เจมส์ วัตกินส์ ผู้กำกับหนังสายหลอนซึ่งเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจาก The Woman in Black (2012) และ Eden Lake (2008) กลับมาอีกครั้งแล้วจ้าาา
ถ้ายังจำกันได้ The Woman in Black พูดถึงทนายหนุ่มดวงตกที่ต้องเจอกับความโศกนาฏกรรมหดหู่ของหมู่บ้านที่เคยมีเด็กจำนวนมากตายอย่างลึกลับ ส่วน Eden Lake คือหนังทริลเลอร์ที่เล่าเรื่องคู่รัก (ที่ก็อาจจะดวงตกไม่แพ้พ่อทนาย) ที่เจอเรื่องสุดหวีดขณะไปเที่ยวที่ชนบทด้วยกัน
และคราวนี้ พี่วัตกินส์กลับมาอีกครั้งพร้อมหนังฟอร์มยักษ์กว่าที่เคยอย่าง Bastille Day ซึ่งนอกจากจะหลอนแล้ว มันยังพ่วงความแอ็คชั่นโฉ่งฉ่างเข้ามาอีกพวงใหญ่ เกี่ยวกับ เมสัน 18 มงกุฏหนุ่มดวงตก (อีกละ) ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในกรุงปารีส ไปขโมยกระเป๋าผิดใบเข้าจนถูกซีไอเอไล่ล่า แต่ไบรอาร์ เจ้าหน้าที่ซีไอเอซึ่งรับทำคดีนี้กลับคิดว่า ปมคดีนี้อาจจะซับซ้อนกว่าที่คิด นำมาสู่การจับพลัดจับผลูมาทำงานร่วมกันของคู่หูดวงซวยอย่างหัวขโมยและเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่ต้องแก้เงื่อนปมของคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการร้ายนี้ให้ได้ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง (กรี๊ดด!)
และจากนี้ คือเบื้องลึกเบื้องหลังสารพัดเกร็ดน่าสนใจก่อนไปดู Bastille Day
1. แม้ผู้กำกับอย่างวัตกินส์จะไม่ได้เป็นสายบู๊ล้างผลาญ แต่เหตุผลที่เขามากำกับเรื่องนี้เพราะบทแอ็คชั่นสุดระห่ำ แถมยังมีความสัมพันธ์ชนิดขั้วตรงข้ามของคู่หู (ลองนึกสภาพเจ้าหน้าที่ซีไอเอจอมระห่ำต้องมาแง่งๆ กับหัวขโมยที่ก็แง่งๆ ตอบอีกเหมือนกัน) บวกกับปมปริศนาตามหาคนร้ายตัวจริงที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดขีด-ทั้งหมดนี้ทำให้วัตกินส์ตกปากรับคำจะกำกับหนังสุดระทึกนี้ให้
2. อย่างไรก็ดี วัตกินส์นั้นมีอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับหนังทริลเลอร์ชื่อก้องโลกชาวอังกฤษเป็นไอดอล และวัตกินส์ลงความเห็นว่า Bastille Day มี “ความฮิตช์ค็อก” อยู่มากๆ เพราะเป็นเรื่องของหัวขโมยเมสันที่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา นำไปสู่เหตุการณ์อันตรายที่ไม่มีใครเดาตอนจบได้
“ผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการหวนกลับไปสู่ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่มีกลิ่นฟิล์มนัวร์ในยุคเก่าๆ อารมณ์คล้ายๆ Pickup on South Street (1953) ของซามูเอล ฟูลเลอร์เลยครับ”
