สิ่งที่เรารักรอเราเสมอ มีแต่เราที่เลิกรอ
....................................
มีหญิงสาวนักวิจัยชาวอังกฤษคนหนึ่ง เธอรักการเขียนหนังสือมากตั้งแต่เด็กแต่เธอแต่ไม่เคยคิดจะทำมันเป็นอาชีพ จนวันหนึ่งขณะที่เธอนั่งบนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์และคิงส์ครอสในกรุงลอนดอน มีภาพๆหนึ่งแว่บขึ้นมาในหัว เป็นภาพของหนุ่มน้อยเด็กกำพร้าผู้ค้นพบตัวเองทีหลังว่าเป็นพ่อมด
เธอสนใจภาพของหนุ่มน้อยคนนี้มาก แต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะเขียนเรื่องราวของเขาอย่างจริงจัง นอกจากงานวิจัยประจำแล้ว เธอยังต้องคอยประคับประคองครอบครัวของตัวเอง แม่ของเธอป่วยหนัก ไม่นานนักก็เสียชีวิต ส่วนพ่อของเธอแต่งงานใหม่ จากนั้นไม่นานเธอย้ายไปอยู่ที่โปรตุเกสเพื่อเริ่มเรื่องราวชีวิตใหม่
แต่ชีวิตใหม่ของเธอกลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
เธอพบรักกับหนุ่มชาวโปรตุกีสและมีลูกกับเขา แต่แท้ง ส่วนคนรักโดนเกณฑ์ทหาร ถึงอย่างนั้นเขาทั้งสองก็อดทนจนได้แต่งงานกัน เธอตั้งท้องอีกครั้ง และทำงานประจำเป็นครูสอนภาษาอังกฤษควบคู่กับเป็นแม่บ้านดูแลลูกและครอบครัว
เธอคิดถึงพ่อมดกำพร้า แต่งานและครอบครัวเอาเวลาส่วนตัวของเธอไปหมดจนไม่เหลือให้กับสิ่งอื่น
หลังจากแต่งงานได้ 13 เดือน เธอกับแฟนก็มีปากเสียงกันหนักจนถึงขั้นแยกทางกัน เธอเก็บข้าวของและพาลูกไปอยู่กับน้องสาวที่สกอตแลนด์
เธอตัดสินใจไม่ทำงานอะไรทั้งนั้น เพื่อเอาเวลาไปเขียนเรื่องราวของพ่อมดกำพร้า
เรื่องราวชีวิตตอนใหม่ของเธอทำให้วรรณกรรมเบส์เซลเล่อร์ระดับโลกกำเนิดขึ้น
เธอชื่อ โจแอน แคธลีน โรว์ลิ่ง หรือที่คนทั้งโลกรู้จักในนาม เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียน แฮรี่ พอตเตอร์
7 ปี นับจากวันที่เธอจดบันทึกภาพพ่อมดกำพร้าบนรถไฟจนถึงวันที่ "แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์" ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก
แล้วคุณล่ะครับ เก็บความฝันของคุณไว้นานแค่ไหนแล้ว
เลิกทำสงครามภายใน
มีหลายคนที่เจองานที่รักแต่ไม่พร้อมที่จะทำเพราะติดเงื่อนไขบางอย่าง บางคนอาจติดที่ต้องดูแลครอบครัว บางคนยังจำเป็นต้องทำงานที่มีรายได้มั่นคงเพราะมีภาระค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย หลายคนทุกข์กับทางที่เลือกและรู้สึกเหมือนถูกบีบให้ตกอยู่ในภาวะจำยอม
ทุกครั้งที่เราเลือกทำอะไรบางอย่างที่ขัดกับความต้องการของตัวเอง จะเกิดสงครามขึ้นภายในใจเราเสมอ ระหว่างอิสระกับความมั่นคง ระหว่างสิ่งที่รักกับคนที่รัก ระหว่างความอยากกับความจำเป็น การตัดสินใจทำสิ่งที่รักไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องทิ้งประสบการณ์ในสายงานและรายได้เพื่อเริ่มสิ่งใหม่จากศูนย์ ทั้งๆที่มีใครซักคนที่เราต้องดูแล
ไม่ว่าเลือกทางไหนเราก็รู้สึกผิด แต่รู้สึกผิดแล้วต้องหาข้อตกลงกับหัวใจ หากเรายังเฝ้าคิดวนตอกย้ำความรู้สึกผิดไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นสงครามศรูเสทที่รบกันเป็นร้อยปีไม่รู้จบ และตราบใดที่ข้างในเรารบกัน เราจะไม่มีความสุข
ทั้งที่สิ่งที่เราเลือกก็มีความสุขในแบบของมัน ทำให้ชีวิตมีหลักยึดไม่โคลงเคลง ขอเพียงอย่ารีบทิ้งสิ่งที่เรารักไว้กลางทาง
