สวัสดีเพื่อน ๆ พันทิปครับ ดีใจจังที่โลกใบนี้ยังมีพันทิป เพราะไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง จะระบายยังไง กับใคร คนรอบ ๆ ข้างที่มี ก็ไม่เข้าใจ
ในกระทู้นี้ ผมจะใช้คำว่า "ผม" กับ คำว่า "เรา" สลับกันบางช่วง เพราะปรกติผมมักจะใช้คำแทนตัวเองว่าเรา แต่บางจุดก็อยากใช้คำว่าผม เพื่อสื่อถึงความรู้สึกถึงเพื่อน ๆ ที่อ่านครับ
เราอยากระบาย อยากบอกเล่า ความรู้สึกที่เรามี และเราอยากให้คนที่เข้าใจเรา พิมพ์ บอก หยิก หรือสะกิดเรายังไงก็ได้ ให้เราดีขึ้น เพราะเราพยายามฝืนความรู้สึกตัวเองแล้ว เรากลับเอาชนะไม่ได้จริง ๆ ทำไมน้ำตาของเรามันไหลออกมาเหมือนคนบ้าในร้านพิซซ่าวันนั้น และทำไมทุกวันนี้เรามองรูปของเค้า เราต้องเขิน เราต้องคิดถึง
เราเปิดร้านทำธุรกิจของตัวเอง ในห้างแห่งหนึ่ง แต่ร้านของเราเป็นร้านเล็ก ๆ ทุกอย่างในร้านเราก็ทำเองคนเดียวมาตลอด แม้แต่การออกแบบสินค้า ไปจนถึงยืนขายหน้าร้าน ด้วยความที่เราเป็นคนคุยง่าย ทำให้เราได้รู้จ้กกับพี่ผู้หญิงร้านข้าง ๆ หลายคนที่เป็นพนักงาน ซึ่งเราเองกับหัวหน้าของพี่ ๆ พนักงานเหล่าน้ันก็สนิทกัน ทำให้คุยหยอกกันบ่อย จนเมื่อช่วงมีนาคมที่ผ่านมา พี่ผู้หญิงคนนึง ให้ลูกสาวเค้ามาทำงานช่วงปิดเทอมที่ร้านเรา เราก็ตกลงรับมาโดยไม่คิดอะไร
17 มีนาคม 2559
น้องผู้หญิง ม.5 คนนึง ยืนรอเราอยู่หน้าร้าน พร้อมยกมือไหว้สวัสดีเรา เราก็คุยกันแนะนำตัวปรกติ ภาพที่เราเห็นคือ น้องตัวเล็ก ๆ ผมยาว ๆ ผิวสีแทน ผอม ตาตี่ ย้อมปลายผมสีเขียวสว่างเชียว นั่นคือสิ่งที่เราเห็น และสิ่งที่เราคิดในเวลานั้นก็มีเพียง เด็กผู้หญิงคนนึง ธรรมดา ๆ มาช่วยเฝ้าร้านก็ดี เราจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น ในใจของเราคิดแค่นั้นจริง ๆ วันแรก น้องขายได้ดีพอสมควร เราให้รายได้น้องเป็นรายวัน ถ้าขายได้ไม่ถึง 10,000 เราให้ 300 บาท ถ้าขายได้ 10,000 ขึ้นไป เราให้ 500 บาท และถ้าขายได้เกิน 15,000 เราให้ 1,000 บาท รับวันต่อวัน
18 มีนาคม 2559
เย็นวันนั้น ขายค่อนข้างดี เราเลือกที่จะพาน้องไปเลี้ยงข้าวที่ร้านแถวเซ็นทรัลเวิลด์ เราพาน้องไป ก็เดินคุยไปเรื่อย ๆ ไม่คิดอะไร ออกจะอึดอัดด้วยซ้ำ เพราะเหมือนว่าเราไม่รู้จะคุยอะไร เราเบื่อเด็ก เราคิดว่าเราผ่านอะไรมาเยอะแล้ว อยากคุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ คุยงาน คุยอนาคต วางแผน หรือแนวคิดอะไรต่าง ๆ ที่มันดูลึก คุยแล้วรู้สึกมองอะไรได้ไกล แต่การสนทนากับน้อง (เราขอเรียกชื่อสมมุติไม่ตรงตัวอักษรสักตัวหรือเสียงอ่านให้ใกล้เคียงแม้แต่น้อยว่า น้อง "แพท") กลายเป็นเพียงแค่ "แพทอยู๋บ้านทำอะไรที่บ้าน ?" , "อยู่กับใคร ?" , "จังหวัดอะไร ?" เดินเอื่อย ๆ มาจนเจอร้านซูกิชิอะไรสักอย่าง ก็สั่งอาหารมาปรกติ น้องกดโทรศัพท์ กด ๆ ๆ ๆ เราก็ไม่มีอะไรคุย เราเองก็กด ๆ ๆ ๆ เหมือนกัน ต่างคนต่างนั่งเงียบ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าแย่หรือรู้สึกดีอะไร
