รีวิว ทริปสาวโสด@วังเวียง


สวัสดีจ้า ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เจ้าของกระทู้รีวิวไม่เก่ง แต่แค่อยากมาเล่าประสบการณ์ที่เราได้ไปเจอมา ณ วังเวียง
ขอเล่าก่อนว่าก่อนที่ทริปนี้จะเกิดขึ้น เราอยากไปวังเวียงเพียงเพราะเราอยากไปสถานที่นึงที่ชื่อว่า “บลูลากูน” แต่ก็เป็นได้แค่ความอยาก เพราะตลอดชีวิตเรา เวลาไปเที่ยว เราจะได้ไปแค่กับที่ทำงาน คือที่ทำงานพาไป จำได้ว่าตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยมา 10 ปี เคยไปเที่ยวกับเพื่อนแค่ 2 ครั้ง ไปเกาะเสม็ดทั้ง 2 ครั้งเลย เป็นการไปเที่ยวแบบ 2 วัน 1 คืน นอกนั้นชีวิตเราก็แค่ทำงาน ไปเที่ยวกับที่ทำงาน ไปกับครอบครัว(ไม่ได้เที่ยวเป็นเรื่องเป็นราว) เพราะงั้นไอ้วังเวียงอะไรเนี่ยเราก็คงไม่ได้ไปอยู่ดีแหล่ะ ได้แต่พูดกับเพื่อนว่าอยากไป แล้วอยู่ๆมาวันนึง รูมเมทเราก็มาชวนเราว่าไปเที่ยววังเวียงกันมั๊ย นางจะไปกับเพื่อนนางอีก 2 คน คือตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจนางให้ชวนเรานะ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราก็ขอบคุณที่ชวนนะจ๊ะ

ทริปนี้เราไปกัน 4 สาว(โสด)555 เลยเรียกทริปนี้ว่า ทริปสาวโสด@วังเวียง เพื่อนของรูมเมทเราอีก 2 คนเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย คนนึงเคยไปวังเวียงมาแล้ว แต่อยากไปอีก (รู้แค่นี้ก็สบายใจหายห่วงไปเยอะ555) อีกทั้ง 2 คนนี้พวกนางเคย backpack ไปพม่ากันมาแล้ว ยิ่งหายห่วง (ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อพวกนาง ขอใช้เป็นอักษรย่อแทนนะ)

เริ่มกันเลยเนอะ...เราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันที่  18 พฤษภาคม 2559 เลิกงานปุ๊บ เราก็ออกเดินทางเลย โดยเรากับรูมเมท(นางชื่อ "ป")นัดกับเพื่อนคนที่ 1 (นางชื่อ "อ") ไว้ที่ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีกำแพงเพชร นางจองตั๋ว “นครชัยแอร์” ไปขอนแก่น(เพื่อนอีกคนอยู่ขอนแก่น นางชื่อ "ก") รอบ 23.15 น. ไว้ เราขับรถไปเองจากบางแสน ออกจากบางแสน 17.30 น. เอารถไปจอดที่คอนโดน้องสาวเรา แล้วต่อ BTS สถานี แบริ่ง ไป สถานี หมอชิต เพื่อไปต่อ MRT ไปสถานี กำแพงเพขร จากคอนโดน้อง เรากับ "ป" ต้องเดินจากคอนโดน้องไปที่ BTS แบริ่ง เป็นระยะทางประมาณ 700 เมตร ออกไปปากซอยสุขุมวิท 105 ค่าโดยสาร BTS จากแบริ่งไปหมอชิต ราคา 52 บาท และจาก BTS หมอชิตไป MRTกำแพงเพชร อีก 16 บาท ถึง MRT กำแพงเพชร พวกเรา 3 คนนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพื่อเข้าสถานีขนส่งหมอชิต ราคา 40 บาท ถึงหมอชิตประมาณ 20.45 น. แม่จ้าววววว รถออก 23.15 น. รอยาวไปสิคะ.......................................