การที่เราเฝ้าแต่คิดว่า “จะดีแค่ไหน ถ้าเราเลือกทำงานที่รัก” จะทำให้เรามีความสุขแต่ในโลกความฝัน และรู้สึกแปลกแยกเมื่อกลับมาใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง ทั้งที่ยังมีความสุขมากมายที่อยู่ตรงหน้าเรา
และถึงเราจะได้ทำงานในฝัน มันก็มีความบีบคั้นในแบบของมันรออยู่ ต้องต่อสู้กับความไม่มั่นคงและการเปลี่ยนแปลง มันไม่สุขอย่างเดียวเหมือนที่เราจินตนาการอย่างแน่นอน
จะเลือกทำงานที่รัก หรือ ดูแลคนที่รัก ก็มีความสุขและทุกข์บนเส้นทางของมันรออยู่
ทุกเส้นทางต่างมีแง่งามของมัน หากเราเลือกทางนี้แล้ว ลองชื่นชมความงามบนเส้นทางที่เราเลือก สำหรับช่วงเวลานี้กับเงื่อนไขชีวิตต่างๆ ทางเลือกนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เหมาะที่สุดสำหรับเรา ขอให้อยู่กับทางเลือกของตัวเองและทำให้ดีที่สุด
และเมื่อนั้น สันติภายในใจเราจะเกิด เราจะเริ่มมองเห็นความสุขรอบๆตัว
การที่เสียสละเพื่อคนที่รัก ก็ทำให้ชีวิตเราพบกับความสุขเช่นกัน
ไม่ใช่มีแค่คนที่ตามฝันที่น่ายกย่อง
บ่อยครั้งที่เราได้ยินเรื่องของคนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อทำฝันให้เป็นจริงแล้วทำให้เรารู้สึกผิดเมื่อหันมามองตัวเอง แต่แทนที่จะรู้สึกผิด ลองถามตัวเองดีกว่ามั๊ยครับว่ามีแต่คนที่ทำตามฝันเท่านั้นหรือที่มีคุณค่า
American Dream เป็นค่านิยมเชิดชูคนที่เดินตามฝันและประสบความสำเร็จ สร้างขึ้นโดยรัฐบาลอเมริกันผ่านหนังฮอลลีวู้ดและเผยแพร่ไปทั่วโลก เรามักจะได้ยินเรื่องราวของคนที่ทำฝันให้เป็นจริงมากมาย ทั้งบุคคลระดับโลกและซุปเปอร์สตาร์ในเมืองไทย จน “อิสระและความฝัน” เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ “อิสระและความฝัน” ขายได้เสมอ
แต่กับคนที่เสียสละความฝันส่วนตัวเพื่อผู้อื่น สื่อไม่ค่อยสนใจมากนัก ไม่ใช่ค่านิยมกระแสหลักที่พวกเขาพยายามจะสร้าง
สำหรับสังคมทุนนิยม “ผู้ชนะ” คิอผู้ที่ทำฝันให้เป็นจริง คนที่ทิ้งความฝัน คือ “ผู้พ่ายแพ้” ในเส้นทางชีวิต
สังคมเลยไม่เห็นค่าของคนกลุ่มนี้มากนัก
ทั้งที่ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาทำเต็มไปด้วยคุณค่า
ความมั่นคงจะเกิดขึ้นภายในใจได้ เมื่อเราเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำตามความเป็นเจริง เมื่อเราเห็นความดีในตัวเรา เราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเรากับคนที่ไล่ตามความฝัน ไม่จำเป็นต้องรู้สึกด้อยหากมีใครตั้งคำถาม เพราะสิ่งที่เราทำก็มีค่า
จริงอยู่ที่คนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเดินตามความฝันเป็นคนที่น่ายกย่อง แต่คนที่ยอมทิ้งอิสระเพื่อดูแลคนที่เขารักก็น่าจะเป็นคนที่น่าชื่นชมไม่แพ้กัน
และคุณก็มีคุณค่าไม่ต่างจากพวกเขา
“ทำความดีอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น มันก็ยังดีอยู่นั่นเองแหละ” หลวงพ่อชาว่าไว้
วันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงจะเปิดโอกาสให้เรา
หลังจากแยกทางกับสามี เจ.เค. โรว์ลิ่ง ตัดสินใจเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างจริงจัง สถานการณ์ของเธอเอื้อต่อการเขียนหนังสือมากขึ้น เธอไม่ต้องดูแลสามีทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงเปิดโอกาสให้เธอได้เลือกที่จะทำในสิ่งที่รักง่ายยิ่งขึ้น
