จริงๆผมก็ไม่ได้ว่าอายุเยอะอะไรมาก ยังไม่ถึง 40 นะ
สมัยผมเด็กๆ เรียกว่า เช่าหนังม้วนมาดู มานั่งดูกันทั้งครอบครัว
เรียกว่า ดูอะไรก็รู้สึกสนุกไปหมด (ยกเว้นพวกหนัง ดราม่านะ เพราะตอนนั้นมันคงไม่ใช่วัยเรา)
แม้แต่ผู้ใหญ่สมัยผม พ่อ แม่ น้า พาไปดูหนังในโรง
ทุกคนกลับมาด้วยรอยยิ้ม กับความสุข
เอาหนังที่เข้าไปดูมานั่งเล่ากับอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นสีและกาวแป้ง บุญชู บ้านผีปอบ กองร้อย 501
หนังฝรั่งอย่าง อีที เอเลี่ยน คนเหล็ก สปีด จูราสสิคพาร์ค 1
ทุกคนกลับมาก็จะมานั่งเล่ากัน ไปโรงเรียนก็ไปเล่ากับเพื่อน เรียกว่า 100% ไม่มีคนมานั่งบ่นเรื่องหนังที่เข้าไปดู
ส่วนใหญ่ จะมาเล่าถึงฉากของหนัง ฉากโน้นฉากนี้ ทำอะไร เนื้อเรื่องเป็นยังไง
มากกว่าที่จะมาเล่าว่า ทำไมฉากนี้ไม่สมจริง ทำไมฉากนี้ถึงคิดง่อยๆแบบนี้
ทำไม่ฉากไม่ควรจะเป็นแบบนี้
ด้วยความที่สมัยนี้สื่อเยอะมั้ง โซเชียลเยอะ การติดต่อสื้อสารมันง่ายมั้ง
หลายๆคนเกิดมาพร้อมกับยุคที่หนัง ก้าวกระโดดมาไกลมากจนเคยชินกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
และมักจะนั่งหาข้อบกพร่องว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ CG ไม่เนียน หนังเรื่องนี้มาเทียบกับเรื่องนี้
แฟนหนังค่ายนู้นค่านี้มาทำสงครามน้ำลาย อย่าไปดูหนังเรื่องนี้นะเสียเงิน
ในขณะที่ยุคผม คนไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาคิดยิยย่อยมั้ง เลยทำให้ดูหนังแล้วสนุก หรือมีความสุข
เหมือนอย่าง จอว์ ผมว่าเอาให้เด็กใหม่ๆดู คงทนดูได้ไม่จบเรื่อง
แต่ยุคเรา เรียกว่า หายใจแทบไม่ออกเพราะระทึก กลัว อินไปกับหนังแม้ตอนนั้นเรียกว่า CG บรมโคตรห่วย
เด็กยุคนี้คงยากจะเข้าในอารมณ์แบบ ตื่นตาตื่นใจสุดๆ
ทำให้มันติดมาถึงยุคนี้
ที่เรียกว่า ดูหนังอะไรก็สนุกไปหมด อยู่ที่จะมากน้อย และไม่เคยรู้สึกเสียดายเงินซักครั้งสำหรับหนังที่เข้าไปดูทุกเรื่อง
ไม่เคยหลับในโรงหนัง เพราะรู้สึกสนุกกับหนังที่ตั้งใจเข้าไปดูทุกเรื่อง
ผิดกับยุคนี้ ที่ส่วนใหญ่ ออกจะหาข้อผิดพลาดมาวิจารณ์มากกว่าไปเสพความสนุกของหนัง
ไปดูเพื่อหาข้อผิดพลาดของหนังอีกค่าย มาบลัฟกับหนังอีกค่าย หรือ ผกก.ที่ตัวเองชอบ
หรือบางคนเอาทุกสิ่งทุกอย่างใส่เข้าไปในหัวก่อนดูหนัง หรือกลับออกมาจากโรงด้วยทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน
ผมว่าคนยุคผม โชคดีมาก เรื่องการดูหนัง
ผมว่านะ