ทุกอย่างผ่านมาปรกติ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร มันไม่ใช่ Love at first sight
10 เมษายน 2559
แพทไม่สบาย และดูเหมือนจะขายของให้เราไม่ไหว เราเองก็ไม่สบาย ดูเหมือนว่าเราสองคนจะติดหวัดกันเอง ทำให้บ่ายวันนั้นเราสองคนไม่ได้ขายของเลย เราเดินจูงแขนน้องไปรอพยาบาลกันอยู่ที่หน้าห้องพยาบาล เพราะเราก็ไม่มีแรง น้องก็วูบ จนพยาบาลมา เราก็แจ้งพยาบาล และน้องก็ได้นอนบนเตียงคนไข้ ส่วนเรา นั่งหัวพิงตู้ อยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน หลับปุ๊บเก้าอี้เลื่อน ๆ เรานอนเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่เป็นชั่วโมง เราตื่นก่อนและกลับมาที่ร้าน โชคดีที่แม่ของน้องช่วยเราขายในตอนที่เรากับน้องอยู่ห้องพยาบาล พอเราดีขึ้นเราก็ไปดูน้องอีก น้องยังหลับอยู่ จนถึงประมาณห้าหกโมงเย็น เรากลับไปดูน้องที่ห้องพยาบาล น้องไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เค้าออกมาขายของต่อ ความคิดของเราในตอนนั้นคือ เรามีน้องคนนึง ที่น่ารัก ๆ นิสัยดี ร่าเริง และขยัน แต่วันนี้เค้าป่วย เราคิดแค่นั้น
12 เมษายน 2559
วันใกล้สงกรานต์ เราซื้อพวงมาลัย 2 พวง เพราะเราอยากพาน้องไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทอง วัดสระเกษ ในใจตอนนั้นเราอยากให้น้องได้ทำบุญบ้าง และเราชอบที่นี่ ศรัทธาที่นี่ เราอยากให้น้องได้ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเรามีความเชื่อว่าจะทำให้น้องโชคดี ได้รับสิ่งดี ๆ แม้น้องจะไม่อยู่กับเราแล้ว เราคิดเพียงเท่านี้ และตัวเราเองก็อยากไปเช่นกัน เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบบางอย่างของเรา เราเลยบอกกับแพทว่า อยากเที่ยวไหม วันนี้ปิดร้านแล้วไปเที่ยวกัน น้องบอกว่า พี่ไม่รู้เหรอ หนูนี่แหละตัวเที่ยว น้องพูดไปก็หัวเราะไป
น้องเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มง่าย และเหมือนจะเป็นคนเงียบในเวลานั้น (เดี๋ยวเราจะเล่าต่อว่าไม่ใช่) วันนั้น เราพาน้องออกมาประมาณช่วงเที่ยง นั่งเรือถึงยอดภูเขาทองตอนบ่าย ๆ แดดกำลังแรง ๆ พี่น้องสองคน เดินเท้าเปล่าบนพื้นลานเจดีย์ยอดพระบรมบรรพต ภูเขาทอง แดดแรง ๆ แสบเท้ากัน 3 รอบ พอทำทุกอย่างเสร็จ ทั้งน้องและเราก็อ่อนแรง แทบทำงานต่อไม่ไหว แต่เรายังห่วงร้าน เราเรียกแท๊กซี่ส่งน้องไปที่ร้าน