผมรู้สึกไม่ดีตรงที่เวลาเรามีแผนงานของเรา ชีวิตของเรา พอเราอยากทำในสิ่งที่ผิดแผนชีวิตของแม่ ทำไมเราถึงทำไม่ได้ ถึงคิดว่าเราเป็นเด็กตลอดเวลา ซึ่งผมอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง เหมือนที่ผ่านมาโดนกำหนดมาโดยตลอด ผมก็รู้นะว่าพ่อกับแม่เป็นห่วง แต่ถ้าขนาดนี้มันเกินไปหน่อยไหมครับ ไม่ให้ผมออกไปไหนเลย รายละเอียดมีอีกค่อนข้างเยอะ ถ้ามีคนอยากฟังต่อผมก็ยินดีเล่าครับ แต่ถ้าไม่มีขอจบไว้เพียงเท่านี้ครับผม ขอบคุณครับ