3. และในฐานะผู้กำกับ อะไรจะดีไปกว่าการได้ลองเล่าเรื่องด้วยจังหวะที่แปลกใหม่ไปจากที่เคยทำ หากใครเคยดู The Woman in Black จะพบว่าวัตกินส์ใช้จังหวะที่ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการเล่าเรื่อง แต่ใน Bastille Day นั้น ผู้กำกับจอมหลอนตั้งใจจะเล่าเรื่องด้วยจังหวะที่รวดเร็วจนคนดูหายใจไม่ทัน (อู้ยยยย) ให้เป็นหนังที่รวบรัด กระแทกอารมณ์ และด้วยจังหวะวิธีเล่าแบบนี้ บวกการเคลื่อนกล้องที่น้ำหนักเบามากๆ ทำให้ Bastille Day ให้อารมณ์สมจริง เหมือนดูภาพสดๆ จากหนังเลยทีเดียว
4. ฌอน ไบรอาร์ ซีไอเอ

สายเดือด รับบทโดยนักแสดงสุดเข้มอย่างไอดริส เอลบาร์ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่งานแสดงของเขาในปีนี้ หลังจากรับงานพากย์เสียงมาแทบจะตลอดทั้งปี 2016 ไม่ว่าจะเป็นเสือร้ายเชอร์คานใน The Jungle Book, เจ้าหน้าที่หัวกระทิงโบโก้ใน Zootopia แล้วเดี๋ยวจะมี Finding Dory ที่เตรียมออกฉายอีก พี่แกพากย์เป็นแมวน้ำชื่อฟลุค (-_- ทำไมน่ารักจังวะ)
5. อย่างไรก็ดี เหตุผลที่แคสท์เอาเอลบาร์มานั้นไม่ใช่อะไรอื่น นอกไปจากภาพลักษณ์เข้มแข็ง เชื่อมั่นในตัวเอง ดูขึงขัง และแน่นอนว่าต้องดูเป็นคนที่แบกรับกับความเจ็บปวดใดๆ ได้ เพราะไบรอาร์เป็นมนุษย์ประเภทจะทำทุกอย่างเองคนเดียวแบบดุ่ยๆ (เพราะการที่ไบรอาร์ต้องมาจับคู่ทำงานกับเมสันนั้น เขาต้องหักกับองค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่ทั้งองค์กร) และพี่ไอดริส เอลบาร์ของเราก็ถ่ายทอดมิติความเป็นมนุษย์ของไบรอาร์ได้ดีมากๆ
6. #ทีมหัวขโมย ก็ใช่ย่อยครับเพราะได้พ่อรูปหล่อ-ริชาร์ด แมดเดนจาก Cinderella (2015) และโคตรซีรีส์อย่าง Game of Thrones (2011-) มารับบท ซึ่งแมดเดนให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่าอีตัวละครเมสันนี่ไม่ใช่อะไรอื่นเลยครับ มันเป็นกุ๊ย (-_-) ลอยชายไปมาแถมยังทำชีวิตย่ำอยู่กับที่ไปวันๆ แต่การขโมยกระเป๋าผิดใบในครั้งนี้นั้น เมสันอาจต้องกลับมาคิดว่านี่การขโมยกระเป๋าของกูมันเสี่ยงที่จะทำได้คนตายทั้งเมืองขนาดนี้ได้ยังไง ไหนจะความรู้สึกผิดบาปที่ใหญ่เกินตัวที่ต้องแบกรับอีก (โถ กรรมของกุ๊ย)
7. หนึ่งในความน่าสนุกและความโปกฮาของหนังคือการจับคู่กันของคนสองขั้วนี่เอง ขณะที่เมสัน 18 มงกุฏหนุ่มขี้โวยวายรู้ตัวดีว่ากำลังถูกตำรวจทั้งกรมไล่กระทืบอยู่ ด้วยสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเบอร์นี้ ที่พึ่งเดียวของหนุ่มน้อยดันเป็นไบรอาร์ ซีไอเอหัวโบราณ ขึงขังจริงจังสุดขีด (T T) นี่จึงเป็นการทำงานและใช้ชีวิตของ love–hate relationship มั่กๆ
8. วิธีละลายพฤติกรรมของสองนักแสดงนำคือการยิงมุกตลกใส่กัน -_- ด้วยเหตุผลเรื่องการฝึกซ้อมสำเนียงอเมริกัน (ทั้งสองเป็นชาวสหราชอาณาจักร) แล้ว มันยังทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากระชับแน่นขึ้นด้วย หลังจากนั้น ทั้งแมดเดนและเอลบาร์ก็ขยันยิงมุกด้นๆ ใส่ฉากที่กำลังแสดง แม้ว่าที่สุดแล้วมันจะถูกผู้กำกับตัดออกไปบ้างก็ตาม (วัตกินส์อาจจะคิดว่า เอ็งจะยิงมุกอะไรนักหนา นี่ฉากบู๊นะ)