ผมว่าคนยุคซัก 20-30 ปีที่แล้ว โชคดีนะกับเรื่องการดูหนัง
สมัยผมเด็กๆ เรียกว่า เช่าหนังม้วนมาดู มานั่งดูกันทั้งครอบครัว
เรียกว่า ดูอะไรก็รู้สึกสนุกไปหมด (ยกเว้นพวกหนัง ดราม่านะ เพราะตอนนั้นมันคงไม่ใช่วัยเรา)
แม้แต่ผู้ใหญ่สมัยผม พ่อ แม่ น้า พาไปดูหนังในโรง
ทุกคนกลับมาด้วยรอยยิ้ม กับความสุข
เอาหนังที่เข้าไปดูมานั่งเล่ากับอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นสีและกาวแป้ง บุญชู บ้านผีปอบ กองร้อย 501
หนังฝรั่งอย่าง อีที เอเลี่ยน คนเหล็ก สปีด จูราสสิคพาร์ค 1
ทุกคนกลับมาก็จะมานั่งเล่ากัน ไปโรงเรียนก็ไปเล่ากับเพื่อน เรียกว่า 100% ไม่มีคนมานั่งบ่นเรื่องหนังที่เข้าไปดู
ส่วนใหญ่ จะมาเล่าถึงฉากของหนัง ฉากโน้นฉากนี้ ทำอะไร เนื้อเรื่องเป็นยังไง
มากกว่าที่จะมาเล่าว่า ทำไมฉากนี้ไม่สมจริง ทำไมฉากนี้ถึงคิดง่อยๆแบบนี้
ทำไม่ฉากไม่ควรจะเป็นแบบนี้
ด้วยความที่สมัยนี้สื่อเยอะมั้ง โซเชียลเยอะ การติดต่อสื้อสารมันง่ายมั้ง
หลายๆคนเกิดมาพร้อมกับยุคที่หนัง ก้าวกระโดดมาไกลมากจนเคยชินกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
และมักจะนั่งหาข้อบกพร่องว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ CG ไม่เนียน หนังเรื่องนี้มาเทียบกับเรื่องนี้
แฟนหนังค่ายนู้นค่านี้มาทำสงครามน้ำลาย อย่าไปดูหนังเรื่องนี้นะเสียเงิน
ในขณะที่ยุคผม คนไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาคิดยิยย่อยมั้ง เลยทำให้ดูหนังแล้วสนุก หรือมีความสุข
เหมือนอย่าง จอว์ ผมว่าเอาให้เด็กใหม่ๆดู คงทนดูได้ไม่จบเรื่อง
แต่ยุคเรา เรียกว่า หายใจแทบไม่ออกเพราะระทึก กลัว อินไปกับหนังแม้ตอนนั้นเรียกว่า CG บรมโคตรห่วย
เด็กยุคนี้คงยากจะเข้าในอารมณ์แบบ ตื่นตาตื่นใจสุดๆ
ทำให้มันติดมาถึงยุคนี้
ที่เรียกว่า ดูหนังอะไรก็สนุกไปหมด อยู่ที่จะมากน้อย และไม่เคยรู้สึกเสียดายเงินซักครั้งสำหรับหนังที่เข้าไปดูทุกเรื่อง
ไม่เคยหลับในโรงหนัง เพราะรู้สึกสนุกกับหนังที่ตั้งใจเข้าไปดูทุกเรื่อง
ผิดกับยุคนี้ ที่ส่วนใหญ่ ออกจะหาข้อผิดพลาดมาวิจารณ์มากกว่าไปเสพความสนุกของหนัง
ไปดูเพื่อหาข้อผิดพลาดของหนังอีกค่าย มาบลัฟกับหนังอีกค่าย หรือ ผกก.ที่ตัวเองชอบ
หรือบางคนเอาทุกสิ่งทุกอย่างใส่เข้าไปในหัวก่อนดูหนัง หรือกลับออกมาจากโรงด้วยทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน
ผมว่าคนยุคผม โชคดีมาก เรื่องการดูหนัง
ผมว่านะ