[CR] พาเที่ยวมัลดีฟ Angaga Island เกาะที่อยากชวนคนไทยมาเที่ยวกัน ราคาไม่แรง

สวัสดีครับ เพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้อยากจะมาชวนเพื่อนๆไปเที่ยวมัลดีฟกันที่เกาะ Angaga หนึ่งในเกาะและรีสอร์ทที่คนไทยไม่ค่อยจะรู้จัก แต่มีความเป็นธรรมชาติและคงไว้ซึงความเป็นมัลดีฟอย่างแท้จริงและราคาไม่แพง



ถ้าเพื่อนๆได้ติดตามหน้าเพจของ agent มัลดีฟในไทยหลายๆเจ้า คงจะเห็นว่าช่วงนี้มีโปรโมชั่นช่วง low season ออกมาจากหลายรีสอร์ท หลายราคา แต่ถ้าพิจารณาไปที่รีสอร์ทที่ราคาไม่แพงมากนัก ช่วงนี้ก็จะมีโปรโมชั่นจาก Thulhagiri Island, Safari Island, และ Angaga Island ในเครือของ Splendid Asia ที่ทำราคามาน่าสนใจมาก

แรกเริ่มเดิมที่กะว่าจะไปลงที่ Thulhagiri Island เพราะถูกที่สุดในราคา 22,000 สำหรับ water villa 3 วัน 2 คืนเท่านั้น แต่เต็มไปจนถึงเดือนสิงหาละครับ เป็นอันจบไป
เลยมานั่งพิจารณาระหว่าง Safari Island กับ Angaga Island ที่ทำราคามาอยู่ที่ 28,000 กับ 26,000 ตามลำดับ เลยตัดสินใจ เห็น Safari Island คนไปเยอะแล้ว ลอง Angaga ไปเลยละกัน ได้นั่ง seaplane ด้วย



เกี่ยวกับ Angaga Island Resort & Spa
-    เป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ในใจกลาง South Ari Atoll เดินทางโดย Seaplane ประมาณ 25-30 นาทีถ้าไม่มีแวะที่ไหน
-    เกาะมีขนาดประมาณ ยาว 320 เมตร กว้าง 160 เมตร เดินประมาณ 10 นาทีก็รอบเกาะแล้ว
-    มีความเป็นธรรมชาติสูง น้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ ทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าเดินได้ทั้งเกาะ เรียกว่าเป็น bare foot resort อย่างแท้จริง
-    เป็นรีสอร์ทระดับ 4 ดาว ไม่ได้เน้นหรูหรามากมาย แต่เข้ากับธรรมชาติ เหมาะแก่การพักผ่อนมากๆ กิจกรรมมีไม่มากนัก จะมีกิจกรรมทางน้ำเป็นหลัก สันทนาการเล็กน้อย กิจกรรมกลางคืนมีเพียง live band ในคืนวันศุกร์เท่านั้น
-    แขกส่วนใหญ่เป็นเยอรมัน สวิส และจีน คนไทยมีมาที่นี่น้อยมาก
-    House Reef ที่นี่มีความสมบูรณ์และอยู่ใกล้ขายหาดมาก บางช่วงประมาณ 7-8 เมตรก็ถึงแล้ว
-    หน้าฝนหรือช่วงมรสุม ลมจะพัดเข้ามาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้

แรกเริ่มว่าจะไปช่วงเดือนกรกฎาคม แต่พิจารณาดูแล้วไปพฤษภานี่เลยละกัน เพราะคิดว่าเป็นช่วงต้นฤดูฝน ดีกว่าไปอยู่กลางฤดูฝน เลยตัดสินใจจองกับทาง Agent รวมทั้งสายการบินศรีลังกาเลยทันที


