การแต่งก่อนอยู่ หรือ อยู่ก่อนแต่ง คนสมัยนี้มีความเห็นกันว่ายังไง??

จขกท.มีความคิด แอบโลเลๆนิดๆ มันก็มีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกันไป

  การแต่งก่อนอยู่ก็ดีนะ ถือว่า เป็นการให้เกียรติกัน ทำอะไรๆ ให้มันถูกต้องถึงจะมาอยู่ด้วยกันได้

แต่ทว่า ถ้าเลือกผิดล่ะ จบสุดท้ายไม่สวย แถมมีคำว่าพุ่มม่ายพ่วงท้าย

  การอยู่ก่อนแต่งก็มีดีตรงที่ว่า ได้ศึกษากันและกันทั้งนิสัย ใจคอ รสนิยม ต่างๆ ก่อนที่จะมาตกลงใช้ชีวิตร่วมกันแบบจริงๆจังๆ
หากไปต่อได้ยาวๆถึงอนาคต ถือว่าได้คนที่เราเลือกแล้วว่าดีที่สุด เหมาะสมกับเราที่สุด
แต่ถ้าไม่ก็....แล้วแต่คุณๆล่ะว่าจะทำอย่างไรต่อ

แต่ทว่า ก็มีผลด้านลบนะ เกี่ยวกับเรื่องการยอมรับของคนในสังคม ขนบธรรมเนียม ศีลธรรม..

แล้วคุณๆล่ะมีความคิดอย่างไรกันบ้าง??
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
คนอื่นจะทำอย่างไร ชีวิตเขา เราไม่ตัดสิน

แต่เราขอแต่งก่อนอยู่ เราไม่อยากอยู่ก่อนแต่งเพราะเราไม่อยากผ่าน ผช หลายคน
เกิดอยู่แล้วไม่แต่งล่ะ
เกิดอยู่กินกันแล้วมาบอกว่าเข้ากันไม่ได้   เฮ้ยแล้ว ฉันก็ต้องไปคบคนใหม่ แล้วก็อยู่ก่อนแต่งอีกรึเปล่า
ถ้าใช่ ก็อาจจะเหมือนเดิม แล้วก็วนเวียนแบบนั้นอีก
กว่าจะเจอคนที่ใช่ ฉันต้องผ่าน ผช กี่คน
ไม่อยากเป็นแบบนั้น..

จึงจะขอคบจนกว่าจะแน่ใจ แล้วค่อยแต่งงานจดทะเบียนอย่างถูกต้องแล้วอยู่ร่วมกัน
ถึงเวลานั้น ถ้าไปด้วยกันไม่ได้ ก็หย่า
ดีกว่าอยู่ก่อนแต่งง่าย ๆ อยู่ก่อนแต่งง่าย ๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด

เราไม่รู้ใจ ผช หรอก
ตอนคบแรก ๆ ดีทุกคน เหมือนว่าจะร่วมชีวิตกับยเราทุกคนแหละ
พอผ่านไป ก็อ่าว ไม่เหมือนตอนแรกละ
ถ้ายอมอยู่ก่อนแต่งกับทุกคนที่คบ  กว่าจะเจอคนที่จะแต่งด้วย จะต้องมี ผ กี่คน
............


ทั้งนี้ ถ้าหญิงชายคบกันแล้วมีแพลนจะแต่งกันอยู่แล้ว กำหนดวันเวลาแต่งงานแล้วจะมาอยู่ร่วมกันก่อนเพื่อทดลองใช้ชีวิตร่วมกัน คนรอบข้างรับรู้ เราว่าโอเคนะ  แต่ที่เราจะไม่ทำ ก็คือ รักใครชอบใครก็หอบข้าวของไปอยู่ด้วยกันเป็นผัวเมียกัน อันนี้เราไม่ทำแน่นอนค่ะ

ปล. แปลกที่หลายคนสมัยนี้คิดว่าแต่งแล้วหย่าเสียหาย แต่คิดว่าอยู่กินก่อนแต่งกี่คนก็ไม่เสียหาย
ความคิดเห็นที่ 7
มันมีข้อดีและข้อเสียในตัวมันเองครับ

แต่งก่อนอยู่
ข้อดี คือ ทำถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณี ถือเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
และหากมีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง มันจะมีผลทางกฎหมายด้วย
ข้อเสีย คือ หากผิดพลาดไปกันไม่รอด จะเจ็บตัวเยอะ เพราะค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งแต่ละครั้งไม่ใช่น้อย
ไหนจะอับอายญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ไม่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่งอีก
และหากจดทะเบียนสมรสด้วย มันก็จะเป็นหลักฐานทางกฎหมายที่สามารถตรวจสอบได้ว่า คุณเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน
(หมดสิทธิ์ใส่ตะกร้าล้างน้ำ / ย้อมแมว)