และเราไปซื้อของต่อที่เยาวราช พอแยกกัน น้องส่งข้อความจากบนรถแท็กซี่มาหา เป็นภาษาอังกฤษว่า "Thankyou for everything you give me" อาจไม่ถูกต้องตามไวยากรณ์ แต่คำคำนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าน้องเป็นอะไรหรือเปล่า กำลังจะไปไหนเหรอ เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกวาบ กลัวว่าน้องจะหายไป
เราโทรไปหาน้อง ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ส่งข้อความมาเหมือนคนจะบอกลากันเลย น้องบอกว่า หนูว่าแล้วว่าพี่ต้องคิดแบบนี้ หนูไม่ได้อะไรพี่ หนูแค่อยากขอบคุณ น้องตอบเราประมาณนี้ แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้ตัวแล้วว่า เรารู้สึกวาบ ใจหาย ถ้าได้รู้ว่า "เค้า" จะหายไป
13 เมษายน 2559
ช่วงเช้า เราไปต่างจังหวัด และเราก็รีบกลับมาที่ร้าน เพราะเราอยากพาน้องไปดูหนังที่ IMAX เราคิดว่าน้องคงไม่เคยได้ดูหนังในโรงสามมิติแบบ IMAX แน่ และก็เป็นอย่างนั้น เราอยากให้น้องได้เห็นอะไรมากกว่าโรงที่น้องเคยชอบไปดูในโรงทั่วไป คืนนั้น มีเพื่อนของน้องมาดูด้วยอีกคนหนึ่ง เราก็ดูด้วยกันสามคนแบบไม่ได้คิดอะไรอยู่ดี ตอนเดินเข้าเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อมาพารากอน เราเดินควงแขนน้องด้วยความหมั่นเขี้ยว น้องบอกกับเราว่า เหมือน "แม่กับลูก" เราในตอนนั้นก็ไม่คิดว่ามันสำคัญอะไรมาก แต่เราหงุดหงิดนิดหน่อยที่เรามักจะถูกมองแบบนั้นจากผู้หญิงเสมอ ๆ
เรากำลังหมายถึง
เราเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างเหมือนผู้หญิง (มีคนบอกเราและเราสังเกตุตัวเอง) เราไม่ค่อยโผงผาง ออกไปทางเรียบร้อย เราไม่มีลูกกระเดือก ขาเรียว ไม่มีขนหน้าแข้ง หน้าหวานเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และที่สำคัญ เรามีหน้าอกน้อย ๆ ขึ้นมาโดยที่เราไม่เคยทำศัลยกรรมหรือกินยาคุม มันเป็นเองโดยธรรมชาติตั้งแต่เราวัยรุ่น เท่าที่พอจำได้ ตั้งแต่ม.2 มา เราก็มีหน้าอกขึ้นมาตลอด แต่ตอนนี้เรามีหน้าอกที่นูนออกมาชัดเจน จนเพื่อนผู้หญิงบางคนบอกว่ามีมากกว่าของเค้าอีก นี่ดูจะเป็นปัญหาของเราไม่น้อยเลย
IMAX ทำให้น้องตื่นตานิด ๆ กับอะไรใหม่ ๆ เรารู้ตัวว่าเราพาน้องไปเพราะเพียงแค่อยากให้น้องได้เห็นโรงหนังสามมิติดี ๆ ไม่มีอย่างอื่นปนเลย แม้แต่ความคิดว่าอยากนั่งข้าง ๆ เค้า ก็ไม่ได้มีในใจเลย ในใจตอนนั้นเราอยากเปิดโลกให้เค้าล้วน ๆ เพราะเค้ามาจากต่างจังหวัด
15 เมษายน 2559