9. แม้ในโลกภาพยนตร์สมัยใหม่จะมีการใช้ CGI มาช่วยให้ภาพดูสมจริงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังแอ็คชั่น แต่วัตกินส์กลับยืนยันจะใช้ CGI เฉพาะเท่าที่จำเป็น ที่เหลือ เขาใช้วิธีการโคลส-อัพนักแสดง ด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์ เพื่อรับรู้ถึงลมหายใจและแววตาขณะกำลังต่อสู้ จนรับประกันได้ว่าคนดูต้องรู้สึกเหมือนนั่งอยู่กับไบรอาร์และเมสันตัวเป็นๆ ที่กรุงปารีสในจอ
“ไม่ว่าเรื่องราวจะใหญ่โตแค่ไหน ผมยังคงอยากรักษาความสมจริงของหนังไว้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การที่เราไปดูหนังสักเรื่อง คือการไปดูชีวิตของคนในหนัง ยิ่งเราเข้าใกล้มากเท่าไร เราจะยิ่งสนุกมากขึ้นเท่านั้นครับ” วัตกินส์ทิ้งท้าย
10. หนังยังได้ทีมสเปเชียลเอฟเฟคต์จาก The Bourne Identity (2002), Lucy (2014), The Da Vinci Code (2006) และ Taken 2 (2012) มาร่วมสร้างสรรค์ด้วย หายห่วงเรื่องความระทึกได้เลย
11. และเพื่อความสมจริงอีกเช่นกัน ที่ทำให้ฉากบู๊ส่วนใหญ่นั้น นักแสดงเป็นผู้แสดงเองโดยปราศจากสตันท์แมน ฉากต่อสู้ของเรื่องนี้จึงออกมา “ดิบ” สุดๆ ฟากเอลบาร์นั้นออกจะได้เปรียบอยู่บ้างเพราะเคยเรียนศิลปะการต่อสู้มา การแสดงฉากบู๊สำหรับเขาแล้วเลยเป็นการยืดเส้นยืดสายทบทวนวิชา (ง่อววว)
แต่ไม่ใช่กับแมดเดนแน่นอนครัช เพราะแม้จะเป็นชายหนุ่มแข็งแรงในชีวิตประจำวัน แต่บทที่เขาต้องรับนั้นเป็นหัวขโมยที้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วปารีสในฐานะคนธรรมดาที่ไม่ใช่นักกีฬา เลยสะบักสะบอมเอามากๆ เพราะต้องลื่นล้ม ตกบันไดทั้งเรื่อง (กว่าจะถ่ายจบ เข้าใจว่าตัวแมดเดนก็น่วมอยู่เหมือนกัน)
12. และนอกจากต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งรับคิวบู๊ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ลื่นบ้าง ตกบันไดบ้าง วิ่งชนบ้าง) แล้ว แมดเดนยังต้องเรียนวิชาล้วงกระเป๋า (!!) จากนักมายากลมืออาชีพผู้ได้รับฉายา “จอมโจรคีธ” (Keith the Thief) เพื่อจะได้ให้ตัวละครล้วงกระเป๋าอย่างแนบเนียน และเรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลงความสนใจของเหยื่อ (แมดเดนมั่นใจมากๆ ถึงขั้นบอกว่า ถ้ากดพอสดู จะพบว่าเขาล้วงกระเป๋าจริงๆ ไม่ได้แสร้งทำเป็นล้วง)
13. เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับวันบัสตีย์ ซึ่งเป็นวันชาติของฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปีในประเทศฝรั่งเศส ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “งานเฉลิมฉลองแห่งชาติ” เป็นการรำลึกถึงวันครบรอบการโจมตีคุกบัสตีย์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการลุกฮือของชาติสมัยใหม่ 