อยู่ก่อนแต่ง
ข้อดี ได้มีโอกาสใช้เวลาศึกษาอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร เพราะพฤติกรรมบางอย่างมันไม่มีทางรู้ได้เลยจนกว่าจะได้อยู่ด้วยกัน
เช่น.... นอนกรน , ฉี่ไม่ราดน้ำ, ฉี่ไม่ยกฝารองนั่ง, งานบ้านไม่ทำ, ล้างจานอาทิตย์ละครั้ง (แช่น้ำไว้จนเน่า),
ถอด กกน ม้วนเป็นเลข 8 แล้วโยนหมกๆไว้, ฯลฯ เพราะแต่ละคนถูกเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน... พฤติกรรมบางอย่างที่ฝ่ายหนึ่งดูว่าปกติ
แต่อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะสุดทนก็ได้....
ข้อเสีย มีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกกินฟรี (ฝ่ายหญิงเสียเปรียบ) เพราะฝ่ายชายบางคนพอได้แล้วก็ทิ้ง ได้แล้วก็ไม่ดูแล
ได้แล้วก็ยังไปหาคนอื่นอีก...  บางรายทำฝ่ายหญิงท้อง แล้วบังคับให้เอาเด็กออกก็มี....
ความคิดเห็นที่ 31
จริงใจต่อกัน คุยกันให้ชัดเจน ตัวเราเป็นคนยังไง นิสัยดี ไม่ดีตรงไหน มีพฤติกรรมเป็นยังไง ชีวิตประจำวันเป็นแบบไหน สาธยายไปสิครับ

ขับรถช้า ขับรถเร็ว ชอบปาดแซง หรือเคารพกฎจราจร ใจร้อน ใจเย็น ขี้บ่น พูดมาก พูดน้อย นอนกรน ชอบตด ชอบเรอ เรียบร้อยไว้ตัว

ขยันตัวเป็นเกลียว ขี้เกียจตัวเป็นขน ทะเยอทะยาน สมถะ เรียบง่าย มีเหตุผล ไร้เหตุผล ให้เกียรติคน ดูถูกคน ชอบทำบุญ ชอบทำบาป

สายหื่น สายวาย สายจิ้น คิดมาก คิดน้อย คิดฟุ้งซ่าน ติดเพื่อน ติดเกม ติดซีรี่ย์ ติดเที่ยว บ้าบอล บ้ารถ บ้าดารา บ้าของเซล ชอบนอนเร็ว

ชอบนอนเช้า ชอบกินข้าวตรงเวลา ชอบกินข้าวเมื่อหิว ทำกับข้าวไม่เป็น คนครัวขั้นเทพ ประหยัด งก ใช้เงินเก่ง ฯลฯ.....

อุปนิสัย พฤติกรรมมีตั้งมากมาย จุดสำคัญอยู่ที่ว่า ทั้งสองคน กล้าที่จะยอมรับและเปิดเผย ข้อดีข้อเสีย ของกันและกันหรือไม่ ถ้าทำได้ก็จบ


ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย อยากจะรู้จักและเข้าใจกันและกันจริงๆ แค่พูดคุยกันแบบเปิดใจก็เพียงพอที่จะทำให้รู้จักตัวตนของกันและกันได้ดีในระดับหนึ่ง  

ที่เหลือคือใช้การสังเกตุจากพฤติกรรมของเขา ดูการกระทำของเขาในสถานการณ์ต่างๆ เช็คให้แน่ใจ เพราะบางคนการกระทำสวนทางกับคำพูด

พูดอย่างทำอย่าง พูดดีทำแย่ พูดแย่ทำดี ก็สังเกตุกันเอาเอง หรือลักษณะอุปนิสัยบางอย่างที่แต่ละฝ่ายเผลอแสดงออกมาในขณะที่ไม่รู้ตัวเอง

ตรงนี้ก็ต้องใช้การสังเกตุบ้าง แต่รวมๆคือใช้การพูดคุยเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจริงใจต่อกัน คุยกันได้แบบนี้ การอยู่ก่อนแต่งอาจจะไม่จำเป็น


บางคู่ใช้การอยู่ก่อนแต่ง เป็นแค่ข้ออ้างที่จะมี SEX กับอีกฝ่ายได้สะดวก แบบนี้ก็มีเยอะ แต่บางคู่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง SEX จริงๆ ก็มี

อย่างเรื่อง SEX กับคำถามที่ว่า '' อ้าว ไม่ลองมี SEX กันดูจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องนี้จะเข้ากันได้ไหม '' คำตอบคือ '' คุยกันสิครับ กล้าหรือเปล่าล่ะ ''

ถามกันให้ชัดเจน แต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ คุยกันเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าจิตใจเราสกปรก คิดว่าหลายคู่คงเคยเจอคำถาม เช่น

'' ผ่านมากี่คนแล้ว ? '' แค่คำถามนี้คำถามเดียวหลายๆคนก็แทบตอบไม่เต็มปากแล้ว เพราะไม่กล้าที่จะบอก หรือไม่ก็ลืมเพราะเยอะจนจำไม่ได้

บางคนให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์มาก การที่เขาถามคำถามนี้กับอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่อีกฝ่ายกลับไปเข้าใจว่า ไม่ให้เกียรติกัน

แบบนี้คือมองกันคนละมุม ก็ต้องคุยกันให้เข้าใจ ถ้าคุณไม่ยึดติดกับเรื่องนี้หรือไม่สะดวกใจที่จะตอบก็บอกเขาไปตรงๆ หรือถ้าไม่บริสุทธิ์ก็บอกไป

เขาจะได้ไปหาคนอื่นที่ตรงกับความต้องการของเขา ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย ดีกว่าคบไปแล้วมารู้ทีหลังว่าอีกฝ่ายโกหก เสียความรู้สึกซะเปล่าๆ

'' คุณชอบ SEX แบบไหน '' หลายคู่อาจได้รับคำถามนี้เมื่อมีอะไรกันแล้วจึงค่อยถาม ซึ่งมันก็ดีในแง่ของการนำคำตอบไปปรับปรุง SEX ให้ดีขึ้น

แต่ถ้าถามก่อนที่จะมีอะไรกัน บางทีมันก็ช่วยคัดกรองคนที่มีทัศนคติไม่ตรงกันในเรื่องนี้ได้ บางคนมีความต้องการสูง หรือมีสภาวะเสพย์ติด SEX

ในขณะที่อีกฝ่ายความต้องการน้อยหรือกลัวการมี SEX เพราะมีปมในวัยเด็กจึงไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก แบบนี้อาจจะไปกันไม่รอด หรือรสนิยมต่างๆ

เช่น ฝ่ายนึงมีความสุขมากกับการได้มี SEX ในที่แจ้ง ฝ่ายหนึ่งต้องการแค่มี SEX ในที่ลับ แบบนี้มีปัญหาแน่ๆ หรือฝ่ายหนึ่งมีรสนิยมชื่นชอบสวิงกิ้ง

ฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย ก็มีปัญหา คราวนี้อยู่ที่ว่าใครต้องปรับตัว ระหว่างคนที่ชอบ กับ คนที่ไม่ชอบ ซึ่งมันมีแนวโน้มว่าคนที่ชอบจะพยายามหว่านล้อม

หาเหตุผลชักแม่น้ำทั้งโลกให้คนที่ไม่ชอบทำตามจนได้  ถ้าปรับตัวแล้วมีความสุขทั้งคู่ก็ดีไป แต่ถ้าปรับแล้วอีกฝ่ายต้องเป็นทุกข์ แบบนั้นก็คงไม่ดี

ดังนั้น เปิดใจ คุยกันเยอะๆ


ไม่ว่าจะอยู่ก่อนแต่ง หรือ แต่งก่อนอยู่ สิ่งที่จะทำให้มีปัญหาคือ ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกันตั้งแต่แรก

อาจเพราะ กลัว คือกลัวว่าเขารู้เห็นด้านไม่ดีของเราแล้วเขาจะไม่ชอบ เลยปกปิดเอาไว้ ซึ่งการทำแบบนั้นทำให้เกิดปัญหาภายหลัง

คำที่ว่า เธอ / เขา เปลี่ยนไป จริงๆเรื่องมันอาจมีแค่ว่า เขา / เธอ กลับไปเป็นเหมือนเดิมก่อนที่จะคบกันตะหาก ซึ่งถ้าจริงใจต่อกันจริงๆ

เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะปิดเอาไว้ นิสัยหรือพฤติกรรมไม่ดีบางอย่างมันสามารถปรับเปลี่ยนพัฒนาให้ดีขึ้นได้ (ถ้าคิดจะทำ) คู่ที่ดีจะช่วยส่งเสริมกัน

ในขณะที่คู่ที่แย่ก็จะคอยฉุดให้อีกฝ่ายตกต่ำลง สิ่งที่จะประคองความรักไม่ใช่แค่ อดทน (มีส่วนบ้างแต่ไม่ทั้งหมด) แต่คือการ เข้าใจและยอมรับ