ค่ำวันสงกรานต์ เราพาน้องไปเลี้ยงพิซซ่า คืนวันนั้นแทบทุกอย่างในใจของเรากับน้องเริ่มเปลี่ยนไป เราเดินหาร้านอาหารกับน้องว่าจะกินร้านอะไรดี เดินไป เดินไป มือของเราก็จับมือเล็ก ๆ ของน้องไปด้วย แต่ทำไม ทำไม ทำไมเรากลับรู้สึกว่า เราไม่อยากปล่อยมือนี้เลย เราอบอุ่น เราเอานิ้วโป้งกดเบา ๆ คลึงเบา ๆ ที่ฝ่ามือของเค้า เวลาที่เราจับมือเค้า ไม่นะ ไม่ เราไม่อยากปล่อยมือคนคนนี้ ไม่จริง ๆ เราทำไม่ได้ เราอยากจับมือนี้ไว้ตลอดไป มันเป็นเพราะเราเหงาเหรอ เราอยู่คนเดียวมาได้ตั้งหลายปี แม้แต่กับคนที่ทำเราเจ็บ กับการอกหัก กับการถูกหลอก ถูกโกง หรือความโหดร้ายอะไรที่คนอายุ 32 ด้วยกันควรจะผ่านมา เราก็ได้ผ่านมาแล้ว กว่าจะจบป.ตรี กว่าจะมีธุรกิจของตัวเอง ผ่านมาสารพัดจนเราเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ เราเคยผ่านมาจุดหนักสุด ๆ ที่แทบไม่เหลืออะไร ไม่เหลือใคร จนยืนขึ้นมาได้ด้วยตนเอง แต่ทำไมเราถึงอ่อนไม่มีแรง เพียงเพราะฝ่ามือของเจ้าหญิงอายุ 17 คนนี้คนเดียว มือเล็ก ๆ ของผู้หญิงผิวสีแทน ผมดำยาว ปลายผมสีเขียว ที่เริ่มซีดลง ๆ เพราะสีจาง กลับเหมือนมนต์สะกดที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีแค่เราสองคน เราไม่อยากปล่อยมือเค้าไป
เราสั่งพิซซ่า พาสต้า และกินด้วยกันกับเค้าเพลิน ๆ แต่ในใจเรารู้สึกมีความสุข ที่เค้านั่งด้วยอยู่ตรงข้ามเรา ไม่เหมือนวันแรกที่เราไปกินกับเค้าแบบไม่มีความรู้สึกอะไรเลย จากความรู้สึกที่กินข้าวด้วยกันแล้วงั้น ๆ เฉย ๆ กลายเป็นความรู้สึกว่ามีความสุขที่เค้านั่งกินด้วยกันกับเรา บางอย่างมันเริ่มเติบโตขึ้น
และเราไม่รู้วิธีหยุดสิ่งนั้นเลย
17 เมษายน 2559
เราโพสท์ในเฟสบุ๊คว่า
" ถ้ามีพร 2 ข้อ ที่อธิษฐานใหคนบนโลกแล้วเป็นจริงได้
จะขอให้ ข้อแรก ขอให้คนทุกคนบนโลกที่มีความรัก ได้สมหวังกับคนที่ตนเองรัก
และข้อสอง ขอให้คนทุกครที่ได้อยู่กับคนที่รักแล้ว มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ไม่ลำบากหาเลี้ยงชีวิต
ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะตอนนี้อยากเป็นแบบนั้น "
อีกโพสท์หนึ่ง เราบอกกับตัวเองว่า
"รักไม่ได้จริง ๆ เหรอ"
เราเริ่มบอกกับน้องแล้ว ว่าเรารู้สึกมีความสุขที่เค้าอยู่ใกล้เรา
น้องเองก็เหมือนเริ่มรู้ และตั้งสถานะแปลก ๆ ว่า "อย่ามาชอบเราเลย"
บางครั้ง เรานั่งอยู่กับน้องที่ร้าน เราก็เอาหัวของเราไปซบกับแขนของน้อง เรารู้ว่ามันไม่เหมาะ แต่เราคิดเพียงว่าเรากับน้องเข้าใจกันดีพอ
เวลาที่หัวเราพิงกับแขนของน้อง เราหายเหนื่อย เราสบายใจ เรารู้สึกว่าเราไม่ต้องการอะไรอีกเลย ไม่อยากได้อะไร เรามีความสุขที่สุดจริง ๆ
เราเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่พูดตรง ๆ แต่เราก็แสดงออกมาด้วยธรรมชาติของเราเอง ด้วยการพูดหวานขึ้น ด้วยการซื้อของให้ ซึ่งเราคิดว่าน้องคงรู้