เข้าฉายวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ ไปร่วมระทึกพร้อมกันได้ทุกโรงภาพยนตร์จ้าาา  
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ 
Page: 
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: 
http://llkhimll.wordpress.com/																															 
						
13 เรื่องน่ารู้ก่อนไปดู Bastille Day (2016)-แอ็คชั่นสุดระทึกของคู่หูสุดระห่ำ
ถ้ายังจำกันได้ The Woman in Black พูดถึงทนายหนุ่มดวงตกที่ต้องเจอกับความโศกนาฏกรรมหดหู่ของหมู่บ้านที่เคยมีเด็กจำนวนมากตายอย่างลึกลับ ส่วน Eden Lake คือหนังทริลเลอร์ที่เล่าเรื่องคู่รัก (ที่ก็อาจจะดวงตกไม่แพ้พ่อทนาย) ที่เจอเรื่องสุดหวีดขณะไปเที่ยวที่ชนบทด้วยกัน
และคราวนี้ พี่วัตกินส์กลับมาอีกครั้งพร้อมหนังฟอร์มยักษ์กว่าที่เคยอย่าง Bastille Day ซึ่งนอกจากจะหลอนแล้ว มันยังพ่วงความแอ็คชั่นโฉ่งฉ่างเข้ามาอีกพวงใหญ่ เกี่ยวกับ เมสัน 18 มงกุฏหนุ่มดวงตก (อีกละ) ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในกรุงปารีส ไปขโมยกระเป๋าผิดใบเข้าจนถูกซีไอเอไล่ล่า แต่ไบรอาร์ เจ้าหน้าที่ซีไอเอซึ่งรับทำคดีนี้กลับคิดว่า ปมคดีนี้อาจจะซับซ้อนกว่าที่คิด นำมาสู่การจับพลัดจับผลูมาทำงานร่วมกันของคู่หูดวงซวยอย่างหัวขโมยและเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่ต้องแก้เงื่อนปมของคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการร้ายนี้ให้ได้ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง (กรี๊ดด!)
และจากนี้ คือเบื้องลึกเบื้องหลังสารพัดเกร็ดน่าสนใจก่อนไปดู Bastille Day
1. แม้ผู้กำกับอย่างวัตกินส์จะไม่ได้เป็นสายบู๊ล้างผลาญ แต่เหตุผลที่เขามากำกับเรื่องนี้เพราะบทแอ็คชั่นสุดระห่ำ แถมยังมีความสัมพันธ์ชนิดขั้วตรงข้ามของคู่หู (ลองนึกสภาพเจ้าหน้าที่ซีไอเอจอมระห่ำต้องมาแง่งๆ กับหัวขโมยที่ก็แง่งๆ ตอบอีกเหมือนกัน) บวกกับปมปริศนาตามหาคนร้ายตัวจริงที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดขีด-ทั้งหมดนี้ทำให้วัตกินส์ตกปากรับคำจะกำกับหนังสุดระทึกนี้ให้
2. อย่างไรก็ดี วัตกินส์นั้นมีอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับหนังทริลเลอร์ชื่อก้องโลกชาวอังกฤษเป็นไอดอล และวัตกินส์ลงความเห็นว่า Bastille Day มี “ความฮิตช์ค็อก” อยู่มากๆ เพราะเป็นเรื่องของหัวขโมยเมสันที่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา นำไปสู่เหตุการณ์อันตรายที่ไม่มีใครเดาตอนจบได้
“ผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการหวนกลับไปสู่ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่มีกลิ่นฟิล์มนัวร์ในยุคเก่าๆ อารมณ์คล้ายๆ Pickup on South Street (1953) ของซามูเอล ฟูลเลอร์เลยครับ”
