[CR] ตัดสินใจถูกหรือผิด ขอวีซ่าไปสวิส ยื่นตรงกับสถานฑูต



วันนี้เป็นวันที่ทางสถานทูตสวิสนัดให้ผมไปรับพาสปอร์ตคืน ในใบรับเขียนไว้ชัดเจนว่า “ให้มารับคำตัดสินและหนังสือเดินทาง” มันช่างเป็นอะไรที่ตื่นเต้นเร้าใจซะจริงๆ ผมจะขอรีวิวประสบการณ์ที่ได้รับให้ฟัง ดังต่อไปนี้ . . .

ผมเคยมีประสบการณ์ขอวีซ่าเข้าประเทศในกลุ่มเชงเก้นมาหลายครั้งแล้ว เท่าที่จำได้คือครั้งแรกไปเนเธอร์แลนด์ หลังจากนั้นก็เป็นเยอรมัน นอร์เวย์ และที่ล่าสุดก็คืออิตาลีเมื่อปีที่แล้ว (2558) ประสบการณ์ครั้งหลังสุดจำได้ว่ายุ่งยาก ชุลมุน และเสียเวลาค่อนข้างมาก ทำให้ไม่ค่อยอยากไปเที่ยวประเทศแถบนั้นอีกทั้งๆ ที่มีประเทศน่าเที่ยวอีกหลายประเทศมาก

ในปีนี้ (2559) เดิมทีจัดทริปครอบครัว (Family Trip) ไว้ตอนต้นปี ซื้อตั๋วทั้งครอบครัวไปโอกินาว่ากัน ได้ตั๋วราคาคนละเจ็ดพันกว่าบาทเท่านั้นและที่สำคัญไม่ต้องขอวีซ่า (อ่านรีวิวได้ที่ http://pantip.com/topic/34720732) แต่ว่าพอถึงเวลาใกล้จะเดินทางลูกชายคนหนึ่งติดงานก็เลยไปกันไม่ครบ ต้องมาวางแผนทริปครอบครัวใหม่ คราวนี้ได้ตั๋วไปสวิสเซอร์แลนด์ในราคาหมื่นเจ็ดก็เลยไม่รอช้ารีบตัดสินใจซื้อทันที

และแล้วก็ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เดิมเหมือนปีที่แล้วอีก ต้องกลับมาเริ่มต้นศึกษาว่าขั้นตอนการขอวีซ่าสวิสนั้นเป็นอย่างไร ภรรยาเริ่มหาข้อมูลในพันทิป ผมเองเริ่มวางแผนการเดินทางคร่าวๆ เพื่อจะได้เตรียมจองโรงแรมผ่าน Booking.com ที่ผมใช้เป็นประจำ จากข้อมูลที่ภรรยาได้มาจากพันทิป (รีวิวของป้าปุ๊) ทำให้ทราบว่าการขอวีซ่าของสวิสนั้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือหนึ่งขอผ่านบริษัทตัวแทน และสองขอโดยตรงกับทางสถานทูต แต่เนื่องจากยังมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนักตอนที่ขอวีซ่าอิตาลีในปีที่แล้ว (ครั้งนั้นทำผ่านบริษัทตัวแทน) ครั้งนี้จึงตัดสินใจจะขอโดยตรงกับทางสถานทูตตามที่ป้าปุ๊แนะนำไว้ โดยผมจะเล่าให้เห็นเป็นขั้นตอนคร่าวๆ ดังต่อไปนี้ :

ขั้นตอนแรก การลงทะเบียนและโทรนัดหมาย

ถึงแม้เราจะเลือกยื่นขอวีซ่าโดยตรงกับทางสถานทูต แต่ก็ต้องลงทะเบียนในระบบที่บริษัทตัวแทน (TLS) จัดทำไว้ โดยให้เข้าไปที่เว๊ปไซด์นี้ https://www.tlscontact.com/th2ch/register.php การกรอกข้อมูลในเว็ปไซด์ถ้าไปกันหลายคน (ในคณะเดียวกัน) ควรกรอกข้อมูลให้ครบทุกคนก่อนแล้วจึงค่อยกดปุ่ม Submit ระบบจะได้แจ้งหมายเลขอ้างอิง (TLS Contact No.) ให้คณะของเราเป็นเลขเดียวกัน หมายเลขอ้างอิงนี้จะใช้เวลาที่เราโทรไปนัดหมายยื่นเอกสาร (เบอร์โทร 02-696-3899 เลือกภาษาไทย และกด 3 เพื่อนัดหมาย) เจ้าหน้าที่จะถามว่าลงทะเบียนแล้วหรือยัง ถ้าลงทะเบียนแล้วก็บอกหมายเลขอ้างอิง และบอกด้วยว่าจะยื่นกับสถานทูตโดยตรง โดยทั่วไปแล้วการนัดกับบริษัทตัวแทนมักจะได้วันนัดที่เร็วกว่าการนัดไปยื่นเองที่สถานทูต และข้อดีก็คือมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจความครบถ้วนของเอกสารให้ แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ค่าบริการ) เพิ่มอีกคนละประมาณเก้าร้อยบาท