ถึงวันนี้เราจะยังไม่มีโอกาสได้ทำงานที่รัก ก็อย่าพึ่งเลิกทำมัน วันหนึ่งเราจะมีโอกาสทำมันอย่างแน่นอน ลองหาที่หาทางให้มันได้อยู่ในชีวิตของเราเพื่อที่เราจะได้ได้ฝึกปรือความสามารถ จะจัดให้มันอยู่ในกลุ่มงานอดิเรก หรือจะทำมันให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นในรูปแบบงานจิตอาสา จะจัดวางมันเป็นการพักผ่อน
แล้ววันนึงโลกภายนอกจะเปลี่ยนไปพร้อมเงื่อนไขที่เปิดกว้างขึ้น
หรือไม่ภายในเราอาจเปลี่ยนแปลงจนพร้อมจะตอบรับงานที่เรารัก วันหนึ่งเราอาจหาวิธีบริหารการเงินจนออกมาทำสิ่งที่รักได้ เราอาจหาวิธีจัดการกับความกลัวภายในจนเราสามารถดูแลคนที่รักไปพร้อมกับทำงานในฝัน
ตราบใดที่เรายังไม่ทิ้งความฝัน ความฝันก็ไม่ทิ้งเรา
อย่าหยุดทำสิ่งที่รัก
ผมเขียนหนังสือเวลาว่างมา 4 ปี ก่อนจะได้เป็นนักเขียนอาชีพเพราะผมไม่เคยหยุดเขียน ถึงเราจะไม่ได้ทำสิ่งที่รักเป็นอาชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยู่ห่างจากมัน ลองหาที่หาทางให้มันอยู่ใกล้ๆเรา แล้ววันหนึ่งมันจะกลายเป็นอาชีพของเรา
1: หาสนามซ้อม เพราะผมเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ทำให้ผมได้ฝึกฝนการเขียนอย่างต่อเนื่อง และผมจะโพสท์บทความลงเฟสบุ๊กเพื่อดูคอมเมนท์ ไลค์ แชร์ จากเพื่อนๆและผู้ติดตามว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้าง ผมได้เห็นจุดแข็ง จุดอ่อนตัวเอง แล้วคุณละครับ สนามซ้อมของคุณอยู่ที่ไหน หากคุณรักการทำอาหารหรือเค้ก ลองเข้าครัวทำอาหารฝากเพื่อนให้บ่อยยิ่งขึ้น ถ้าคุณชอบงานดีไซนเนอร์ลองสเก็ตซ์ภาพและโพสท์ลงเฟสบุ๊กหรืออินสตาแกรมเพื่อเช็คฟีดแบคจากเพื่อนๆ
2: คบกับคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน รุ่นน้องในออฟฟิสของผมคนหนึ่งชอบเขียนหนังสือเหมือนกัน เขาเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร a day เรามักจะเอางานของเราแลกกันดูและขอความเห็นเพื่อหาทางทำให้งานเขียนของเราดียิ่งขึ้น การที่เราได้อยู่ใกล้และได้คุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนที่ชอบเหมือนกันจะช่วยเติมเชื้อไฟในการทำสิ่งที่รักไม่ให้ดับ ลองลงคลาสเรียน หรือเข้าสัมมนาและนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งที่เรารัก นอกจากจะได้ความรู้แล้ว เราอาจได้เจอเพื่อนใหม่และได้แรงบันดาลใจดีๆจากพวกเขา
3: หมั่นสังเกตสิ่งรอบตัว ทุกสิ่งรอบตัวเรามักเกี่ยวกับสิ่งที่เรารัก ผมไม่ได้ขัดเกลาทักษะจากการเขียนหนังสืออย่างเดียว ทุกครั้งที่ผมดูหนังหรือฟังเพลง ผมจะสังเกตวิธีเล่าเรื่องของผู้กำกับและนักแต่งเพลงไปด้วย ผมจะศึกษาความคิดและความรู้สึกคนจากเฟสบุ๊ก ผมอ่านหนังสือเพื่อสะสมวัตถุดิบในการเขียน หากเราสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวเราดีๆ เราจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรารักได้
4: ฟังเสียงภายในตัวเองมากกว่าฟังเสียงภายนอก ระหว่างทางที่เรารอโอกาสที่จะทำสิ่งที่รักเป็นอาชีพ เราจะเจอกับ “นักฆ่าความฝัน” มากมาย คนที่บอกว่าเราไม่มีวันทำสิ่งที่รักได้ คนที่บอกว่าเราโลกสวยเกินไป ขอให้ฟังเสียงข้างในตัวเรามากกว่าเสียงของพวกเขา มีแต่เสียงภายในตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าเราต้องการอะไร
.........................................