ถึงเวลา 23.15 น. รถทัวร์มาแล้วจ้า เอาตรงๆนะ ครั้งแรกที่นั่งรถทัวร์ “นครชัยแอร์” ของนครชัยแอร์เค้าจะค่อนข้างมาตรงเวลา ไม่เลท

รถออกจากหมอชิต ก็หลับยาววววววกัน แต่กว่าจะหลับได้ ไม่ใช่อะไรนะ มีขนม ของกินแจกเยอะแยะมากมาย มีผ้าห่มให้ด้วย ออกแนวตื่นเต้นนิดนึง555 ได้ของแจกครบเรียบร้อยก็ขอลาไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนนะคะ
ตื่นมาอีกที ดูเวลาเกือบตี 5 ละ  "ก" นางไลน์มาถามว่าถึงไหนละ ส่ง location ให้นาง อยู่ตัวเมืองขอนแก่นแล้วนี่หว่า เลยตาสว่าง จะถึงละ ที่ขอนแก่นเราเลือกลงที่สถานีปรับอากาศ(มันอยู่ในเมือง) ตอนนั้นเป็นเวลา 05.00 น. พอดี แต่กว่านางจะมารับนางเลทไปแค่ 30 นาทีเองจ้า จากนั้นพวกเราก็ครบ 4 สาว(โสด) มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งปกติจากขอนแก่นไปอุดร คนปกติจะใช้เวลาประมาณ 1.30 น. แต่นี่คนพิเศษ(ชั้นให้เกียรติแกมากเลยนะ555) ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมงงงงงจ้า ถึงอุดรพวกเราต้องเอารถไปฝากที่บ้านเพื่อน โชคดีที่บ้านเพื่อนที่จะฝากรถอยู่ระหว่างทางไปบขส.อุดรธานี เอารถไปฝากเรียบร้อย ก็ให้เพื่อนที่รับฝากรถมาส่งพวกเราที่บขส. ตอนนั้นมาถึงบขส.เวลา 07.45 น.

ป.ล.รถไปวังเวียงต้องขึ้นที่บขส.อุดรธานี มีวันละ 1 เที่ยว รถจะออกเวลา 08.30 น. (แต่เพื่อนเล่าว่าครั้งที่แล้วที่มา 8 โมงก็ออก) พวกเราเลยลุ้นว่ารอบนี้จะเป็นยังไง โอ้วววววววว มาถึงบขส.อุดรธานี คนต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วไปวังเวียงล้นออกมาด้านนอก นี่ขนาดเรามาก่อน 1 วันนะเนี่ย


สรุป จริงๆรถไปวังเวียงจะมีเที่ยวเดียว เวลา 08.30 น. แต่วันนี้คนเยอะมากกก เลยต้องมีรถเสริมเพิ่มอีก 1 คัน เหมือนจะเป็นข่าวดีนะ แต่พวกเราก็ยังไม่ทันรถเสริมอยู่ดี U_U  พวกเราเลยต้องนั่งรถไปลงเวียงจันทร์ก่อน แล้วค่อยหาทางต่อรถไปวังเวียงอีกที ไปหาเอาดาบหน้าละกันนะสาวๆ ค่ารถทัวร์จากอุดรธานีไปเวียงจันทร์  ราคา  80  บาท(ค่ารถจากบขส.อุดรฯไปวังเวียง ราคา 320 บาท) รถที่ไปเวียงจันทร์จริงๆออก 09.00 น. แต่ปรากฎว่ารถเสีย ต้องเปลี่ยนรถอีกคันมาแทน ทำให้กว่าจะออกจากบขส.อุดรฯก็ปาเข้าไป 10.00 น.