ขั้นตอนที่สอง การเตรียมเอกสาร

    ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะการพิจารณาให้วีซ่าผมว่าส่วนใหญ่ก็คงจะต้องดูจะพิจารณาจากข้อมูลที่เราตระเตรียมไปนี่แหละ เอกสารที่ผมเตรียมไปประกอบด้วย :

1.    ใบสมัครที่พิมพ์ผ่านระบบ แต่เนื่องจากผมมีการแก้ไขหลายจุด ตอนหลังจึงตัดสินใจ download แบบฟอร์มเปล่า แล้วค่อยมาใส่ข้อมูลด้วยการเขียนแทน
2.    Passport ตัวจริง และสำเนา (แนบหน้าที่มีประทับตราวีซ่าเชงเก้นและอเมริกาที่เคยได้รับในอดีต แม้จะอยู่ใน passport เล่มเก่าก็ตาม)
3.    รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (1 ใบ ติดบนใบสมัคร อีกใบเหน็บไว้กับ Passport
4.    เอกสารแสดงการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ซึ่งในกรณีของผมนั้นได้ซื้อตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว (ปรกติทางสถานทูตจะพูดเสมอว่าอย่าเพิ่งซื้อตั๋ว เพราะถ้าวีซ่าไม่ออกให้ก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี และทางเขาก็ไม่รับผิดชอบด้วย)
5.    เอกสารแสดงการจองโรงแรมที่ผมปริ้นออกมาจาก Booking.com ซึ่งในตอนที่จองช่วงแรกผมลืมใส่ชื่อผู้พัก ตอนหลังต้องมาแก้ไขให้ถูกต้อง
6.    เอกสารการประกันการเดินทาง ที่แสดงวงเงินมากกว่า 1.5 ล้านบาท โดยระบุปลายทาง (Destination) เป็น Schengen หรือ Worldwide ซึ่งผมก็ได้ทำประกันไว้หนึ่งปีเต็ม เพราะคาดว่าปีนี้น่าจะเดินทางบ่อย ทำเป็นรายปีน่าจะคุ้มค่ากว่า
7.    หนังสือรับรองการทำงาน (ของลูกชายใช้เป็นใบรับรองการเป็นนักศึกษาที่ออกโดยมหาวิทยาลัย)
8.    หนังสือรับรองฐานะการเงิน (Bank Statement) ย้อนหลังหกเดือน โดยมีตราธนาคารประทับทุกหน้า
9.    แผนการเดินทาง (Travel Itinerary) ที่ผมตระเตรียมไว้โดยพยายามให้ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด เพราะอย่างน้อยก็จองโรงแรมไปตามแผนการเดินทางนี้แล้ว (มีบางโรงแรมถ้าหากยกเลิกก็ต้องถูกหักเงินบางส่วน)
10.    สำเนาทะเบียนบ้าน / บัตรประชาชน / ทะเบียนสมรส (ควรเตรียมเอกสารฉบับจริงไปด้วย) สำเนาทะเบียนบ้านของลูกต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์พ่อลูก เพราะผม (พ่อ) เป็นผู้การันตีค่าใช้จ่ายของลูกชาย
11.    จดหมายแนะนำตัวและให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าทำไมในใบสมัครผมจึงเช็คที่ช่อง Multiple Entries แทนที่จะเป็น Single Entry
12.    ค่าวีซ่าคนละ 2,400 บาท ควรเตรียมเงินไปให้พอดีจำนวน (จะได้ไม่ต้องทอน)

ป.ล. ในระหว่างที่เตรียมเอกสารผมและภรรยามีคำถามหลายข้อเหมือนกัน จำได้ว่าต้องโทรไปที่ TSL 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งได้รับคำตอบ / คำแนะนำ ที่ชัดเจนมาก และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่ตอบรับโทรศัพท์ของทาง TSL พูดจาดีมาก เป็นมืออาชีพจริงๆ ขอชื่นชม และขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ และที่จะลืมไม่ได้คือต้องขอบคุณข้อมูลดีๆ จากสองลิ๊งค์ข้างล่างนี้ครับ ทำให้ผมประหยัดเวลาในการเตรียมเอกสารได้มากทีเดียว
(1) กระทู้นำทางของป้าปุ๊ update สิงหาคม 2558 - http://m.pantip.com/topic/34113918
(2) ตัวอย่างการแปลสำเนาทะเบียนบ้าน จากกรมการกงศุล - http://www.consular.go.th/main/th/form/1421/21818