วันเดินทาง เราไปกับสายการบินศรีลังเที่ยวบิน UL891 ออกเดินทาง 3 ทุ่ม แล้วไปนอนพักที่ Transit Hotel ในสนามบินโคลอมโบ ชื่อ Serenediva เพื่อต่อเครื่องในช่วงเช้าจะได้เที่ยววันแรกได้เต็มวัน สำหรับคนที่เดินทางโดยสายการบินศรีลังกาแล้วมีระยะเวลา transit นานกว่า 8 ชม. สามารถยื่นเรื่องขอห้องพักฟรีได้ ซึ่ง flight นี้ 8 ชั่วโมง 20 นาที เราเลยทำการ request ไปทางสายการบิน แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ ทางสายการบินจัดให้เรานอนอีกโรงแรมนึงนอกสนามบิน ซึ่งต้องเดินทางต่อไปอีก 25 นาที
พอไปถึงสนามบินที่โคลอมโบ ด้วยความเหนื่อย และไม่อยากต้องลุกลี้ลุกลนรีบเดินทางออกมาจากโรงแรมนอกสนามบินในวันรุ่งขึ้น เราเลยตัดสินใจยอมจ่ายค่าที่พักเพื่อให้ได้นอนที่ Serenediva ซึ่งอยู่ในสนามบินเลย ไม่ต้องออกมาจาก ตม. เลยด้วยซ้ำ สนนราคาอยู่ที่ 65 เหรียญต่อ 6 ชั่วโมง


รุ่งขึ้น เราออกเดินทางต่อเพื่อไปยังมาเล่ เครื่องออกตอน 7:20 และถึงที่สนามบินมาเล่ตอน 8:15 ในสภาพอากาศที่ครึ้มเมฆและลมแรง จากนั้นก็เดินไปที่เคาท์เตอร์เบอร์ 15 ของ Splendid Asia ในใจเราเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้น sea plane ละ ไปถึงรีสอร์ทเช้า ไปเดินรอบเกาะ ถ่ายรูป แล้วค่อยเช็คอินตอนบ่าย 2 โมง แต่เราก็พบกับ surprise แรกก่อน

เจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์แจ้งว่า น่าจะมีความผิดพลาดในการสื่อสารซักอย่าง ก็คือเราเป็นแค่คู่เดียวที่จะเดินทางไป Angaga จริงๆต้องบอกว่าเป็นคู่เดียวที่จะเดินทางไปแถบ south ari atoll เลยก็ได้มั้งในช่วงเช้านี้ ซึ่งไม่คุ้มที่ sea plane จะตีเครื่องมารับแค่ 2 คนไป ให้รอไป flight บ่ายแทน (เออ แบบนี้ก็มีด้วย)


เลยต้องไปนั่งแกร่วใน Burger King อยู่เกือบ 2 ชม. แวะออกไปถ่ายรูปที่ท่าเรือบ้าง ซึ่งน้ำใสแจ๋วสีสวยอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาเรียกเราให้ไปเช็คอินที่เคาท์เตอร์ sea plane ของ Trans Maldivian ซึ่งเราต้องนั่งบัสออกจากสนามบินมาอีกประมาณ 5 นาทีเพื่อไปที่ sea plane terminal เพื่อรอเรียกขึ้นเครื่องในอีก 2 ชม.
ทางสายการบินเห็นว่าเราต้องรอนานมากเกือบ 4 ชม. เลยมีให้ voucher ขนมและเครื่องดื่มมาหน่อย ก็ยังดี

สุดท้าย เราได้ออกเดินทางตอน บ่ายโมงครึ่ง โดยเที่ยวบินเราต้องแวะ 3 รีสอร์ท คือ Vilamendhoo, Mirihi, และค่อยมาที่ Angaga


วิวบน sea plane ก็สุดยอด แนะนำว่าให้นั่งด้านซ้ายครับ ถึงจะต้องนั่งคนเดียว แต่ว่าวิวสวยกว่าด้านขวามาก แต่ที่นั่งด้านขวาจะได้เป็นที่นั่งคู่