หลังจากนั้นรถทัวร์จะวิ่งผ่านด่านตม.ไทยที่หนองคาย เราจะต้องลงรถเพื่อเขียนใบตม.ขาออก แนบพร้อมpassport (ใบตม.จะมีแจกให้ ใช้เฉพาะขาออก ขาเข้าเก็บไว้ตอนกลับ) เมื่อผ่านด่านเรียบร้อย ก็กลับมาขึ้นรถคันเดิม

รถก็จะวิ่งข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวไป หลังจากนั้นเราจะต้องผ่านด่านตม.ลาว คล้ายๆกับตอนผ่านด่านตม.ที่ไทย เราจะต้องเขียนใบตม.ขาเข้าของลาว เก็บใบตม.ขาออกเอาไว้ตอนกลับ แต่แนะนำว่าตอนไปถึง ให้ไปซื้อตั๋ว one way ticket ก่อน (จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาต่อคิวอีกที) หลังจากนั้นก็ไปเข้าแถวผ่านด่าน เดินตรงอย่างเดียว จะเจอประตูเหมือนทางเข้ารถไฟฟ้าเพื่อให้เราเสียบบัตร one way ticket ที่เราซื้อมา (มันจะเป็นประตูเปิด-ปิดเหมือนทางเข้ารถไฟฟ้าบ้านเราเลย)
ป.ล.ค่าบัตร one way ticket วันธรรมดา ราคา 5 บาท ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์จะราคา 50 บาท


เมื่อมาถึงเวียงจันทร์ ก็จะมีคนเข้ามารุมถามเราเลยว่าไปนู่นนั่นนี่ รวมถึงไปวังเวียงด้วย ส่วนใหญ่บนรถที่นั่งมาคือพวกที่ตั้งใจไปวังเวียงกันทั้งนั้น พวกเราเลยรวมกลุ่มกัน กลุ่มเรารวมได้ 10 คน จะเหมารถเพื่อไปวังเวียง อีกกลุ่มเค้ารวมกันได้ 9 คน กลุ่มนั้นเค้าคิดหัวละ 70,000 กีบ(เป็นเงินไทยประมาณ 300 บาท)ตอนแรกของเรา คิดหัวละ 400 บาท ต่อรองไปต่อรองมาเหลือ 350 บาท พอยิ่งรู้ว่าอีกกลุ่มได้ 300 บาท เราเลยต่อรองจนได้ราคาเท่ากัน (ที่เคยอ่านจาก pantip ตกคนละ 250 บาทได้อยู่นะ แต่เราต่อรองมาได้แค่ 300 บาท)

เส้นทางไปวังเวียงช่วงแรกก็เป็นทางถนนปกตินี่ล่ะ เค้าจะหยุดแวะพักให้เรา เพื่อเข้าห้องน้ำ หาอะไรรองท้อง ก็คล้ายๆเวลาเราไปทัวร์แล้วเค้าพาแวะปั๊ม แวะที่ขายของฝากทำนองนั้น ใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งชม.ได้ (ตอนนั้นพวกเราแต่ละคนเริ่มหิวละ เที่ยงกว่าแล้ว เรากับ “ป” จัดมาม่าไปคนละถ้วย เรากินไม่ทันเราไปกินต่อบนรถด้วย555 ส่วน “ก” นางอยากกินข้าวไข่เจียว ก็สั่งใส่ห่อมากินกับ “อ”)


ป.ล.สำหรับการใช้เงิน เราสามารถใช้เงินบาทได้ ให้ถามเค้าว่าคิดเป็นเงินไทยกี่บาท พวกเรายังไม่มีใครแลกเงินกีบไป กะว่าไปแลกเอาที่นู่น ได้ราคาดีกว่า เวลาเค้าหารเค้าจะใช้ 220 หารจำนวนกีบ ก็จะเป็นเงินไทย)
เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อ  ทีนี้ก็จะถึงเวลาหรรษาละนะ555 ใครเคยขึ้นดอยบ้านเรา ก็คล้ายๆกัน ทางจะโค้งหลายโค้ง คนไม่เมารถก็เมารถได้ บอกก่อน กินยาแก้เมารถไว้ได้เลย ทางแก้ที่ดีที่สุดคือ ขึ้นรถปุ๊บให้หลับปั๊บ เพราะหนึ่งในพวกเรา นาง “อ” เป็นคนเมารถ ขนาดกินยาแล้วแต่นางฝืนไม่ยอมหลับ ถึงวังเวียงปุ๊บ นางอ้วกปั๊บ ขอลงรถแทบไม่ทัน
สรุป จากอุดรธานีเราออกจากบขส.อุดรฯ เวลา 10.00 น. เราไปถึงวังเวียง เวลา 15.30 น.