3. และในฐานะผู้กำกับ อะไรจะดีไปกว่าการได้ลองเล่าเรื่องด้วยจังหวะที่แปลกใหม่ไปจากที่เคยทำ หากใครเคยดู The Woman in Black จะพบว่าวัตกินส์ใช้จังหวะที่ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการเล่าเรื่อง แต่ใน Bastille Day นั้น ผู้กำกับจอมหลอนตั้งใจจะเล่าเรื่องด้วยจังหวะที่รวดเร็วจนคนดูหายใจไม่ทัน (อู้ยยยย) ให้เป็นหนังที่รวบรัด กระแทกอารมณ์ และด้วยจังหวะวิธีเล่าแบบนี้ บวกการเคลื่อนกล้องที่น้ำหนักเบามากๆ ทำให้ Bastille Day ให้อารมณ์สมจริง เหมือนดูภาพสดๆ จากหนังเลยทีเดียว
4. ฌอน ไบรอาร์ ซีไอเอ
5. อย่างไรก็ดี เหตุผลที่แคสท์เอาเอลบาร์มานั้นไม่ใช่อะไรอื่น นอกไปจากภาพลักษณ์เข้มแข็ง เชื่อมั่นในตัวเอง ดูขึงขัง และแน่นอนว่าต้องดูเป็นคนที่แบกรับกับความเจ็บปวดใดๆ ได้ เพราะไบรอาร์เป็นมนุษย์ประเภทจะทำทุกอย่างเองคนเดียวแบบดุ่ยๆ (เพราะการที่ไบรอาร์ต้องมาจับคู่ทำงานกับเมสันนั้น เขาต้องหักกับองค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่ทั้งองค์กร) และพี่ไอดริส เอลบาร์ของเราก็ถ่ายทอดมิติความเป็นมนุษย์ของไบรอาร์ได้ดีมากๆ
6. #ทีมหัวขโมย ก็ใช่ย่อยครับเพราะได้พ่อรูปหล่อ-ริชาร์ด แมดเดนจาก Cinderella (2015) และโคตรซีรีส์อย่าง Game of Thrones (2011-) มารับบท ซึ่งแมดเดนให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่าอีตัวละครเมสันนี่ไม่ใช่อะไรอื่นเลยครับ มันเป็นกุ๊ย (-_-) ลอยชายไปมาแถมยังทำชีวิตย่ำอยู่กับที่ไปวันๆ แต่การขโมยกระเป๋าผิดใบในครั้งนี้นั้น เมสันอาจต้องกลับมาคิดว่านี่การขโมยกระเป๋าของกูมันเสี่ยงที่จะทำได้คนตายทั้งเมืองขนาดนี้ได้ยังไง ไหนจะความรู้สึกผิดบาปที่ใหญ่เกินตัวที่ต้องแบกรับอีก (โถ กรรมของกุ๊ย)
7. หนึ่งในความน่าสนุกและความโปกฮาของหนังคือการจับคู่กันของคนสองขั้วนี่เอง ขณะที่เมสัน 18 มงกุฏหนุ่มขี้โวยวายรู้ตัวดีว่ากำลังถูกตำรวจทั้งกรมไล่กระทืบอยู่ ด้วยสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเบอร์นี้ ที่พึ่งเดียวของหนุ่มน้อยดันเป็นไบรอาร์ ซีไอเอหัวโบราณ ขึงขังจริงจังสุดขีด (T T) นี่จึงเป็นการทำงานและใช้ชีวิตของ love–hate relationship มั่กๆ
8. วิธีละลายพฤติกรรมของสองนักแสดงนำคือการยิงมุกตลกใส่กัน -_- ด้วยเหตุผลเรื่องการฝึกซ้อมสำเนียงอเมริกัน (ทั้งสองเป็นชาวสหราชอาณาจักร) แล้ว มันยังทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากระชับแน่นขึ้นด้วย หลังจากนั้น ทั้งแมดเดนและเอลบาร์ก็ขยันยิงมุกด้นๆ ใส่ฉากที่กำลังแสดง แม้ว่าที่สุดแล้วมันจะถูกผู้กำกับตัดออกไปบ้างก็ตาม (วัตกินส์อาจจะคิดว่า เอ็งจะยิงมุกอะไรนักหนา นี่ฉากบู๊นะ)