เครื่องบินแวะลงส่งผู้โดยสารที่ Vilamendhoo เป็นที่แรก ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่ Mihiri แล้วเราก็เจอกับ surprise ที่ 2
กัปตันบอกว่า ตามตารางการบินเค้าจะหยุดพักที่ Mirihi 1 ชั่วโมงก่อนจะไป Angaga เอาล่ะสิครับ เจอดีเลย์ช่วงเช้ามาแล้วยังจะต้องเจอดีเลย์ที่ Mirihi อีก เวลาก็ปาเข้าไปบ่าย 2 แล้ว สุดท้ายกัปตันเลยติดต่อไปที่ Angaga ให้เอา Speed Boat มารับที่ Mirihi แทน โชคดีที่ 2 เกาะนี้อยู่ห่างกันแค่ 5 กิโล แต่ก็ถือเป็นโบนัสเล็กๆเหมือนกัน คือเราได้ขึ้นเกาะ Mirihi เพื่อรอ speed boat มารับ ทำให้เราได้มีเวลาถ่ายรูปรีสอร์ทที่นี่




สุดท้ายประมาณ 20 นาที speed boat ก็มารับเราที่ Mirihi ก่อนจะซิ่งความเร็วสูง (อย่างเสียว) ไปถึง Angaga จนได้ เย้!! ถึงซะที!! ดูนาฬิกา อ้าว บ่าย 3 ซะแล้ว ผิดแผนไปครึ่งวันเลยทีเดียว

เรือมาส่งเราที่ jetty แล้วเราก็ได้เจอกับทะเลสีเทอร์ควอยซ์อย่างแท้จริง สวยมากๆ
ขออธิบายถึงตัวเกาะ Angaga ซักเล็กน้อย รูปนี้ยืมมาจากในเวปนะครับ


Angaga จะมี Water Villa อยู่ 2 ฝั่ง ด้านขวามือของในรูปจะเป็น standard water villa ธรรมดาขนาด 56 ตร.ม.มี 20 ห้อง ในขณะที่ด้านซ้ายมือของรูปจะเป็น superior water villa ที่พึ่งสร้างเมื่อปี 2014 ซึ่งจะใหม่กว่าและกว้างกว่า (65 ตร.ม.) แนะนำให้พัก superior water villa ดีกว่าครับ ราคาแพงกว่าประมาณ 400 บาทเท่านั้น
ที่เห็นด้านซ้ายของเกาะจะเป็นห้องอาหารหลักของเกาะ ถัดมาจะเป็นบาร์หลักครับ ส่วนบาร์อีกที่จะเป็น sunset bar อยู่ปลายสุดของ standard water villa
ส่วนรอบๆเกาะจะเป็น beach front villa ซึ่งจะกระจายอยู่รอบเกาะ house reef ที่นี่บางช่วงจะใกล้หาดมาก ไปเกิน 10 เมตรก็ถึงแล้ว


จาก jetty เดินตรงไปก็จะถึง lobby โรงแรม lobby ที่นี่เป็นพื้นทราย อย่างทีบอก เดินเท้าเปล่าได้ทั้งเกาะจริงๆ


หลังจากเช็คอินเสร็จ เราก็เดินทะลุออกมาชายหาดอีกฝั่งเพื่อจะไปห้องพัก


มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายป้ายรีสอร์ทซะหน่อย


แล้วก็มาถึง superior water villa ครับ ที่เราจะพักกันที่นี่



อันนี้ยืมรูปมาจากในเนทอีกรูป เพื่อให้เห็นถึงโครงสร้างของ superior water villa ที่นี่

ผมได้ห้อง 181 ซึ่งเป็นห้องริมสุดหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (แถวบนซ้ายสุดในรูป) ซึ่งฝั่งนี้จะเป็นฝั่งลากูนเห็นน้ำสีเทอร์ควอยซ์ได้ไกล แต่ก็จะเห็น standard water villa อยู่ไกลๆอีกฝั่ง ในขณะที่อีกฝั่งจะไม่เจออะไรขวางตา แต่จะเห็นน้ำสีเทอร์ควอยซ์ได้น้อยกว่า เพราะเลยออกไปก็จะเป็นเขตน้ำลึกแล้ว และถ้าเป็นห้อง 180 ก็จะอยู่ใกล้ปะการังมาก