ถึงแว้ววววววว วังเวียงงงงงงงง ถึงวังเวียง พวกเพื่อนๆที่ร่วมเดินทางมารถคันเดียวกันเค้าจองที่พักมาก่อนแล้ว เหลือแต่กลุ่มเรานี่ล่ะ เราให้รถเค้าไปส่งด้านในเลย คือถ้าใครจองโรงแรมไว้ก็แจ้งเค้าได้ เค้าไปส่งให้ถึงหน้าโรงแรม ยกเว้นถ้าเค้าไม่รู้จักก็ต้องไปเดินหาเองอ่ะ

แล้วพวกเรา 4 สาวก็ออกเดินทางหาที่พักกัน เดินอยู่นานพอสมควร ถึงจะร้อนจะเมื่อยตัว แต่แค่เห็นวิวมันก็หายเหนื่อยนะ พวกเราก็สู้แดดกันมาก เพื่อที่จะถ่ายรูปกัน เดินไปเรื่อยจนกระทั่งเริ่มไม่ไหวละ กะว่าเจอที่ไหนก็พักที่นั่นละกัน



แล้วเราก็ได้ที่พักที่ “เวียงธารา เกสเฮ้าส์” (ชื่อคล้ายกับเวียงธารา วิลล่า แต่ไม่ใช่นะ คนละที่) เป็นห้องพัดลม ราคาคืนละ 250 บาท/ห้อง (อากาศช่วงนี้มีฝน ไม่ร้อน นอนสบายอยู่ แต่แปลกมาก ดูพยากรณ์อากาศมาเค้าว่าช่วงนี้ที่ลาวมีฝน 80-90% แต่ตลอดทริปแทบไม่เจอฝนเลย เจอช่วงเช้าตกปรอยๆแล้วก็หยุด สงสัยของแรงจริง สาวโสด ไม่ต้องปักตะไคร้ก็เอาอยู่555) ลุงเจ้าของที่พัก ก็อัธยาศัยดี น่ารัก


หลังจากเก็บของเรียบร้อย พวกเราก็ออกมาเดินสำรวจริมแม่น้ำซองกัน ซึ่งอยู่ด้านหลังที่พักเรา จะข้ามสะพานนี้ต้องเสียค่าผ่านทาง 20 บาท(เงินไทย ตอนนั้นเรายังไม่ได้แลกเงินกีบกัน ใช้เงินไทยเข้าใจง่ายดี)



หลังจากนั้น พวกเราลงขันกันคนละ 2,000 บาท เป็นเงิน 8,000 บาท เดินไปเรื่อยๆ เข้ามาในตัวเมือง จะมีร้านที่ให้แลกเงินกีบมีหลายร้าน ร้านที่เราไปแลก น่าจะเป็นร้านใหญ่สุดในละแวกนั้นละ ให้เลทค่อนข้าสูง 227 บาท แลกมา 4,000 บาท คิดเป็นเงินกีบ 908,000 บาท(รวยละ กลับไทยเหอะ555)

มื้อเย็นวันนี้ “อ” นางอยากกินเฝอ พอดีเดินมาเจอร้านนี้มีเฝอก็เข้าเลย ทั้งๆที่ไม่มีคนเข้าเลยนะ แต่ปรากฏว่าหลังเราเข้าไป ก็มีคนเข้าตามมาเต็ม เป็นนางกวักไปเลย อิอิ (รู้สึกร้านจะชื่อ OH LA LA นะ ประมาณนี้แหล่ะ จำไม่ได้ง่ะ555) สั่งไป 4 อย่าง มีเฝอหมู(ชามใหญ่มาก) ,ตำลาว ,พิซซ่า แล้วก็ปีกไก่ย่าง 2 ไม้ ไส้กรอกหมู 1 ไม้ ,น้ำดื่มขวดลิตร 2 ขวด มื้อนี้หมดไป 115,000 กีบ(ประมาณ 500 กว่าบาทไทย)

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่