เราเก็บความรู้สึกนี้ไว้ไม่บอก แต่ยิ่งเก็บ ก็ยิ่งเหมือนน้ำที่ล้นเขื่อน ถ้ามันไม่มีทางระบาย มันก็จะท่วมออกมา
เรานอนน้ำตาไหลเพราะคิดถึงเค้า จากที่เพียงเอ่อ ๆ มันก็ไหลออกมาเป็นน้ำตา จากที่ไหลเป็นน้ำตา มันก็กลายมาเป็นนอนร้องไห้ เรารักเค้าแล้ว พอรู้คตัวก็ถอนไม่ได้แล้ว แต่เราห่างกับเค้าตั้ง 15 ปีนะ มันผิดใช่ไหม และถ้ามันไม่ผิด เราจะต้องทำยังไง
21 เมษายน 2559
เราตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปเล่าให้กับรุ่นน้องของเราคนหนึ่ง ที่ไว้ใจได้ และความคิดดี ที่จริงเค้าเป็นลูกค้าของเราเอง เค้าพาเราไปเลี้ยงข้าว และเราขอเข้าไปคุยกับเค้าในรถ เมื่อความเงียบมาถึง ในรถแอร์เย็น ๆ น้ำตาเราไหลออกมาเต็มสองแก้มแบบอยู่นานกว่าจะหมด เรากลัวว่าน้องจะรู้ว่าเรารักน้อง เรากลัวว่าเราจะถูกรังเกียจ เราบอกกับรุ่นน้องว่า เรากลัวแม้แต่การเดินกลับเข้าร้านของตัวเอง เพราะเราทำตัวไม่ถูก เรารู้แล้วว่าน้องรู้แน่ว่าเรารักเค้า เรากลับไปจะทักยังไง จะมองยังไง
"ร้านตัวเอง แต่ต้น(ชื่อเราสมมุติ) ไม่กล้ากลับไปที่ร้านของตัวเองน่ะพลอย(ชื่อรุ่นน้องสมมุติ) ฮื่อออออออออออ~~~ ซื้ด ๆ "
พูดไปก็ร้องไห้ไป
รุ่นน้องบอกให้เราใจเย็น ๆ ตั้งสติ รุ่นน้องเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ ระหว่างทางกลับมาร้าน เราทั้งกังวล ทั้งกลัว สิ่งที่เรากลัวมากที่สุดคือ การถูกรังเกียจ
มันมีจริง ๆ เหรอ ที่ความรักทำให้ถูกรังเกียจ
มันมีจริง ๆ ใช่ไหม ?
(มีต่อ)
รู้ไหม ว่าการที่ผู้ชายอายุ 32 ปี ต้องมาร้องไห้เหมือนเด็กในร้านพิซซ่าต่อหน้าผู้หญิงอายุ 17 มันทรมานแค่ไหน
ในกระทู้นี้ ผมจะใช้คำว่า "ผม" กับ คำว่า "เรา" สลับกันบางช่วง เพราะปรกติผมมักจะใช้คำแทนตัวเองว่าเรา แต่บางจุดก็อยากใช้คำว่าผม เพื่อสื่อถึงความรู้สึกถึงเพื่อน ๆ ที่อ่านครับ
เราอยากระบาย อยากบอกเล่า ความรู้สึกที่เรามี และเราอยากให้คนที่เข้าใจเรา พิมพ์ บอก หยิก หรือสะกิดเรายังไงก็ได้ ให้เราดีขึ้น เพราะเราพยายามฝืนความรู้สึกตัวเองแล้ว เรากลับเอาชนะไม่ได้จริง ๆ ทำไมน้ำตาของเรามันไหลออกมาเหมือนคนบ้าในร้านพิซซ่าวันนั้น และทำไมทุกวันนี้เรามองรูปของเค้า เราต้องเขิน เราต้องคิดถึง
เราเปิดร้านทำธุรกิจของตัวเอง ในห้างแห่งหนึ่ง แต่ร้านของเราเป็นร้านเล็ก ๆ ทุกอย่างในร้านเราก็ทำเองคนเดียวมาตลอด แม้แต่การออกแบบสินค้า ไปจนถึงยืนขายหน้าร้าน ด้วยความที่เราเป็นคนคุยง่าย ทำให้เราได้รู้จ้กกับพี่ผู้หญิงร้านข้าง ๆ หลายคนที่เป็นพนักงาน ซึ่งเราเองกับหัวหน้าของพี่ ๆ พนักงานเหล่าน้ันก็สนิทกัน ทำให้คุยหยอกกันบ่อย จนเมื่อช่วงมีนาคมที่ผ่านมา พี่ผู้หญิงคนนึง ให้ลูกสาวเค้ามาทำงานช่วงปิดเทอมที่ร้านเรา เราก็ตกลงรับมาโดยไม่คิดอะไร
