.
สวมหน้ากาก ใส่ไว้............พรางตน
ดัดจริต ปลอมปน..............สุ่มแสร้ง
เพียงล่อลวง ผู้คน..............ซุกซ่อน เจต์นา
แต่ยังส่อ แจ่มแจ้ง.............ถ้อยแถลงอักษรา
อันอักษร แห่งถ้อย............แถลงการณ์
มิอาจปก สันดา-................ถ่องแท้
แม้ขีดเขียน เพียรขาน........ปกปิด ตนแฮ
แต่มิอาจ เปลี่ยนแก้............ธาตุแท้ใจคน
อ่านกะทู้ที่ที่ยวหาว่าคนนั้นคนนี้ เที่ยวมาปลอมเป็นคนนี้คนนั้น
ทั้งๆที่ตัวเองนั้นแหละที่ปลอมเป็นคนนี้คนนั้น ไว้คอยเที่ยวใส่ร้ายคนนั้นคนนี้ แล้วก็งง (ผู้อ่านงงไหมครับ ผมเขียนเองก็ยังงงๆ)
แต่มันก็ได้บ่งบอกพฤติกรรมที่ค่อนข้างชัดเจนของสังคมนี้อย่างหนึ่ง คือ
ชอบสวมหน้ากาก และเพียรใช้หน้ากากเบี่ยงเบนความสนใจ จากนัยยะที่แท้จริงซ่อนอยู่ในเนื้อในของคำพูด หรือตัวอักษรของตัวเอง ให้ผู้อ่าน ผู้รับฟัง ไขว้เขว่ละเลยนัยยะที่แท้จริงไป แล้วไปให้ความสำคัญกับหน้ากากนั้นมากกว่า
ไม่ขอพูดให้ชัดๆหรือตรงๆ เพราะมันอ่านออกได้ง่ายสำหรับกะทู้กระจอกงอกง่อยแบบนี้ที่ปรากฏให้เห็นให้ได้อ่านในราชดำเนิน ว่าผู้กระทำคาดหวังผลเช่นไร แต่ที่อยากพูด อยากจะสื่อจริงๆก็คือพฤติกรรม"หน้ากาก"ระดับชาติ แต่ก็คงพูดไม่ได้ เพราะคงผิดกฏหมายและศีลธรรมอันดีอีกแน่ๆ
ผมคงพูดได้แค่ว่า
อักษรที่ใช้ชื่อว่าประชาธิปไตย หากมันไม่ได้หมายถึงอำนาจของประชาชน เขียนให้ตายยังไงมันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ต่อให้ใส่หน้ากากลวงหลอกว่ามันจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้สารพัด ป้องกันอย่างนั้นอย่างนี้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันก็เป็นแค่สรรพคุณลวงหลอกให้คนละเลยประเด็นสำคัญของอำนาจประชาธิปไตยไป จากคนที่ใส่หน้ากากคนดีและอ้างว่ามีแต่ตวเองเท่านั้นที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองก็เท่านั้นเอง
หน้ากากอาจปกปิดรูปกายที่แท้จริงได้ แต่คำพูดหรือข้อเขียนมิอาจปกปิดเจตนาได้ เพราะนัยยะที่แท้จริงนั้นล้วนอยู่ในถ้อยแถลง หรือตัวอักษรที่บัญญัติขึ้นมานั้นแหละ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
"หน้ากาก" บทกวีประโลมโลกประชาธิปไตย (นายพระรอง)
สวมหน้ากาก ใส่ไว้............พรางตน
ดัดจริต ปลอมปน..............สุ่มแสร้ง
เพียงล่อลวง ผู้คน..............ซุกซ่อน เจต์นา
แต่ยังส่อ แจ่มแจ้ง.............ถ้อยแถลงอักษรา
อันอักษร แห่งถ้อย............แถลงการณ์
มิอาจปก สันดา-................ถ่องแท้
แม้ขีดเขียน เพียรขาน........ปกปิด ตนแฮ
แต่มิอาจ เปลี่ยนแก้............ธาตุแท้ใจคน
อ่านกะทู้ที่ที่ยวหาว่าคนนั้นคนนี้ เที่ยวมาปลอมเป็นคนนี้คนนั้น
ทั้งๆที่ตัวเองนั้นแหละที่ปลอมเป็นคนนี้คนนั้น ไว้คอยเที่ยวใส่ร้ายคนนั้นคนนี้ แล้วก็งง (ผู้อ่านงงไหมครับ ผมเขียนเองก็ยังงงๆ)
แต่มันก็ได้บ่งบอกพฤติกรรมที่ค่อนข้างชัดเจนของสังคมนี้อย่างหนึ่ง คือ ชอบสวมหน้ากาก และเพียรใช้หน้ากากเบี่ยงเบนความสนใจ จากนัยยะที่แท้จริงซ่อนอยู่ในเนื้อในของคำพูด หรือตัวอักษรของตัวเอง ให้ผู้อ่าน ผู้รับฟัง ไขว้เขว่ละเลยนัยยะที่แท้จริงไป แล้วไปให้ความสำคัญกับหน้ากากนั้นมากกว่า
ไม่ขอพูดให้ชัดๆหรือตรงๆ เพราะมันอ่านออกได้ง่ายสำหรับกะทู้กระจอกงอกง่อยแบบนี้ที่ปรากฏให้เห็นให้ได้อ่านในราชดำเนิน ว่าผู้กระทำคาดหวังผลเช่นไร แต่ที่อยากพูด อยากจะสื่อจริงๆก็คือพฤติกรรม"หน้ากาก"ระดับชาติ แต่ก็คงพูดไม่ได้ เพราะคงผิดกฏหมายและศีลธรรมอันดีอีกแน่ๆ
ผมคงพูดได้แค่ว่า อักษรที่ใช้ชื่อว่าประชาธิปไตย หากมันไม่ได้หมายถึงอำนาจของประชาชน เขียนให้ตายยังไงมันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ต่อให้ใส่หน้ากากลวงหลอกว่ามันจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้สารพัด ป้องกันอย่างนั้นอย่างนี้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันก็เป็นแค่สรรพคุณลวงหลอกให้คนละเลยประเด็นสำคัญของอำนาจประชาธิปไตยไป จากคนที่ใส่หน้ากากคนดีและอ้างว่ามีแต่ตวเองเท่านั้นที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองก็เท่านั้นเอง
หน้ากากอาจปกปิดรูปกายที่แท้จริงได้ แต่คำพูดหรือข้อเขียนมิอาจปกปิดเจตนาได้ เพราะนัยยะที่แท้จริงนั้นล้วนอยู่ในถ้อยแถลง หรือตัวอักษรที่บัญญัติขึ้นมานั้นแหละ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง