[CR] Mount Kenya Wahahaha,, It’s my Songkran 2016 | สู่ความสูงเหนือเมฆ ง่าย ๆ เราไม่เล่น #เล่นใหญ่มาก

เคนยา ...ชนเผ่า แอฟริกา ซาฟารี ร้อน เป็นภาพที่ใคร ๆ ก็นึกถึงเมื่อพูดถึงเคนยา แต่สำหรับคนไทยในเคนยา เราก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ กลอกตาเล็กน้อยพลางนึกในใจ พวกเธอรู้จักเคนยาน้อยไปซะแล้ว...

แม้ว่ากิจกรรมยามว่างของพวกเราคือการแสวงหาที่เที่ยวและที่กินใหม่ ๆ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ แต่เมื่อการเที่ยวแบบปกติสามัญไม่อาจสนองความต้องการของพวกเราได้อีกต่อไป เราจึงต้องหันมาพึ่งพาเที่ยวแบบ “รนหาที่”
สงกรานต์ปีนี้จะไปไหน
สงกรานต์ปีนี้จะทำอะไร
เป็นคำถามที่คนอยู่เคนยาอย่างเรา ๆ ถูกถามบ่อยพอสมควรเพราะบรรดามิตรรักแฟนเพลงของแต่ละท่านก็มักจะเฝ้ารอการผจญภัยของพวกเราอยู่เสมอ และแน่นอนว่าครั้งนี้เรามีคำตอบแสนเก๋รอตอบอยู่แล้ว “ไปปีน Mount Kenya ค่ะ” คำตอบมีความอยากอวดชัดเจนจนคนถามถึงกับเมินหน้าหนี

**เพื่อทราบ | จะมีรูปที่เห็นตัวเราเองเยอะกว่าคนอื่น เพื่อความเป็นส่วนตัวของเพื่อนร่วมทีม แม้จะขออนุญาตทุกคนเพื่อเอามารีวิวแล้วก็ตามนะคะ

เมื่อตระหนักได้ว่าสงกรานต์ปีนี้ของพวกเรามันไม่ปกตินัก สิ่งที่เราต้องทำคือการออกกำลังกายล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 3 เดือนเพื่อเตรียมความพร้อม โชคดีที่พวกเรา Based อยู่ที่เมืองไนโรบี ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,7xx เมตร ทำให้เราก้าวข้ามปัญหาเรื่องความกดอากาศไปได้ไม่ยาก ขณะที่ปัญหาความไม่พร้อมด้านอุปกรณ์ปีนเขานั้นได้ทำร้ายกระเป๋าเงินของพวกเราจนวินาทีสุดท้าย

กำหนดการคร่าว ๆ มีดังนี้


***นี่คือกำหนดการของคนปกติที่เขาเป็นกัน แล้วของเราจะเป็นเช่นไร ...เชิญรับชม

วันแรกของการเดินทาง ทีมไทยของเราประกอบด้วย หนุ่มแซ่บ 4 นายกับสาวป่วง 3 นาง ประกบด้วยทีมไกด์ ลูกหาบ และพ่อครัวอารมณ์ดี รวม ๆ เกือบ 20 ชีวิต เริ่มต้นเดินจาก Sirimon Gate ที่ความสูง 2,650 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตอนนั้นทุกคนยังแบกกระเป๋าที่หนักอึ้งตามประสาคนไทยบ้าหอบฟางจนคุณหัวหน้าไกด์เป็นอันต้องออกคำสั่งให้จัดกระเป๋าใหม่ ซึ่งของทุกอย่างที่คุณหัวหน้าไกด์เห็นว่าไม่จำเป็นจะถูกโยนออกไปให้ลูกหาบรับผิดชอบทั้งหมด ให้เหลือเพียงของใช้จำเป็นที่ต้องมีติดตัวตลอดการเดินทางคือ ไม้ค้ำเดิน เสื้อกันลม แว่นกันแดด มือถือ กล้องส่วนตัว น้ำคนละ 2 ลิตร อาหารให้พลังงานหรือโปรตีนแท่ง ผ้าบัฟ gaiter (ปลอกกันหินเข้ารองเท้า) และ poncho waterproof (เสื้อกันฝน) เท่านั้น... ก็เยอะพอแล้ว



