รีวิวนี้แป็นรีวิวแรกของเรานะคะ ภาพอาจจะไม่สวยมากเพราะเป็นคนใจร้อน ไม่ค่อยตั้งใจถ่ายรูปอ่ะ กล้องมือถือนี่แหล่ะค่ะ จะพยายามให้รายละเอียดข้อมูลการท่องเที่ยวเยอะๆเผื่อใครอยากลอกการบ้าน
ทริปนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ของเรากับคุณแฟนค่ะ ด้วยความที่ช่วงนี้วีซ่าฟรีแถมโปรตั๋วเครื่องบินก็มีออกมาเรื่อยๆ จึงรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก ก่อนหน้านี้ไป Kyushu มาด้วยละ พอดียังหารูปถ่ายไม่เจอเลยขอเล่าทริปนี้ก่อนละกันค่ะ เราเป็นคนชอบเที่ยวยาวๆนะ ให้คุ้มค่าตั๋วเครื่องบิน ถ้าให้ไป 4-5 คืนนี่นอนอยู่บ้านดีกว่าอ่ะ
ทริปนี้ค่าใช้จ่าย 44,xxx.- ต่อคน อันนี้รวมช้อปปิ้งแล้วด้วยนะ ไม่แพงเลยใช่ไหมล่ะ เราไม่ได้เที่ยวแบบเน้นประหยัดนะคะ เลือกพักโรงแรมดีบ้าง ถูกบ้าง แต่ไม่ถึงกับแนวแบ็คแพค Hostel ค่ะ ทานอาหารในซุปเปอร์บ้าง ร้านอาหารบ้างสลับกันไป เราชอบแนวธรรมชาติ ทุกทริปจะวางแผนเที่ยวในตัวเมือง 2-3 วันสุดท้าย ไม่ได้อยากช้อปปิ้งหรือดูตึก เพราะเราว่าตึกรามบ้านช่องที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้สวยงามพิเศษอะไรเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ แต่สิ่งที่สวยงามคือธรรมชาติ ออนเซน วัดและเมืองเก่าค่ะ
ได้ตั๋วสายการบิน Vietnam Airlines มาในราคา 12,xxx ค่ะ เราคิดว่าคุ้มค่ากว่าไป Low cost เยอะเพราะจ่ายเพิ่มไม่กี่พันแต่ได้อาหาร 4 มื้อ เบียร์ ไวน์เพียบ อิอิ ทำไมได้ 4 มื้อน่ะเหรอ ก็เพราะต้องแวะต่อเครื่องไง น้ำหนักกระเป๋าคนละ 20 กก. ที่สำคัญเราไม่จำเป็นต้องไปกลับจากสนามบินเดียวกันด้วย ทำให้การเที่ยวไม่ต้องวน Loop ค่ะ เวลาบินเป็นเช่นนี้
ขาไป
BKK - HANOI 19.05 - 20.55 (แวะพักประมาณ 3 ชม. สนามบินฮานอยสวยงามตื่นตามากค่ะ เก้าอี้ว่างเพียบ นอนพักได้เลย)
HANOI – NAGOYA (Chubu Centrair) 00.15 - 06.55 ถึงเช้าค่ะ เที่ยวต่อสบายเลย
ขากลับ
OSAKA KIX - HANOI 10.30 - 13.30
HANOI - BKK 16.15 – 18.05
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง ไปสถานีรถไฟ Nagoya station นั้นก็สะดวกค่ะ ขึ้นรถไฟฟ้า Meitetsu Line ประมาณครึ่งชั่วโมง ราคา 870 เยน มีเคาน์เตอร์ขายตั๋วหน้าสถานีเลยค่ะ หน้าตารถไฟเป็นแบบนี้ค่ะ รายละเอียดการเข้าเมืองตาม Link
http://www.centrair.jp/en/to_and_from/access/train.html

เราไม่แวะเที่ยวนาโกย่าแต่จุดหมาย คือ เมืองออนเซน Okuhida อันแสนสวยงาม เป็นจุดที่เราต่อรถบัสไปเที่ยว Kamikochi และ Shinhotaka Robeway ได้ แนะนำมากๆค่ะเมืองนี้