17 มีนาคม 2559
น้องผู้หญิง ม.5 คนนึง ยืนรอเราอยู่หน้าร้าน พร้อมยกมือไหว้สวัสดีเรา เราก็คุยกันแนะนำตัวปรกติ ภาพที่เราเห็นคือ น้องตัวเล็ก ๆ ผมยาว ๆ ผิวสีแทน ผอม ตาตี่ ย้อมปลายผมสีเขียวสว่างเชียว นั่นคือสิ่งที่เราเห็น และสิ่งที่เราคิดในเวลานั้นก็มีเพียง เด็กผู้หญิงคนนึง ธรรมดา ๆ มาช่วยเฝ้าร้านก็ดี เราจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น ในใจของเราคิดแค่นั้นจริง ๆ วันแรก น้องขายได้ดีพอสมควร เราให้รายได้น้องเป็นรายวัน ถ้าขายได้ไม่ถึง 10,000 เราให้ 300 บาท ถ้าขายได้ 10,000 ขึ้นไป เราให้ 500 บาท และถ้าขายได้เกิน 15,000 เราให้ 1,000 บาท รับวันต่อวัน
18 มีนาคม 2559
เย็นวันนั้น ขายค่อนข้างดี เราเลือกที่จะพาน้องไปเลี้ยงข้าวที่ร้านแถวเซ็นทรัลเวิลด์ เราพาน้องไป ก็เดินคุยไปเรื่อย ๆ ไม่คิดอะไร ออกจะอึดอัดด้วยซ้ำ เพราะเหมือนว่าเราไม่รู้จะคุยอะไร เราเบื่อเด็ก เราคิดว่าเราผ่านอะไรมาเยอะแล้ว อยากคุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ คุยงาน คุยอนาคต วางแผน หรือแนวคิดอะไรต่าง ๆ ที่มันดูลึก คุยแล้วรู้สึกมองอะไรได้ไกล แต่การสนทนากับน้อง (เราขอเรียกชื่อสมมุติไม่ตรงตัวอักษรสักตัวหรือเสียงอ่านให้ใกล้เคียงแม้แต่น้อยว่า น้อง "แพท") กลายเป็นเพียงแค่ "แพทอยู๋บ้านทำอะไรที่บ้าน ?" , "อยู่กับใคร ?" , "จังหวัดอะไร ?" เดินเอื่อย ๆ มาจนเจอร้านซูกิชิอะไรสักอย่าง ก็สั่งอาหารมาปรกติ น้องกดโทรศัพท์ กด ๆ ๆ ๆ เราก็ไม่มีอะไรคุย เราเองก็กด ๆ ๆ ๆ เหมือนกัน ต่างคนต่างนั่งเงียบ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าแย่หรือรู้สึกดีอะไร
ทุกอย่างผ่านมาปรกติ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร มันไม่ใช่ Love at first sight
10 เมษายน 2559
แพทไม่สบาย และดูเหมือนจะขายของให้เราไม่ไหว เราเองก็ไม่สบาย ดูเหมือนว่าเราสองคนจะติดหวัดกันเอง ทำให้บ่ายวันนั้นเราสองคนไม่ได้ขายของเลย เราเดินจูงแขนน้องไปรอพยาบาลกันอยู่ที่หน้าห้องพยาบาล เพราะเราก็ไม่มีแรง น้องก็วูบ จนพยาบาลมา เราก็แจ้งพยาบาล และน้องก็ได้นอนบนเตียงคนไข้ ส่วนเรา นั่งหัวพิงตู้ อยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน หลับปุ๊บเก้าอี้เลื่อน ๆ เรานอนเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่เป็นชั่วโมง เราตื่นก่อนและกลับมาที่ร้าน โชคดีที่แม่ของน้องช่วยเราขายในตอนที่เรากับน้องอยู่ห้องพยาบาล พอเราดีขึ้นเราก็ไปดูน้องอีก น้องยังหลับอยู่ จนถึงประมาณห้าหกโมงเย็น เรากลับไปดูน้องที่ห้องพยาบาล น้องไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เค้าออกมาขายของต่อ ความคิดของเราในตอนนั้นคือ เรามีน้องคนนึง ที่น่ารัก ๆ นิสัยดี ร่าเริง และขยัน แต่วันนี้เค้าป่วย เราคิดแค่นั้น