สำหรับการเดินทางในวันแรกนั้นไม่ยากลำบากนักเพราะเป็นเส้นทางที่สามารถขับรถเข้าได้ (แต่ให้เราเดิน?) ถนนเป็นทางลาดขึ้นเนินระยะทาง 9 กิโลเมตร ข้างทางเป็นป่าธรรมดา ๆ ที่ไม่อาจทำให้เราตื่นเต้นได้ ทั้งนี้เข้าใจว่าเป็นการวอร์มสำหรับศึกหนักในวันต่อ ๆ ไป สถิติการเดินของเรายังไม่ย่ำแย่นัก คนเคนยาปกติใช้เวลาเดินไม่เกิน 3 ชม. สำหรับเส้นทางนี้ พี่ไทยจัดเกือบ 4 ชม. เต็ม ๆ วินาทีขาดใจของทุกคนอยู่ในชั่วโมงสุดท้ายซึ่งเราทุกคนเห็น Old Moses Camp ตั้งเด่นอยู่บนเนินเขาโดยไม่รู้เลยว่า ...ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันก็แสนไกล จนเป็นบทเรียนสำคัญว่า อย่าหลงเชื่อระยะที่สายตาเราเห็น






การเดินทางในวันที่สองเริ่มต้นด้วยรอยยิ้มสดใสแม้ว่าจะมีคนนอนไม่หลับเพราะร่างกายต้องปรับตัวกับความสูง 3,300 เมตร แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้ความสนุกของการเดินทางลดลง สภาพภูมิประเทศที่เรียกว่า Moorland ทำให้พี่ไทยคึกครื้นเป็นพิเศษ พืชพันธุ์หน้าตาประหลาด (giant groundsel) เริ่มปรากฏให้เห็นและยิ่งน่าตื่นเต้นมากกว่าเดิมเมื่อเรายิ่งเดินสูงขึ้น ขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และดูสมบูรณ์มากขึ้นเช่นกัน






จากแดดจัดในช่วงเช้า เริ่มมีหมอกลงในช่วงสาย ๆ จนกระทั่งฟ้าเปิดในบางช่วงเราถึงได้เห็นว่า ไม่น่าใช่แค่หมอก แต่เหมือนเมฆที่ลอยผ่านเข้ามาปะทะตัวเราและผ่านออกไป ในดินแดนเขียวชอุ่ม มีดอกไม้สีขาวฟุ้งฟริ้ง มีเสียงธารน้ำไหล สะพานไม้เล็ก ๆ น่ารักก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเหมือนรู้จังหวะ แต่แล้วจังหวะดี ๆ ก็ถูกขัดเมื่อทุกคนหันขวับไปเห็นพี่ชายคนหนึ่งในทีมกำลังถือโทรศัพท์ Video call กับทางบ้าน ...มีสัญญาณในอุทยานเคนยาว่ายากแล้ว นี่จัด Video call ได้นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ นาทีนั้นต่างคนต่างกระจัดกระจายไปโทรหาคนที่ตนนึกถึงทันที สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างตามแต่บุญแต่กรรม แล้วก็เป็นกรรมของพวกเราที่มัวแต่หน้ามืดตามัวเอาแต่โทรศัพท์กลับบ้านจนไม่มีใครถ่ายภาพสะพานฟุ้งฟริ้งนี้กลับมา




ก่อนที่จะไปถึงสถานที่รับประทานอาหารกลางวัน เกิดมีละอองฝนเล็กน้อย หัวหน้าไกด์จึงสั่งให้ทุกคนใส่ poncho เพื่อกันฝน แต่ละอองฝนก็ไม่ได้มาเปล่า ได้นำเอาม่านหมอกหนาทึบมาบดบังวิสัยทัศน์จนไม่อาจเห็นทางระยะ 50 เมตรข้างหน้าได้ เราได้แต่เดินตามทางไปเรื่อย ๆ จนไปถึงสถานที่สำหรับทานอาหารกลางวันของเรา




ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเรานั้นสวยงามจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูด เมื่อกลับมาดูรูปที่ถ่ายมานับว่าเทียบไม่ได้เลยกับของจริงที่ได้สัมผัสในขณะนั้น เราเดินไปตามช่องหุบเขา เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศได้ไม่นาน... เหตุก็เกิดเมื่อพี่สาวคนหนึ่งอยากจะใช้บริการห้องน้ำ ผู้นำทางของเราบอกว่าอีกไม่ไกลก็ถึงที่พักแล้วอยู่แค่เชิงเขาตรงโน้นเอง อารมณ์สุนทรีย์กับธรรมชาติเมื่อสักครู่หายไปในบัดดล เรารีบจ้ำนำหน้าไปอย่างรวดเร็วจนทิ้งเพื่อนร่วมทีมอีกกลุ่มไว้เบื้องหลัง สองหนุ่มกับสองนางพากันมุ่งหน้าไปให้ถึงฝั่งฝัน ขณะที่อีกสองหนุ่มคอยตามประกบพี่สาวผู้ต้องเดินตามสมรรถภาพของตัวเอง




สำหรับสถิติที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับว่าทำลายล้างสถิติทุกอย่างที่ใครต่อใครเคยทำไว้อย่างขาดลอย เส้นทาง 13 กิโลเมตร จากความสูง 3,300 เมตร สู่ความสูง 4,200 เมตร ตามกำหนดการใช้เวลาเดิน 7-8 ชม. พี่ไทยทีมแรกซัดไป 10 ชม. ทีมสองซัดไป 12 ชม. เมื่อถึง Shipton Camp สำหรับเรา การมาถึงเร็วนั้นหมายความว่าฟ้ายังสว่างอยู่ ทำให้เห็นเส้นทางเดินของวันพรุ่งนี้กันแล้ว บอกเลยว่าบั่นทอนกำลังใจยิ่งนัก แต่จะกลัวอะไร...เป้าหมายมีไว้พุ่งชน!




เราทุกคนเข้านอนอย่างรวดเร็วเพราะกำหนดการวันต่อไปเริ่มเวลาตี 2 นั่นหมายความว่าทุกคนต้องตื่นมาเตรียมพร้อมตั้งแต่ตี 1 ปัญหาใหญ่หลวงคือคุณไกด์ไม่ให้ทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนเดินทาง คุณไกด์พยายามปลอบโยนพวกเราว่ากลับมาเราจะทานอาหารเช้าร่วมกัน ขึ้น 4 ชม. ลง 4 ชม. เองน่า... เปิ้นว่าจะอี้

เวลาตี 2 เศษ ๆ เราทุกคนก็พร้อมสำหรับด่านมหาโหดของทริป แสงไฟนำทางมีเพียงไฟบนหัวของแต่ละคนเท่านั้น ความมืดทำให้แสงดาวส่องสว่างแจ่มชัด อยากเงยหน้าชื่นชมดาวบนฟ้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ไม่สามารถทำได้เพราะต้องก้มหน้าก้มตาดูพื้นเข้าไว้ เส้นทางเริ่มชันขึ้น ลื่นขึ้น แม้ไม้ค้ำจะมีปลายแหลมพร้อมให้เราปักยึดกับพื้นแต่มันปักไม่เข้าอะสิ พี่ชายคนหนึ่งถึงกับสละไม้เดินและใช้สองมือสี่เท้าตะกายเขาอย่างทุลักทุเลประหนึ่งผี the ring ปีนขึ้นจากบ่อน้ำ



แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องผ่านม่านเมฆหนาทึบ เป็นจังหวะเหมาะเจาะที่พวกเราถึงสระน้ำซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดกึ่งกลางทางของเส้นทางนี้ ชมพระอาทิตย์ขึ้นตรงนี้ไปก่อนละกัน...ทุกคนหยุดพักดื่มน้ำและทานขนมประทังชีวิต กล้องและมือถือถูกควักออกมาบันทึกภาพอย่างรวดเร็วหลังจากไม่สามารถเก็บภาพอะไรในความมืดมิดได้




ตอนนั้นมองเห็นเป้าหมายอยู่แค่เอื้อม ...ใช่ ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันก็แสนไกล เพลงเดิมวนเข้ามาในหัว จากจุดนี้เป็นต้นไปทุกคนต่างก็เดินกันตามกำลังของตัวเอง พวกบ้าพลังก็ก้าวกันไปก่อน อากาศเบาบางลงเรื่อย ๆ ช่วงระยะสุดท้ายก่อนถึงยอดนั้น จำเป็นต้องเก็บไม้เดินและใช้สองมือปีนหน้าผา เพื่อนคุณไกด์คนหนึ่งที่ติดตามพวกเราอยู่ไม่คิดจะหันมาให้ความช่วยเหลือสาวน้อยร่างบางอย่างเราเลยแม้แต่น้อย พ่อเจ้าประคุณนั้นเพียงแค่เอามือสองข้างล้วงกระเป๋าแล้วก้าวเท้านำหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีหันมาเหล่มองเราบ้างเป็นครั้งคราวและจากท่าเดินนั้นเราได้ตั้งชื่อภาษาไทยให้เขาว่า พี่แพะภูเขา ระหว่างปีนป่ายอยู่นั้นก็ได้หันไปชักชวนพี่ชายที่ปีนอยู่ด้วยกันให้ชื่นชมวิวม่านหมอกริมหน้าผา ชวนได้ 3-4 ครั้งพี่ก็สารภาพว่า “พี่กลัวความสูง” ได้ยินแบบนี้ น้องไม่รู้จะช่วยอะไรเลยจริง ๆ พี่ช่างมาไกลเหลือเกินสำหรับคนกลัวความสูง




เมื่อเราทุกคนพากันหอบร่างตัวเองปีนมาถึง Lenana Peak ที่ความสูง 4,985 เมตรจากระดับน้ำทะเล ก็ได้เวลาเอาธงไทยมาโบกสะบัดแรง ๆ เพราะลมแรงมาก ธงอยู่ไม่นิ่งเลย เมื่อถ่ายรูปกันจนหนำใจก็ถึงคราวต้องบอกลา Lenana อย่างรวดเร็ว มาเร็ว เคลมเร็วสุด ๆ




ขึ้นมาอย่างไร ก็ลงไปอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคน เมื่อพี่ชายผู้กลัวความสูงนั่งตากลมบนยอดนานไปจนมีอาการ hypothermia ก็ต้องถูกลูกหาบหอบร่างลงไปอย่างรวดเร็ว แอบคิดในใจว่า การทิ้งร่างให้คนอื่นรับผิดชอบก็ดีเหมือนกัน และระหว่างทางเดินลง พี่ชายอีกคนก็ได้ประสบการณ์ลื่นลงเขาในท่าพับเพียบไทยแลนด์ ระยะทางที่ลื่นได้กว่า 10 เมตรนั้นสร้างความประทับใจให้เขามาก ขณะที่ตัวเราเอง... ฉันจะเหยียบหินทุกก้อนที่ฉัน (คิดว่า) มันจะช่วยฉันได้ แล้วก็ พรืดดดด...  ไม่ล้ม รู้สึกชนะ!!





ยังมีต่อนะคะ
ชื่อสินค้า:   Mount Kenya
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่