เมื่อถึง Nagoya station ก่อนอื่นเราต้องไปแลกตั๋ว Takayama-Hokuriku area pass กันก่อน ซื้อจากเมืองไทยมาในสนนราคาคนละ 3,6xx บาท แต่เกินคุ้มค่ะ ตอนเราไปถึงเช้ามาก เคาน์เตอร์แลกตั๋ว JR Pass หลักและประชาสัมพันธ์ยังไม่เปิดเลยค่ะ สถานีก็ใหญ่มาก กว่าจะเดินหาจุดแลกตั๋วเจอก็เล่นเอามึนหลายรอบและถามคนหลายคน ไม่มีใครพูดอังกฤษได้เท่าไหร่ด้วยค่ะ แต่ก็เดินจนเจอ
การที่จะไป Okuhida Onsen Town นั้นเราต้องไปที่ Takayama ก่อนค่ะ นั่งรถไฟไป 150 นาที วิธีการดูเวลารถไฟก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าเว็บนี้ www.hyperdia.com เราจะเลือกไปก่อนและไปถึงก็ทำการจองตอนแลก Pass ได้เลย
เมื่อถึงสถานี Takayama เราต้องเดินไปที่สถานีรถบัส ซึ่งอยู่ไปทางซ้ายของสถานีรถไฟประมาณ 200 ม. เพื่อซื้อตั๋วรถบัสไป Hirayu Onsen ค่ะ เราซื้อ Pass ซึ่งรวมตั๋ว Bus ไป-กลับ ค่าขึ้นกระเช้า Shinhotaka Ropeway และไป Kamikochi ได้ด้วย ก็ไม่ถูกค่ะ คนละ 4,xxx เลยทีเดียว ตั๋วนี้ก็รู้จักมาจากกระทู้ Pantip นี่แหล่ะค่ะ แนะนำว่าศึกษาไปก่อน ไม่งั้นไปถึงตรงนั้นแล้วมึน
ขอให้ Credit กระทู้นี้เลยคะ
http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11848934/E11848934.html
รถบัสมีเป็นรอบๆทุกชั่วโมงค่ะ Okuhida นั้นประกอบด้วย 5 เมืองออนเซ็นที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามแตกต่างกันไป
http://www.japanican.com/th/special/info/okuhida/index.aspx แต่เราไปลงป้าย Hirayu Onsen เพราะเป็นสถานีใหญ่ เชื่อมต่อไปที่ท่องเที่ยวและมีที่พักหลายแห่ง ใช้เวลาจาก Takayama Station 1 ชม. สรุปรวมเวลาเดินทางนับจากลงเครื่องก็ 3 ชม.ครึ่งได้ แบบว่าต้องอึดหน่อย บางคนอาจเลือกแวะพักที่ Takayama ก่อนก็ได้ แต่เราวางแผนจะกลับมาเที่ยวทีเดียวเพื่อไป Shirakawago ต่อได้ไม่เหนื่อย
ถึงแล้ว Hirayu Onsen Station หน้าตาแบบนี้ค่ะ
สังเกตุไอ้เสาต้นนี้ไว้ดีๆค่ะ เป็นจุดสังเกตุว่าลงสถานีนี้
เราแนะนำให้พักที่นี่ 2 คืนนะ รอบๆสถานีนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรให้เดินเที่ยวค่ะ เป็นหมู่บ้านเล็กมากๆ เป็นจุดต่อรถเฉยๆ ที่พักแถวนั้นเป็น Ryokan เกือบทั้งหมด ก็แพงใช้ได้เลย เราพักที่ Tsuyukusa คืนละ 5,xxx รวมอาหารเช้าและเย็นค่ะ แถวนั้นมีร้านอาหารไม่เยอะ เห็นมีที่สถานีรถบัสที่เดียวมั้ง แนะนำว่ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อความสะดวกสบายและได้ชิมอาหารญี่ปุ่นแท้ๆด้วย