12 เมษายน 2559
วันใกล้สงกรานต์ เราซื้อพวงมาลัย 2 พวง เพราะเราอยากพาน้องไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทอง วัดสระเกษ ในใจตอนนั้นเราอยากให้น้องได้ทำบุญบ้าง และเราชอบที่นี่ ศรัทธาที่นี่ เราอยากให้น้องได้ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเรามีความเชื่อว่าจะทำให้น้องโชคดี ได้รับสิ่งดี ๆ แม้น้องจะไม่อยู่กับเราแล้ว เราคิดเพียงเท่านี้ และตัวเราเองก็อยากไปเช่นกัน เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบบางอย่างของเรา เราเลยบอกกับแพทว่า อยากเที่ยวไหม วันนี้ปิดร้านแล้วไปเที่ยวกัน น้องบอกว่า พี่ไม่รู้เหรอ หนูนี่แหละตัวเที่ยว น้องพูดไปก็หัวเราะไป
น้องเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มง่าย และเหมือนจะเป็นคนเงียบในเวลานั้น (เดี๋ยวเราจะเล่าต่อว่าไม่ใช่) วันนั้น เราพาน้องออกมาประมาณช่วงเที่ยง นั่งเรือถึงยอดภูเขาทองตอนบ่าย ๆ แดดกำลังแรง ๆ พี่น้องสองคน เดินเท้าเปล่าบนพื้นลานเจดีย์ยอดพระบรมบรรพต ภูเขาทอง แดดแรง ๆ แสบเท้ากัน 3 รอบ พอทำทุกอย่างเสร็จ ทั้งน้องและเราก็อ่อนแรง แทบทำงานต่อไม่ไหว แต่เรายังห่วงร้าน เราเรียกแท๊กซี่ส่งน้องไปที่ร้าน และเราไปซื้อของต่อที่เยาวราช พอแยกกัน น้องส่งข้อความจากบนรถแท็กซี่มาหา เป็นภาษาอังกฤษว่า "Thankyou for everything you give me" อาจไม่ถูกต้องตามไวยากรณ์ แต่คำคำนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าน้องเป็นอะไรหรือเปล่า กำลังจะไปไหนเหรอ เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกวาบ กลัวว่าน้องจะหายไป
เราโทรไปหาน้อง ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ส่งข้อความมาเหมือนคนจะบอกลากันเลย น้องบอกว่า หนูว่าแล้วว่าพี่ต้องคิดแบบนี้ หนูไม่ได้อะไรพี่ หนูแค่อยากขอบคุณ น้องตอบเราประมาณนี้ แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้ตัวแล้วว่า เรารู้สึกวาบ ใจหาย ถ้าได้รู้ว่า "เค้า" จะหายไป
13 เมษายน 2559
ช่วงเช้า เราไปต่างจังหวัด และเราก็รีบกลับมาที่ร้าน เพราะเราอยากพาน้องไปดูหนังที่ IMAX เราคิดว่าน้องคงไม่เคยได้ดูหนังในโรงสามมิติแบบ IMAX แน่ และก็เป็นอย่างนั้น เราอยากให้น้องได้เห็นอะไรมากกว่าโรงที่น้องเคยชอบไปดูในโรงทั่วไป คืนนั้น มีเพื่อนของน้องมาดูด้วยอีกคนหนึ่ง เราก็ดูด้วยกันสามคนแบบไม่ได้คิดอะไรอยู่ดี ตอนเดินเข้าเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อมาพารากอน เราเดินควงแขนน้องด้วยความหมั่นเขี้ยว น้องบอกกับเราว่า เหมือน "แม่กับลูก" เราในตอนนั้นก็ไม่คิดว่ามันสำคัญอะไรมาก แต่เราหงุดหงิดนิดหน่อยที่เรามักจะถูกมองแบบนั้นจากผู้หญิงเสมอ ๆ