9. แม้ในโลกภาพยนตร์สมัยใหม่จะมีการใช้ CGI มาช่วยให้ภาพดูสมจริงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังแอ็คชั่น แต่วัตกินส์กลับยืนยันจะใช้ CGI เฉพาะเท่าที่จำเป็น ที่เหลือ เขาใช้วิธีการโคลส-อัพนักแสดง ด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์ เพื่อรับรู้ถึงลมหายใจและแววตาขณะกำลังต่อสู้ จนรับประกันได้ว่าคนดูต้องรู้สึกเหมือนนั่งอยู่กับไบรอาร์และเมสันตัวเป็นๆ ที่กรุงปารีสในจอ
“ไม่ว่าเรื่องราวจะใหญ่โตแค่ไหน ผมยังคงอยากรักษาความสมจริงของหนังไว้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การที่เราไปดูหนังสักเรื่อง คือการไปดูชีวิตของคนในหนัง ยิ่งเราเข้าใกล้มากเท่าไร เราจะยิ่งสนุกมากขึ้นเท่านั้นครับ” วัตกินส์ทิ้งท้าย
10. หนังยังได้ทีมสเปเชียลเอฟเฟคต์จาก The Bourne Identity (2002), Lucy (2014), The Da Vinci Code (2006) และ Taken 2 (2012) มาร่วมสร้างสรรค์ด้วย หายห่วงเรื่องความระทึกได้เลย
11. และเพื่อความสมจริงอีกเช่นกัน ที่ทำให้ฉากบู๊ส่วนใหญ่นั้น นักแสดงเป็นผู้แสดงเองโดยปราศจากสตันท์แมน ฉากต่อสู้ของเรื่องนี้จึงออกมา “ดิบ” สุดๆ ฟากเอลบาร์นั้นออกจะได้เปรียบอยู่บ้างเพราะเคยเรียนศิลปะการต่อสู้มา การแสดงฉากบู๊สำหรับเขาแล้วเลยเป็นการยืดเส้นยืดสายทบทวนวิชา (ง่อววว)
แต่ไม่ใช่กับแมดเดนแน่นอนครัช เพราะแม้จะเป็นชายหนุ่มแข็งแรงในชีวิตประจำวัน แต่บทที่เขาต้องรับนั้นเป็นหัวขโมยที้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วปารีสในฐานะคนธรรมดาที่ไม่ใช่นักกีฬา เลยสะบักสะบอมเอามากๆ เพราะต้องลื่นล้ม ตกบันไดทั้งเรื่อง (กว่าจะถ่ายจบ เข้าใจว่าตัวแมดเดนก็น่วมอยู่เหมือนกัน)
12. และนอกจากต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งรับคิวบู๊ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ลื่นบ้าง ตกบันไดบ้าง วิ่งชนบ้าง) แล้ว แมดเดนยังต้องเรียนวิชาล้วงกระเป๋า (!!) จากนักมายากลมืออาชีพผู้ได้รับฉายา “จอมโจรคีธ” (Keith the Thief) เพื่อจะได้ให้ตัวละครล้วงกระเป๋าอย่างแนบเนียน และเรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลงความสนใจของเหยื่อ (แมดเดนมั่นใจมากๆ ถึงขั้นบอกว่า ถ้ากดพอสดู จะพบว่าเขาล้วงกระเป๋าจริงๆ ไม่ได้แสร้งทำเป็นล้วง)
13. เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับวันบัสตีย์ ซึ่งเป็นวันชาติของฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปีในประเทศฝรั่งเศส ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “งานเฉลิมฉลองแห่งชาติ” เป็นการรำลึกถึงวันครบรอบการโจมตีคุกบัสตีย์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการลุกฮือของชาติสมัยใหม่
เข้าฉายวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ ไปร่วมระทึกพร้อมกันได้ทุกโรงภาพยนตร์จ้าาา
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/