ราคาที่เราได้มาค่อนข้างพิเศษเพราะเพื่อนญี่ปุ่นจองให้ค่ะ ถ้าจองตามเว็บทั่วไปเหมือนจะแพงกว่านิสนึง ที่นี่ดีตรงที่มีห้องอาบน้ำพร้อมบ่อออนเซนส่วนตัวให้เลือกใช้ 3 ห้องแน่ะ ที่นอนนุ่มสบาย ขนาดเราเป็นคนนอน Japanese Mattress แบบนี้ไม่ค่อยได้ยังหลับปุ๋ยเลย เจ้าของเป็นคุณปู่คุณย่าที่ไม่พูดอังกฤษค่ะ แต่แกน่ารักและพยายามสื่อสารกับเรา แถมมีถ่ายรูปโพลารอยด์ให้เราเป็นที่ระลึกหลายใบด้วย แกจะมีใบข้อมูลภาษาอังกฤษยื่นให้เรื่องเวลาอาหารและกฏต่างๆค่ะ
บรรยากาศโดยรอบ ก็เงียบสงัดค่า 555
เข้าที่พัก ฝากกระเป๋าแล้ว เราก็ไปเที่ยว Shinhotaka Ropeway กันก่อนเลย เนื่องจาก Kamikochi ต้องใช้เวลาทั้งวัน เส้นทางเดินป่านั้นยาวหลาย กม.ค่ะ และมีหลาย Route แล้วแต่ใครจะอึดแค่ไหน เราก็เดินกลับไปที่สถานีรถบัสนั้นแหล่ะ เพื่อขึ้นรถไป Shinhotaka Ropeway Station ใช้เวลาประมาณครึ่งชม. (ที่สถานีมีเจ้าหน้าที่พูดอังกฤษได้ค่ะ สอบถามได้ตลอด ไม่ต้องกลัวหลง ป้ายชัดเจน) เป็นที่ๆจะไม่ค่อยเจอคนไทย ตอนเราไปใบไม้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี ถ้าเปลี่ยนเต็มที่แล้วคงสวยกว่านี้มาก วิวสุดยอดจริงๆคุ้มค่าตั๋วทุกสตางค์ค่ะ (เห็นภาพถ่ายที่คนอื่นเค้าลงก็แอบอายนะ ของเราง่อยมาก คือเอาว่า สถานที่จริงสวยกว่าภาพถ่ายหลายเท่าค่ะ)

ตอนที่เราไปเดือนตุลาคม อากาศดีค่ะ 20 กว่าองศา แต่ขอบอกว่าเตรียมเสื้อหนาวไปเผื่อบนยอดเขาด้วยนะคะ อากาศต่างกันมากมาย เพราะขึ้นไปกว่า 3 พันเมตรค่ะ วันนั้นไม่ได้เตรียมเสื้อหนาๆไป เจอ -5 องศา แทบอยากลงทันที หมดสนุกเบย ระหว่างขึ้นไปและข้างบนวิวเทพมากค่ะ แต่เราว่าจะดีมากถ้ามีร้านอาหารหรือคาเฟ่แบบ Open air ข้างบนน่ะ มีทางเดินป่าด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้ไป
วันแรกก็สิ้นสุดลง กลับมาแช่น้ำร้อนที่โรงแรม ฟินสุดๆเลย อากาศกลางคืนหนาวจนเราต้องเปิด Heater ค่ะ
วันที่ 2 ของทริปเราจะไป Kamikochi National Park ค่ะ อยากบอกว่าเป็น Highlight ของทริปนี้และเป็นสถานที่ๆสวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง วันที่ไปตรงกับวันหยุดที่นั่นพอดีเลยมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นล้นหลามมากๆ เราประทับใจกับการจัดการรถบัสของเค้า ตั้งแต่ตรงสถานี Hirayu Onsen เจ้าหน้าที่บอกก่อนเลยค่ะว่าที่เราจะไปคนเยอะเป็นพิเศษ แนะนำเสร็จว่ามีจุดขึ้นรถบัสกี่จุดขากลับ อาจจะรอนานหน่อย แต่มีการเพิ่มจำนวนรถให้แล้ว แอบเซรงเล็กน่อยว่าจะไปเจอมวลมหาประชาชนล้านแปดอยู่ในอุทยานอันแสนสวยของเรา!!! ฮื้อออ
เมื่อมาถึงจะเจอสถานีใหญ่ค่ะ มีห้องน้ำและประชาสัมพันธ์ที่เราไปขอแผนที่ได้ มีที่พักบนนี้ด้วยแต่แพง
แผนที่ จุด Tourist center จะอยู่ห่างสะพาน Kappa bridge นิดเดียว แค่ไปชมสะพานนี้ก็คุ้มแล้ว
http://www.japan-guide.com/e/e6040.html
ในบรรดาทุกที่ๆไปมาในญี่ปุ่น ที่นี่เป็นที่เดียวที่อยากกลับไปอีก วันที่ไปเจอคนสูงอายุ น่าจะอายุ70-80 มาเที่ยวเยอะมาก เห็นแล้วอยากพาคุณพ่อคุณแม่ไปเลย แต่ละคนหอบหิ้วอุปกรณ์มาเดินป่ากัน แข็งแรงเว่อร์ หากใครสามารถ ก็เดินได้ถึงยอดเขาเลย ถ้าจำไม่ผิดสูง 3,000 ม.ค่ะ ไม่รู้เดินกันไปได้ยังงัย ใช้เวลาทั้งวันค่ะและบนยอดเขามีที่พักด้วย (ถ้าไม่ตายระหว่างทางก่อนนะ 55 มันเป็นป่าเขาที่ไม่มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะไปช่วยเราเลยอ่ะ) ต้องเป็นนักเดินเขามืออาชีพถึงจะขึ้นไปได้ค่ะ ส่วนคนอ่อนแออย่างเราก็เลือกเดิน Loop สั้นๆ 4 กม. เค้าจะมาร์คจุดในแผนที่ด้วยสะพานและบ่อน้ำ เราก็ตั้งเป้าเดินไปแค่สะพานที่ 2 Myojin bridge และก็ไปชม Myojin Pond ค่ะ






วันที่ 3
นั่งรถบัสกลับ Takayama เราพักที่นี่ 1 คืน เมืองนี้ค่อนข้างโด่งดังอยู่แล้วด้านบ้านโบราณ เดินเล่นได้รอบๆเมืองเลยค่ะ จุดเด่นคือรถลาก Yatai แต่เราไม่ได้ไปช่วงเทศกาล จึงได้เห็นแค่ที่จอดอยู่ตามบ้านคน
ถนนคนเดินที่ทุกคนต้องไป เราเฉยๆนะ รู้สึกว่ามัน touristy เกินไป

ให้เดินไปให้ทั่วค่ะ บ้านสวยๆยังมีอีกมาก ไม่ได้มีแค่ถนนเส้นนั้น


Yatai ในตำนาน
เจอพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณด้วย เข้าชมฟรีค่ะ

เดินต่อไปชมวัดที่อยู่ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ Yatai
ตลาดนัด มีคนพาน้องหมามาเที่ยวด้วย ใส่รถเข็นเด็กน่ารักจัง

คืนนี้เรานอนที่นี่ K’s house เป็นโรงแรมเล็กๆน่ารักที่เดินจากสถานีรถไฟได้ อยู่กลางทางพอดีระหว่างสถานีและถนนคนเดิน มีทั้งห้องรวมและห้องส่วนตัว เราเลือกพักห้อง Deluxe Double แต่ก็ยังเล็กมากๆ สิ่งเดียวที่ไม่ชอบในการเที่ยวญี่ปุ่นก็คือขนาดห้องพักนี่แหล่ะค่ะ แม้เราจะไม่ได้อยู่ในห้องทั้งวันแต่พอหมดทริป 10 วันนี่รู้สึกเลยว่าโชคดีจริงๆที่บ้านเราไม่ต้องทนอุดอู้ในห้องเล็กๆแบบนี้ มันจะประสาทกินนะ โรงแรมนี้ดีที่มีครัวส่วนกลางให้ทำอาหาร เราไปซื้อของจากซุปเปอร์มาทานได้เลย อร่อยและประหยัดด้วย มีจักรยานให้ยืมด้วยแต่เราไม่ได้ใช้นะ เดินเอา
http://kshouse.jp/takayama-e/
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
[CR] Japan Trip - Chubu 10 วัน 9 คืน 5 เมือง Okuhida, Takayama, Shirakawago, Kyoto, Osaka 44,xxx ต่อคนค่ะ
รีวิวนี้แป็นรีวิวแรกของเรานะคะ ภาพอาจจะไม่สวยมากเพราะเป็นคนใจร้อน ไม่ค่อยตั้งใจถ่ายรูปอ่ะ กล้องมือถือนี่แหล่ะค่ะ จะพยายามให้รายละเอียดข้อมูลการท่องเที่ยวเยอะๆเผื่อใครอยากลอกการบ้าน
ทริปนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ของเรากับคุณแฟนค่ะ ด้วยความที่ช่วงนี้วีซ่าฟรีแถมโปรตั๋วเครื่องบินก็มีออกมาเรื่อยๆ จึงรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก ก่อนหน้านี้ไป Kyushu มาด้วยละ พอดียังหารูปถ่ายไม่เจอเลยขอเล่าทริปนี้ก่อนละกันค่ะ เราเป็นคนชอบเที่ยวยาวๆนะ ให้คุ้มค่าตั๋วเครื่องบิน ถ้าให้ไป 4-5 คืนนี่นอนอยู่บ้านดีกว่าอ่ะ
ทริปนี้ค่าใช้จ่าย 44,xxx.- ต่อคน อันนี้รวมช้อปปิ้งแล้วด้วยนะ ไม่แพงเลยใช่ไหมล่ะ เราไม่ได้เที่ยวแบบเน้นประหยัดนะคะ เลือกพักโรงแรมดีบ้าง ถูกบ้าง แต่ไม่ถึงกับแนวแบ็คแพค Hostel ค่ะ ทานอาหารในซุปเปอร์บ้าง ร้านอาหารบ้างสลับกันไป เราชอบแนวธรรมชาติ ทุกทริปจะวางแผนเที่ยวในตัวเมือง 2-3 วันสุดท้าย ไม่ได้อยากช้อปปิ้งหรือดูตึก เพราะเราว่าตึกรามบ้านช่องที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้สวยงามพิเศษอะไรเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ แต่สิ่งที่สวยงามคือธรรมชาติ ออนเซน วัดและเมืองเก่าค่ะ
ได้ตั๋วสายการบิน Vietnam Airlines มาในราคา 12,xxx ค่ะ เราคิดว่าคุ้มค่ากว่าไป Low cost เยอะเพราะจ่ายเพิ่มไม่กี่พันแต่ได้อาหาร 4 มื้อ เบียร์ ไวน์เพียบ อิอิ ทำไมได้ 4 มื้อน่ะเหรอ ก็เพราะต้องแวะต่อเครื่องไง น้ำหนักกระเป๋าคนละ 20 กก. ที่สำคัญเราไม่จำเป็นต้องไปกลับจากสนามบินเดียวกันด้วย ทำให้การเที่ยวไม่ต้องวน Loop ค่ะ เวลาบินเป็นเช่นนี้
ขาไป
BKK - HANOI 19.05 - 20.55 (แวะพักประมาณ 3 ชม. สนามบินฮานอยสวยงามตื่นตามากค่ะ เก้าอี้ว่างเพียบ นอนพักได้เลย)
HANOI – NAGOYA (Chubu Centrair) 00.15 - 06.55 ถึงเช้าค่ะ เที่ยวต่อสบายเลย
ขากลับ
OSAKA KIX - HANOI 10.30 - 13.30
HANOI - BKK 16.15 – 18.05
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง ไปสถานีรถไฟ Nagoya station นั้นก็สะดวกค่ะ ขึ้นรถไฟฟ้า Meitetsu Line ประมาณครึ่งชั่วโมง ราคา 870 เยน มีเคาน์เตอร์ขายตั๋วหน้าสถานีเลยค่ะ หน้าตารถไฟเป็นแบบนี้ค่ะ รายละเอียดการเข้าเมืองตาม Link
http://www.centrair.jp/en/to_and_from/access/train.html