ขั้นตอนที่สาม การยื่นเอกสารที่สถานทูต

และแล้ววันที่นัดไว้ก็มาถึง ผมกับลูกชายได้เวลานัดช่วง 9:00 น. ส่วนภรรยาได้เวลา 9:30 น. สถานทูตเปิดทำการเก้าโมงตรง ตั้งใจกันว่าน่าจะไปถึงที่นั่นประมาณแปดโมงครึ่ง พูดกันไว้ว่าน่าจะออกจากบ้านไม่เกิน 7:30 น. และคงจะต้องนั่งแท็กซี่ไป แต่พอเอาเข้าจริงกว่าจะได้ออกจากบ้านขึ้นแท็กซี่ก็ปาเข้าไป 7:45 น. เข้าไปแล้ว และพูดคุยกันว่านี่ถ้าขึ้นทางด่วนแล้วไปติดแหง็กอยู่บนนั้นจะทำยังไง ถ้าไปไม่ทันเวลาที่นัดไว้ สิ่งที่ตระเตรียมมาเป็นอย่างดีก็คงไม่มีประโยชน์อันใด (ไม่รู้ว่าวิตกจริตจนเกินไปหรือเปล่า) พอตั้งสติได้ก็ปรึกษากันว่าน่าจะให้แท็กซี่ไปส่งที่สถานี BTS หมอชิตจะปลอดภัยกว่า ถึงแม้ว่าจะต้องเดินบ้างแต่ก็จะสามารถกะเวลาได้ดีกว่านั่งรถไป วันนั้นได้ขึ้นรถไฟฟ้าก็เวลาแปดโมงพอดี ไปถึงสนานีเพลินจิตเวลา 8:20 น. เดินออกที่ทางออกหมายเลข 5 (ทางโฮมโปร) ตามที่ป้าปุ๊อธิบายไว้ ใช้เวลาเดินสิบนาทีก็ถึงสถานทูต ยืนรอหน้าสถานทูตครึ่งชั่วโมง พอเก้าโมงตรงขั้นตอนต่อจากนั้นก็ประมาณนี้ :

1.    นำบัตรประชาชนมาแลกบัตร Visitor ติดเสื้อ
2.    เดินผ่านประตูเข้าไปข้างในผ่านการตรวจความปลอดภัย (Security Check)
3.    เดินไปทางซ้ายตามป้ายที่เขียนว่าไว้ว่าสำหรับผู้ที่มายื่นขอวีซ่า
4.    เข้าไปรับบัตรคิว ผมได้คิวที่ 2 ภรรยาและลูกได้คิวที่ 3 และ 4 ตามลำดับ
5.    รอเรียกตามคิวเข้าไปยังช่องตามที่เขาประกาศ เจ้าหน้าที่ถามผมว่าในคณะมี 3 คนใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ แล้วถามกลับว่าจะให้ผมตามพวกเขาให้เข้ามาเลยไหม เขาบอกว่าให้รอก่อน แล้วก็ตรวจเอกสารที่ผมยื่นให้
6.    ใช้เวลาเช็คข้อมูลในแบบฟอร์มและเอกสารต่างๆ ไม่นาน มีให้ผมเซ็นชื่อในแบบฟอร์มหน้าสุดท้ายที่ผมไม่แน่ใจว่าต้องเซ็นตรงไหน (จึงปล่อยว่างไว้) แล้วก็สแกนรูปที่ผมเหน็บติดไว้กับ Passport
7.    หลังจากนั้นก็ประกาศเรียกคิวที่ 3 และ 4 ให้เข้ามาที่ช่องเดียวกันนี้ แล้วก็เข้าสู่กรรมวิธีตรวจสอบเอกสารเหมือนกันกับที่ตรวจของผมเสร็จไป
8.    ผมพูดถึงจดหมายที่เขียนอธิบายว่าทำไมผมถึงเช็คที่ช่อง Multiple entries (ในจดหมายบอกว่าตั้งใจจะไปสวิสอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว จึงขอความกรุณาอนุมัติระยะเวลาวีซ่าให้ยาวหน่อยหากเป็นไปได้) เจ้าหน้าที่ถามผมเรื่องทริปหน้าว่ามีการจองตั๋วเครื่องบินแล้วหรือยัง? (เสียดายจังที่ผมไม่ได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้ ถ้ามีคงจะทำให้สิ่งที่ขอไปดูหนักแน่นยิ่งขึ้น)
9.    เจ้าหน้าที่นัดให้มารับ Passport สัปดาห์หน้า (เท่ากับว่าใช้เวลา 7 วันพอดี) เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ ใช้เวลาไม่น่าจะถึงสิบห้านาที เป็นอะไรที่นึกไม่ถึงจริงๆ ต้องชมเชยเจ้าหน้าที่ท่านนั้น ท่านทำงานอย่างละเอียดรอบคอบและทำได้รวดเร็วเป็นมืออาชีพมาก



ก่อนจบรีวิว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมบอกประเด็นสำคัญของการขอวีซ่าครั้งนี้ ผมได้วีซ่าแบบ Multiple Entries ระยะเวลาหนึ่งปี . . .
คงจะได้มีโอกาสรีวิวการเที่ยวสวิสมาให้ฟังสองหรือสามครั้งเป็นอย่างน้อยครับ โปรดติดตาม . . .
ชื่อสินค้า:   ขอวีซ่าเชงเก้น
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่