ในห้องของ superior water villa จะตกแต่งสไตล์ไม้ไผ่ ซึ่งอันนี้แล้วแต่คนชอบ บางคำอาจจะชอบแนวโมเดิร์น แต่สำหรับผมแล้วชอบมาก ให้ความรู้สึกเป็นมัลดีฟดี
จุดเด่นอีกจุดที่ชอบห้องที่นี่ คือหน้าต่างกระจกที่ครอบคลุมกว้างมาก ทำให้ได้เห็นวิวทะเลได้กว้างมากๆ
ในรูปเตียงยับซะแล้ว เผลอล้มตัวนอนซะได้ เตียงมันน่านอนนัก


อันนี้เป็นตู้เก็บของและโต๊ะเครื่องแป้ง สไตล์ไม้ไผ่เช่นกัน


โต๊ะเป็นแบบกระจกมองทะลุลงไปเห็นทะเลได้ครับ ลุ้นเอาเองว่าวันนี้จะมีปลาตัวไหนว่ายมาจ๊ะเอ๋รึเปล่า


ภายในห้องจะมีชากาแฟพร้อมกาต้มน้ำร้อนให้ด้วย


ห้องน้ำนั้นก็จัดอ่างล้างหน้ามาให้ 2 อันเลย เรียกว่าไม่ต้องแย่งกัน มีที่เป่าผมให้ แต่ใช้ยากซักเล็กน้อย


ในส่วนของ shower ก็จะเป็นแบบ rain shower สบู่ แชมพู ครีมนวด มีเตรียมไว้ให้พร้อม และจะมีส่วนที่เป็นอ่างอาบน้ำด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา ขออภัย


ส่วนระเบียงด้านนอก ก็จะมีเตียงนอนชิลๆกับร่มบังแดดให้ครับ มุมโปรดผมเลย


มองไปไกลๆจะเห็น standard water villa อยู่อีกด้าน


บันไดหน้าบ้านก็ลงทะเลข้างหน้าได้เลย น้ำที่ค่อนข้างที่จะลึกหน่อย ถ้าเป็นช่วงน้ำขึ้นจะอยู่ประมาณ 2 เมตร ส่วนช่วงน้ำลงอาจจะอยู่ประมาณ 1  เมตร ซึ่งช่วงน้ำลงก็ยืนถึงอยู่ ข้อเสียนิดคือบันไดไม่ได้ลงไปแตะที่พื้น ทำให้เวลาขึ้นจะยากซะหน่อย


ห้องที่เราอยู่ห้อง 181 จะมีฝูงปลาเล็กฝูงนึงอยู่ที่เดิมตลอด แล้วก็จะมีปลาใหญ่ผ่านมาบ้างด้วย แนบ vdo มาให้ดูครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ตอนที่เช็คอินเสร็จ เค้าจะให้เอกสารข้อมูลของรีสอร์ทมาด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของแพคเกจ all inclusive, เวลาเปิดปิดของห้องอาหารในแต่ละมื้อ, เวลาเปิดปิดของบาร์ทั้ง 2 แห่ง, เซอร์วิสต่างๆ, รวมทั้งรายละเอียดของศูนย์ดำน้ำด้วย


นอกจากนี้ยังมีแผนที่เกาะให้ด้วย โซนที่มีปากกาขีดด้านขวาล่างของเกาะคือโซนที่ทางรีสอร์ทแนะนำให้ไป snorkeling ครับ เพราะ house reef บริเวณนั้นสมบูรณ์มาก
ชื่อสินค้า:   มัลดีฟ (Maldives)
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่