เราไม่แวะเที่ยวนาโกย่าแต่จุดหมาย คือ เมืองออนเซน Okuhida อันแสนสวยงาม เป็นจุดที่เราต่อรถบัสไปเที่ยว Kamikochi และ Shinhotaka Robeway ได้ แนะนำมากๆค่ะเมืองนี้
เมื่อถึง Nagoya station ก่อนอื่นเราต้องไปแลกตั๋ว Takayama-Hokuriku area pass กันก่อน ซื้อจากเมืองไทยมาในสนนราคาคนละ 3,6xx บาท แต่เกินคุ้มค่ะ ตอนเราไปถึงเช้ามาก เคาน์เตอร์แลกตั๋ว JR Pass หลักและประชาสัมพันธ์ยังไม่เปิดเลยค่ะ สถานีก็ใหญ่มาก กว่าจะเดินหาจุดแลกตั๋วเจอก็เล่นเอามึนหลายรอบและถามคนหลายคน ไม่มีใครพูดอังกฤษได้เท่าไหร่ด้วยค่ะ แต่ก็เดินจนเจอ
การที่จะไป Okuhida Onsen Town นั้นเราต้องไปที่ Takayama ก่อนค่ะ นั่งรถไฟไป 150 นาที วิธีการดูเวลารถไฟก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าเว็บนี้ www.hyperdia.com เราจะเลือกไปก่อนและไปถึงก็ทำการจองตอนแลก Pass ได้เลย
เมื่อถึงสถานี Takayama เราต้องเดินไปที่สถานีรถบัส ซึ่งอยู่ไปทางซ้ายของสถานีรถไฟประมาณ 200 ม. เพื่อซื้อตั๋วรถบัสไป Hirayu Onsen ค่ะ เราซื้อ Pass ซึ่งรวมตั๋ว Bus ไป-กลับ ค่าขึ้นกระเช้า Shinhotaka Ropeway และไป Kamikochi ได้ด้วย ก็ไม่ถูกค่ะ คนละ 4,xxx เลยทีเดียว ตั๋วนี้ก็รู้จักมาจากกระทู้ Pantip นี่แหล่ะค่ะ แนะนำว่าศึกษาไปก่อน ไม่งั้นไปถึงตรงนั้นแล้วมึน
ขอให้ Credit กระทู้นี้เลยคะ
http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11848934/E11848934.html
รถบัสมีเป็นรอบๆทุกชั่วโมงค่ะ Okuhida นั้นประกอบด้วย 5 เมืองออนเซ็นที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามแตกต่างกันไป http://www.japanican.com/th/special/info/okuhida/index.aspx แต่เราไปลงป้าย Hirayu Onsen เพราะเป็นสถานีใหญ่ เชื่อมต่อไปที่ท่องเที่ยวและมีที่พักหลายแห่ง ใช้เวลาจาก Takayama Station 1 ชม. สรุปรวมเวลาเดินทางนับจากลงเครื่องก็ 3 ชม.ครึ่งได้ แบบว่าต้องอึดหน่อย บางคนอาจเลือกแวะพักที่ Takayama ก่อนก็ได้ แต่เราวางแผนจะกลับมาเที่ยวทีเดียวเพื่อไป Shirakawago ต่อได้ไม่เหนื่อย
ถึงแล้ว Hirayu Onsen Station หน้าตาแบบนี้ค่ะ
สังเกตุไอ้เสาต้นนี้ไว้ดีๆค่ะ เป็นจุดสังเกตุว่าลงสถานีนี้
เราแนะนำให้พักที่นี่ 2 คืนนะ รอบๆสถานีนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรให้เดินเที่ยวค่ะ เป็นหมู่บ้านเล็กมากๆ เป็นจุดต่อรถเฉยๆ ที่พักแถวนั้นเป็น Ryokan เกือบทั้งหมด ก็แพงใช้ได้เลย เราพักที่ Tsuyukusa คืนละ 5,xxx รวมอาหารเช้าและเย็นค่ะ แถวนั้นมีร้านอาหารไม่เยอะ เห็นมีที่สถานีรถบัสที่เดียวมั้ง