มีหลายคนที่ผมรู้จักไม่รู้ว่าสิ่งที่เขารักที่จะทำคืออะไร และผมมักจะแอบเสียดายแทนเสมอ จริงอยู่ที่เราทุกคนสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องรู้ว่าสิ่งที่เรารักที่จะทำคืออะไร แต่การที่เราได้รับรู้ว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งใด เกิดมาเพื่อทำอะไร และทำสิ่งนั้นให้เป็นจริง มันช่วยพาเราไปพบอีกหนึ่งความหมายของชีวิต
และหากวันนี้คุณรู้จักมันแล้ว อย่าทิ้งมันไป อย่าหยุดทำมัน คุณเดินมาไกลมากจากจุดที่คุณยังไม่รู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไร สิ่งที่เรารักที่จะทำรอเราเสมอ มีแต่เราที่เลิกรอ
และคุณกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะได้ทำมัน
.............................................
ความสุขของมนุษย์เงินเดือน
ตอนที่ 3: สิ่งที่เรารัก รอเราเสมอ
ยอดรักเขียน
facebook.com/yodwriter
ความสุขของมนุษย์เงินเดือน ตอน สิ่งที่เรารัก รอเราเสมอ
สิ่งที่เรารักรอเราเสมอ มีแต่เราที่เลิกรอ
....................................
มีหญิงสาวนักวิจัยชาวอังกฤษคนหนึ่ง เธอรักการเขียนหนังสือมากตั้งแต่เด็กแต่เธอแต่ไม่เคยคิดจะทำมันเป็นอาชีพ จนวันหนึ่งขณะที่เธอนั่งบนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์และคิงส์ครอสในกรุงลอนดอน มีภาพๆหนึ่งแว่บขึ้นมาในหัว เป็นภาพของหนุ่มน้อยเด็กกำพร้าผู้ค้นพบตัวเองทีหลังว่าเป็นพ่อมด
เธอสนใจภาพของหนุ่มน้อยคนนี้มาก แต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะเขียนเรื่องราวของเขาอย่างจริงจัง นอกจากงานวิจัยประจำแล้ว เธอยังต้องคอยประคับประคองครอบครัวของตัวเอง แม่ของเธอป่วยหนัก ไม่นานนักก็เสียชีวิต ส่วนพ่อของเธอแต่งงานใหม่ จากนั้นไม่นานเธอย้ายไปอยู่ที่โปรตุเกสเพื่อเริ่มเรื่องราวชีวิตใหม่
แต่ชีวิตใหม่ของเธอกลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
เธอพบรักกับหนุ่มชาวโปรตุกีสและมีลูกกับเขา แต่แท้ง ส่วนคนรักโดนเกณฑ์ทหาร ถึงอย่างนั้นเขาทั้งสองก็อดทนจนได้แต่งงานกัน เธอตั้งท้องอีกครั้ง และทำงานประจำเป็นครูสอนภาษาอังกฤษควบคู่กับเป็นแม่บ้านดูแลลูกและครอบครัว
เธอคิดถึงพ่อมดกำพร้า แต่งานและครอบครัวเอาเวลาส่วนตัวของเธอไปหมดจนไม่เหลือให้กับสิ่งอื่น
หลังจากแต่งงานได้ 13 เดือน เธอกับแฟนก็มีปากเสียงกันหนักจนถึงขั้นแยกทางกัน เธอเก็บข้าวของและพาลูกไปอยู่กับน้องสาวที่สกอตแลนด์
เธอตัดสินใจไม่ทำงานอะไรทั้งนั้น เพื่อเอาเวลาไปเขียนเรื่องราวของพ่อมดกำพร้า
เรื่องราวชีวิตตอนใหม่ของเธอทำให้วรรณกรรมเบส์เซลเล่อร์ระดับโลกกำเนิดขึ้น
เธอชื่อ โจแอน แคธลีน โรว์ลิ่ง หรือที่คนทั้งโลกรู้จักในนาม เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียน แฮรี่ พอตเตอร์
7 ปี นับจากวันที่เธอจดบันทึกภาพพ่อมดกำพร้าบนรถไฟจนถึงวันที่ "แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์" ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก
แล้วคุณล่ะครับ เก็บความฝันของคุณไว้นานแค่ไหนแล้ว
เลิกทำสงครามภายใน
มีหลายคนที่เจองานที่รักแต่ไม่พร้อมที่จะทำเพราะติดเงื่อนไขบางอย่าง บางคนอาจติดที่ต้องดูแลครอบครัว บางคนยังจำเป็นต้องทำงานที่มีรายได้มั่นคงเพราะมีภาระค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย หลายคนทุกข์กับทางที่เลือกและรู้สึกเหมือนถูกบีบให้ตกอยู่ในภาวะจำยอม
ทุกครั้งที่เราเลือกทำอะไรบางอย่างที่ขัดกับความต้องการของตัวเอง จะเกิดสงครามขึ้นภายในใจเราเสมอ ระหว่างอิสระกับความมั่นคง ระหว่างสิ่งที่รักกับคนที่รัก ระหว่างความอยากกับความจำเป็น การตัดสินใจทำสิ่งที่รักไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องทิ้งประสบการณ์ในสายงานและรายได้เพื่อเริ่มสิ่งใหม่จากศูนย์ ทั้งๆที่มีใครซักคนที่เราต้องดูแล
ไม่ว่าเลือกทางไหนเราก็รู้สึกผิด แต่รู้สึกผิดแล้วต้องหาข้อตกลงกับหัวใจ หากเรายังเฝ้าคิดวนตอกย้ำความรู้สึกผิดไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นสงครามศรูเสทที่รบกันเป็นร้อยปีไม่รู้จบ และตราบใดที่ข้างในเรารบกัน เราจะไม่มีความสุข
ทั้งที่สิ่งที่เราเลือกก็มีความสุขในแบบของมัน ทำให้ชีวิตมีหลักยึดไม่โคลงเคลง ขอเพียงอย่ารีบทิ้งสิ่งที่เรารักไว้กลางทาง
การที่เราเฝ้าแต่คิดว่า “จะดีแค่ไหน ถ้าเราเลือกทำงานที่รัก” จะทำให้เรามีความสุขแต่ในโลกความฝัน และรู้สึกแปลกแยกเมื่อกลับมาใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง ทั้งที่ยังมีความสุขมากมายที่อยู่ตรงหน้าเรา
และถึงเราจะได้ทำงานในฝัน มันก็มีความบีบคั้นในแบบของมันรออยู่ ต้องต่อสู้กับความไม่มั่นคงและการเปลี่ยนแปลง มันไม่สุขอย่างเดียวเหมือนที่เราจินตนาการอย่างแน่นอน
จะเลือกทำงานที่รัก หรือ ดูแลคนที่รัก ก็มีความสุขและทุกข์บนเส้นทางของมันรออยู่
ทุกเส้นทางต่างมีแง่งามของมัน หากเราเลือกทางนี้แล้ว ลองชื่นชมความงามบนเส้นทางที่เราเลือก สำหรับช่วงเวลานี้กับเงื่อนไขชีวิตต่างๆ ทางเลือกนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เหมาะที่สุดสำหรับเรา ขอให้อยู่กับทางเลือกของตัวเองและทำให้ดีที่สุด
และเมื่อนั้น สันติภายในใจเราจะเกิด เราจะเริ่มมองเห็นความสุขรอบๆตัว
การที่เสียสละเพื่อคนที่รัก ก็ทำให้ชีวิตเราพบกับความสุขเช่นกัน
ไม่ใช่มีแค่คนที่ตามฝันที่น่ายกย่อง
บ่อยครั้งที่เราได้ยินเรื่องของคนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อทำฝันให้เป็นจริงแล้วทำให้เรารู้สึกผิดเมื่อหันมามองตัวเอง แต่แทนที่จะรู้สึกผิด ลองถามตัวเองดีกว่ามั๊ยครับว่ามีแต่คนที่ทำตามฝันเท่านั้นหรือที่มีคุณค่า
American Dream เป็นค่านิยมเชิดชูคนที่เดินตามฝันและประสบความสำเร็จ สร้างขึ้นโดยรัฐบาลอเมริกันผ่านหนังฮอลลีวู้ดและเผยแพร่ไปทั่วโลก เรามักจะได้ยินเรื่องราวของคนที่ทำฝันให้เป็นจริงมากมาย ทั้งบุคคลระดับโลกและซุปเปอร์สตาร์ในเมืองไทย จน “อิสระและความฝัน” เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ “อิสระและความฝัน” ขายได้เสมอ