คนที่พร้อมจะเปิดเผยด้านที่ไม่ดีของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ในทุกๆเรื่อง บางทีมันอาจจะสื่อให้เห็นถึงถึงความจริงใจและจริงจังของคนๆนั้นก็เป็นได้

บางคนอาจจะโชคดีได้เจอคนรักที่แสดงตัวตนทั้งด้านดีและไม่ดีให้เห็นตั้งแต่แรก ในขณะที่บางคนก็เจอคนรักที่สร้างภาพทั้งคำพูดและการกระทำ

แต่งานนี้โทษใครไม่ได้ เลือกแล้วก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง ถ้าคบแล้วทุกข์มากกว่าสุขก็เลิก ใช้ชีวิตคนเดียว หรือหาคนใหม่ต่อไป


แต่สำหรับบางคนที่ไม่รู้จักตัวเองดีพอ หรือบางคนอาจอธิบายตัวตนความเป็นตัวเองไม่เก่ง การศึกษากันด้วยวิธีพูดคุยแบบข้างบนคงไม่ค่อยได้ผล

ถ้าเป็นแบบนั้น การอยู่ก่อนแต่งก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ในการศึกษาตัวตนของกันและกัน ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยแต่ละคนครับ ไม่มีสูตรสำเร็จหรอก
ความคิดเห็นที่ 16
เราขอแต่งก่อนอยู่ค่ะ   
ถ้ายังไม่พร้อมจะแต่งก็ช่วยกันเก็บเงินไปก่อนได้  แต่จะไม่ไปอยู่ก่อนแน่นอน
ยังไงมันก็ต้องมีช่วงไปเที่ยว ไปค้างด้วยกัน แค่นั้นก็พอดูๆได้อยู่ มันไม่จำเป็นต้องไปอยู่เลยขนาดนั้น

บางคู่อยู่กันเลย ผู้หญิงคิดว่าก็ไม่เป็นไร เค้ารักเรา เรารักเค้า ลองอยู่ด้วยเลยละกัน
ผู้ชายก็คิดว่า ผู้หญิงมาอยู่ด้วยล่ะ จะรีบแต่งไปอีกทำไม
อยู่นานๆไป ผู้ชายเจอคนใหม่ เลิกแล้วไปแต่งกับคนใหม่เฉย  เหตุการณ์แบบนี้มีเยอะ
กระทู้ในพันทิพมีออกเกลื่อน คบมานาน อยู่ด้วยกันไม่ได้แต่ง แล้วโดนบอกเลิกผู้ชายไปแต่งกับคนใหม่

แล้วจิตใจคนเราไม่แน่นอน   ถ้าเจอแบบนี้สัก 3 คน  คนละ3ปี ก็จบแล้ว  แก่เกิน30แล้ว
การแต่งงานเป็นเหมือนการเร่งกลายๆว่าถ้าเขาอยากอยู่กับเรา เขาก็ต้องทำอะไรๆให้มันถูกต้อง
(ถ้าเขารักเรามาก อยากใช้ชีวิตกับเราจริงๆ เขาจัดการเรื่องนี้แน่ๆ)

เราขอแต่งก่อนอย่างถูกต้องดีกว่า หลังจากนั้นจะเป็นไงก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นม่ายเราก็ไม่เป็นไรนะ  ม่ายสวยๆก็เพียบ
แต่ไม่ขอเสี่ยงกับการไปอยู่เลย โดยจะได้แต่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าจะต้องทดลองอยู่ไปอีกกี่คนจนกว่าจะเจอคนที่เค้าอยากแต่งกับเราจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้าคบๆกันแล้วรู้สึกว่าใช่จะไปอยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าไปอยู่แล้วมันไม่ใช่ละ?ก็เลิก?
แล้วถ้าคิดแบบนี้เรื่อยๆต้องไปอยู่กับผู้ชายกี่คนกว่าจะได้แต่ง
ไม่อยู่เป็นสิบคนเลยเหรอ

จริงๆอยู่ก่อนแต่งไม่เห็นจำเป็นแค่ไปออกทริปกันบ้าง
ทำกิจกรรมอื่นนอกจากเที่ยวห้างกินข้าวอะไรพวกนี้บ้าง
หลายๆอย่างในตัวคนก็รู้ได้ละครับ มันดูได้หมดละ
ตั้งแต่การจัดกระเป๋า การกินข้าว การพูดเวลาอยู่ด้วยกัน
มารยาท ดูความเป็นสุภาพบุรุษ มากมายอะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่