แนะนำว่ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อความสะดวกสบายและได้ชิมอาหารญี่ปุ่นแท้ๆด้วย ราคาที่เราได้มาค่อนข้างพิเศษเพราะเพื่อนญี่ปุ่นจองให้ค่ะ ถ้าจองตามเว็บทั่วไปเหมือนจะแพงกว่านิสนึง ที่นี่ดีตรงที่มีห้องอาบน้ำพร้อมบ่อออนเซนส่วนตัวให้เลือกใช้ 3 ห้องแน่ะ ที่นอนนุ่มสบาย ขนาดเราเป็นคนนอน Japanese Mattress แบบนี้ไม่ค่อยได้ยังหลับปุ๋ยเลย เจ้าของเป็นคุณปู่คุณย่าที่ไม่พูดอังกฤษค่ะ แต่แกน่ารักและพยายามสื่อสารกับเรา แถมมีถ่ายรูปโพลารอยด์ให้เราเป็นที่ระลึกหลายใบด้วย แกจะมีใบข้อมูลภาษาอังกฤษยื่นให้เรื่องเวลาอาหารและกฏต่างๆค่ะ
บรรยากาศโดยรอบ ก็เงียบสงัดค่า 555
เข้าที่พัก ฝากกระเป๋าแล้ว เราก็ไปเที่ยว Shinhotaka Ropeway กันก่อนเลย เนื่องจาก Kamikochi ต้องใช้เวลาทั้งวัน เส้นทางเดินป่านั้นยาวหลาย กม.ค่ะ และมีหลาย Route แล้วแต่ใครจะอึดแค่ไหน เราก็เดินกลับไปที่สถานีรถบัสนั้นแหล่ะ เพื่อขึ้นรถไป Shinhotaka Ropeway Station ใช้เวลาประมาณครึ่งชม. (ที่สถานีมีเจ้าหน้าที่พูดอังกฤษได้ค่ะ สอบถามได้ตลอด ไม่ต้องกลัวหลง ป้ายชัดเจน) เป็นที่ๆจะไม่ค่อยเจอคนไทย ตอนเราไปใบไม้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี ถ้าเปลี่ยนเต็มที่แล้วคงสวยกว่านี้มาก วิวสุดยอดจริงๆคุ้มค่าตั๋วทุกสตางค์ค่ะ (เห็นภาพถ่ายที่คนอื่นเค้าลงก็แอบอายนะ ของเราง่อยมาก คือเอาว่า สถานที่จริงสวยกว่าภาพถ่ายหลายเท่าค่ะ)
ตอนที่เราไปเดือนตุลาคม อากาศดีค่ะ 20 กว่าองศา แต่ขอบอกว่าเตรียมเสื้อหนาวไปเผื่อบนยอดเขาด้วยนะคะ อากาศต่างกันมากมาย เพราะขึ้นไปกว่า 3 พันเมตรค่ะ วันนั้นไม่ได้เตรียมเสื้อหนาๆไป เจอ -5 องศา แทบอยากลงทันที หมดสนุกเบย ระหว่างขึ้นไปและข้างบนวิวเทพมากค่ะ แต่เราว่าจะดีมากถ้ามีร้านอาหารหรือคาเฟ่แบบ Open air ข้างบนน่ะ มีทางเดินป่าด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้ไป
วันแรกก็สิ้นสุดลง กลับมาแช่น้ำร้อนที่โรงแรม ฟินสุดๆเลย อากาศกลางคืนหนาวจนเราต้องเปิด Heater ค่ะ
วันที่ 2 ของทริปเราจะไป Kamikochi National Park ค่ะ อยากบอกว่าเป็น Highlight ของทริปนี้และเป็นสถานที่ๆสวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง วันที่ไปตรงกับวันหยุดที่นั่นพอดีเลยมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นล้นหลามมากๆ เราประทับใจกับการจัดการรถบัสของเค้า ตั้งแต่ตรงสถานี Hirayu Onsen เจ้าหน้าที่บอกก่อนเลยค่ะว่าที่เราจะไปคนเยอะเป็นพิเศษ แนะนำเสร็จว่ามีจุดขึ้นรถบัสกี่จุดขากลับ อาจจะรอนานหน่อย แต่มีการเพิ่มจำนวนรถให้แล้ว แอบเซรงเล็กน่อยว่าจะไปเจอมวลมหาประชาชนล้านแปดอยู่ในอุทยานอันแสนสวยของเรา!!! ฮื้อออ