แต่กับคนที่เสียสละความฝันส่วนตัวเพื่อผู้อื่น สื่อไม่ค่อยสนใจมากนัก ไม่ใช่ค่านิยมกระแสหลักที่พวกเขาพยายามจะสร้าง
สำหรับสังคมทุนนิยม “ผู้ชนะ” คิอผู้ที่ทำฝันให้เป็นจริง คนที่ทิ้งความฝัน คือ “ผู้พ่ายแพ้” ในเส้นทางชีวิต
สังคมเลยไม่เห็นค่าของคนกลุ่มนี้มากนัก
ทั้งที่ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาทำเต็มไปด้วยคุณค่า
ความมั่นคงจะเกิดขึ้นภายในใจได้ เมื่อเราเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำตามความเป็นเจริง เมื่อเราเห็นความดีในตัวเรา เราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเรากับคนที่ไล่ตามความฝัน ไม่จำเป็นต้องรู้สึกด้อยหากมีใครตั้งคำถาม เพราะสิ่งที่เราทำก็มีค่า
จริงอยู่ที่คนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเดินตามความฝันเป็นคนที่น่ายกย่อง แต่คนที่ยอมทิ้งอิสระเพื่อดูแลคนที่เขารักก็น่าจะเป็นคนที่น่าชื่นชมไม่แพ้กัน
และคุณก็มีคุณค่าไม่ต่างจากพวกเขา
“ทำความดีอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น มันก็ยังดีอยู่นั่นเองแหละ” หลวงพ่อชาว่าไว้
วันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงจะเปิดโอกาสให้เรา
หลังจากแยกทางกับสามี เจ.เค. โรว์ลิ่ง ตัดสินใจเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างจริงจัง สถานการณ์ของเธอเอื้อต่อการเขียนหนังสือมากขึ้น เธอไม่ต้องดูแลสามีทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงเปิดโอกาสให้เธอได้เลือกที่จะทำในสิ่งที่รักง่ายยิ่งขึ้น
ถึงวันนี้เราจะยังไม่มีโอกาสได้ทำงานที่รัก ก็อย่าพึ่งเลิกทำมัน วันหนึ่งเราจะมีโอกาสทำมันอย่างแน่นอน ลองหาที่หาทางให้มันได้อยู่ในชีวิตของเราเพื่อที่เราจะได้ได้ฝึกปรือความสามารถ จะจัดให้มันอยู่ในกลุ่มงานอดิเรก หรือจะทำมันให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นในรูปแบบงานจิตอาสา จะจัดวางมันเป็นการพักผ่อน
แล้ววันนึงโลกภายนอกจะเปลี่ยนไปพร้อมเงื่อนไขที่เปิดกว้างขึ้น
หรือไม่ภายในเราอาจเปลี่ยนแปลงจนพร้อมจะตอบรับงานที่เรารัก วันหนึ่งเราอาจหาวิธีบริหารการเงินจนออกมาทำสิ่งที่รักได้ เราอาจหาวิธีจัดการกับความกลัวภายในจนเราสามารถดูแลคนที่รักไปพร้อมกับทำงานในฝัน
ตราบใดที่เรายังไม่ทิ้งความฝัน ความฝันก็ไม่ทิ้งเรา
อย่าหยุดทำสิ่งที่รัก
ผมเขียนหนังสือเวลาว่างมา 4 ปี ก่อนจะได้เป็นนักเขียนอาชีพเพราะผมไม่เคยหยุดเขียน ถึงเราจะไม่ได้ทำสิ่งที่รักเป็นอาชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยู่ห่างจากมัน ลองหาที่หาทางให้มันอยู่ใกล้ๆเรา แล้ววันหนึ่งมันจะกลายเป็นอาชีพของเรา
1: หาสนามซ้อม เพราะผมเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ทำให้ผมได้ฝึกฝนการเขียนอย่างต่อเนื่อง และผมจะโพสท์บทความลงเฟสบุ๊กเพื่อดูคอมเมนท์ ไลค์ แชร์ จากเพื่อนๆและผู้ติดตามว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้าง ผมได้เห็นจุดแข็ง จุดอ่อนตัวเอง แล้วคุณละครับ สนามซ้อมของคุณอยู่ที่ไหน หากคุณรักการทำอาหารหรือเค้ก ลองเข้าครัวทำอาหารฝากเพื่อนให้บ่อยยิ่งขึ้น ถ้าคุณชอบงานดีไซนเนอร์ลองสเก็ตซ์ภาพและโพสท์ลงเฟสบุ๊กหรืออินสตาแกรมเพื่อเช็คฟีดแบคจากเพื่อนๆ
2: คบกับคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน รุ่นน้องในออฟฟิสของผมคนหนึ่งชอบเขียนหนังสือเหมือนกัน เขาเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร a day เรามักจะเอางานของเราแลกกันดูและขอความเห็นเพื่อหาทางทำให้งานเขียนของเราดียิ่งขึ้น การที่เราได้อยู่ใกล้และได้คุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนที่ชอบเหมือนกันจะช่วยเติมเชื้อไฟในการทำสิ่งที่รักไม่ให้ดับ ลองลงคลาสเรียน หรือเข้าสัมมนาและนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งที่เรารัก นอกจากจะได้ความรู้แล้ว เราอาจได้เจอเพื่อนใหม่และได้แรงบันดาลใจดีๆจากพวกเขา
3: หมั่นสังเกตสิ่งรอบตัว ทุกสิ่งรอบตัวเรามักเกี่ยวกับสิ่งที่เรารัก ผมไม่ได้ขัดเกลาทักษะจากการเขียนหนังสืออย่างเดียว ทุกครั้งที่ผมดูหนังหรือฟังเพลง ผมจะสังเกตวิธีเล่าเรื่องของผู้กำกับและนักแต่งเพลงไปด้วย ผมจะศึกษาความคิดและความรู้สึกคนจากเฟสบุ๊ก ผมอ่านหนังสือเพื่อสะสมวัตถุดิบในการเขียน หากเราสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวเราดีๆ เราจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรารักได้
4: ฟังเสียงภายในตัวเองมากกว่าฟังเสียงภายนอก ระหว่างทางที่เรารอโอกาสที่จะทำสิ่งที่รักเป็นอาชีพ เราจะเจอกับ “นักฆ่าความฝัน” มากมาย คนที่บอกว่าเราไม่มีวันทำสิ่งที่รักได้ คนที่บอกว่าเราโลกสวยเกินไป ขอให้ฟังเสียงข้างในตัวเรามากกว่าเสียงของพวกเขา มีแต่เสียงภายในตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าเราต้องการอะไร
.........................................
มีหลายคนที่ผมรู้จักไม่รู้ว่าสิ่งที่เขารักที่จะทำคืออะไร และผมมักจะแอบเสียดายแทนเสมอ จริงอยู่ที่เราทุกคนสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องรู้ว่าสิ่งที่เรารักที่จะทำคืออะไร แต่การที่เราได้รับรู้ว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งใด เกิดมาเพื่อทำอะไร และทำสิ่งนั้นให้เป็นจริง มันช่วยพาเราไปพบอีกหนึ่งความหมายของชีวิต
และหากวันนี้คุณรู้จักมันแล้ว อย่าทิ้งมันไป อย่าหยุดทำมัน คุณเดินมาไกลมากจากจุดที่คุณยังไม่รู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไร สิ่งที่เรารักที่จะทำรอเราเสมอ มีแต่เราที่เลิกรอ
และคุณกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะได้ทำมัน
.............................................
ความสุขของมนุษย์เงินเดือน
ตอนที่ 3: สิ่งที่เรารัก รอเราเสมอ
ยอดรักเขียน
facebook.com/yodwriter