เมื่อมาถึงจะเจอสถานีใหญ่ค่ะ มีห้องน้ำและประชาสัมพันธ์ที่เราไปขอแผนที่ได้ มีที่พักบนนี้ด้วยแต่แพง
แผนที่ จุด Tourist center จะอยู่ห่างสะพาน Kappa bridge นิดเดียว แค่ไปชมสะพานนี้ก็คุ้มแล้ว
http://www.japan-guide.com/e/e6040.html
ในบรรดาทุกที่ๆไปมาในญี่ปุ่น ที่นี่เป็นที่เดียวที่อยากกลับไปอีก วันที่ไปเจอคนสูงอายุ น่าจะอายุ70-80 มาเที่ยวเยอะมาก เห็นแล้วอยากพาคุณพ่อคุณแม่ไปเลย แต่ละคนหอบหิ้วอุปกรณ์มาเดินป่ากัน แข็งแรงเว่อร์ หากใครสามารถ ก็เดินได้ถึงยอดเขาเลย ถ้าจำไม่ผิดสูง 3,000 ม.ค่ะ ไม่รู้เดินกันไปได้ยังงัย ใช้เวลาทั้งวันค่ะและบนยอดเขามีที่พักด้วย (ถ้าไม่ตายระหว่างทางก่อนนะ 55 มันเป็นป่าเขาที่ไม่มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะไปช่วยเราเลยอ่ะ) ต้องเป็นนักเดินเขามืออาชีพถึงจะขึ้นไปได้ค่ะ ส่วนคนอ่อนแออย่างเราก็เลือกเดิน Loop สั้นๆ 4 กม. เค้าจะมาร์คจุดในแผนที่ด้วยสะพานและบ่อน้ำ เราก็ตั้งเป้าเดินไปแค่สะพานที่ 2 Myojin bridge และก็ไปชม Myojin Pond ค่ะ
วันที่ 3
นั่งรถบัสกลับ Takayama เราพักที่นี่ 1 คืน เมืองนี้ค่อนข้างโด่งดังอยู่แล้วด้านบ้านโบราณ เดินเล่นได้รอบๆเมืองเลยค่ะ จุดเด่นคือรถลาก Yatai แต่เราไม่ได้ไปช่วงเทศกาล จึงได้เห็นแค่ที่จอดอยู่ตามบ้านคน
ถนนคนเดินที่ทุกคนต้องไป เราเฉยๆนะ รู้สึกว่ามัน touristy เกินไป
ให้เดินไปให้ทั่วค่ะ บ้านสวยๆยังมีอีกมาก ไม่ได้มีแค่ถนนเส้นนั้น
Yatai ในตำนาน
เจอพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณด้วย เข้าชมฟรีค่ะ
เดินต่อไปชมวัดที่อยู่ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ Yatai
ตลาดนัด มีคนพาน้องหมามาเที่ยวด้วย ใส่รถเข็นเด็กน่ารักจัง
คืนนี้เรานอนที่นี่ K’s house เป็นโรงแรมเล็กๆน่ารักที่เดินจากสถานีรถไฟได้ อยู่กลางทางพอดีระหว่างสถานีและถนนคนเดิน มีทั้งห้องรวมและห้องส่วนตัว เราเลือกพักห้อง Deluxe Double แต่ก็ยังเล็กมากๆ สิ่งเดียวที่ไม่ชอบในการเที่ยวญี่ปุ่นก็คือขนาดห้องพักนี่แหล่ะค่ะ แม้เราจะไม่ได้อยู่ในห้องทั้งวันแต่พอหมดทริป 10 วันนี่รู้สึกเลยว่าโชคดีจริงๆที่บ้านเราไม่ต้องทนอุดอู้ในห้องเล็กๆแบบนี้ มันจะประสาทกินนะ โรงแรมนี้ดีที่มีครัวส่วนกลางให้ทำอาหาร เราไปซื้อของจากซุปเปอร์มาทานได้เลย อร่อยและประหยัดด้วย มีจักรยานให้ยืมด้วยแต่เราไม่ได้ใช้นะ เดินเอา
http://kshouse.jp/takayama-e/
เดี๋ยวมาต่อค่ะ