เรากำลังหมายถึง
เราเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างเหมือนผู้หญิง (มีคนบอกเราและเราสังเกตุตัวเอง) เราไม่ค่อยโผงผาง ออกไปทางเรียบร้อย เราไม่มีลูกกระเดือก ขาเรียว ไม่มีขนหน้าแข้ง หน้าหวานเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และที่สำคัญ เรามีหน้าอกน้อย ๆ ขึ้นมาโดยที่เราไม่เคยทำศัลยกรรมหรือกินยาคุม มันเป็นเองโดยธรรมชาติตั้งแต่เราวัยรุ่น เท่าที่พอจำได้ ตั้งแต่ม.2 มา เราก็มีหน้าอกขึ้นมาตลอด แต่ตอนนี้เรามีหน้าอกที่นูนออกมาชัดเจน จนเพื่อนผู้หญิงบางคนบอกว่ามีมากกว่าของเค้าอีก นี่ดูจะเป็นปัญหาของเราไม่น้อยเลย
IMAX ทำให้น้องตื่นตานิด ๆ กับอะไรใหม่ ๆ เรารู้ตัวว่าเราพาน้องไปเพราะเพียงแค่อยากให้น้องได้เห็นโรงหนังสามมิติดี ๆ ไม่มีอย่างอื่นปนเลย แม้แต่ความคิดว่าอยากนั่งข้าง ๆ เค้า ก็ไม่ได้มีในใจเลย ในใจตอนนั้นเราอยากเปิดโลกให้เค้าล้วน ๆ เพราะเค้ามาจากต่างจังหวัด
15 เมษายน 2559
ค่ำวันสงกรานต์ เราพาน้องไปเลี้ยงพิซซ่า คืนวันนั้นแทบทุกอย่างในใจของเรากับน้องเริ่มเปลี่ยนไป เราเดินหาร้านอาหารกับน้องว่าจะกินร้านอะไรดี เดินไป เดินไป มือของเราก็จับมือเล็ก ๆ ของน้องไปด้วย แต่ทำไม ทำไม ทำไมเรากลับรู้สึกว่า เราไม่อยากปล่อยมือนี้เลย เราอบอุ่น เราเอานิ้วโป้งกดเบา ๆ คลึงเบา ๆ ที่ฝ่ามือของเค้า เวลาที่เราจับมือเค้า ไม่นะ ไม่ เราไม่อยากปล่อยมือคนคนนี้ ไม่จริง ๆ เราทำไม่ได้ เราอยากจับมือนี้ไว้ตลอดไป มันเป็นเพราะเราเหงาเหรอ เราอยู่คนเดียวมาได้ตั้งหลายปี แม้แต่กับคนที่ทำเราเจ็บ กับการอกหัก กับการถูกหลอก ถูกโกง หรือความโหดร้ายอะไรที่คนอายุ 32 ด้วยกันควรจะผ่านมา เราก็ได้ผ่านมาแล้ว กว่าจะจบป.ตรี กว่าจะมีธุรกิจของตัวเอง ผ่านมาสารพัดจนเราเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ เราเคยผ่านมาจุดหนักสุด ๆ ที่แทบไม่เหลืออะไร ไม่เหลือใคร จนยืนขึ้นมาได้ด้วยตนเอง แต่ทำไมเราถึงอ่อนไม่มีแรง เพียงเพราะฝ่ามือของเจ้าหญิงอายุ 17 คนนี้คนเดียว มือเล็ก ๆ ของผู้หญิงผิวสีแทน ผมดำยาว ปลายผมสีเขียว ที่เริ่มซีดลง ๆ เพราะสีจาง กลับเหมือนมนต์สะกดที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีแค่เราสองคน เราไม่อยากปล่อยมือเค้าไป
เราสั่งพิซซ่า พาสต้า และกินด้วยกันกับเค้าเพลิน ๆ แต่ในใจเรารู้สึกมีความสุข ที่เค้านั่งด้วยอยู่ตรงข้ามเรา ไม่เหมือนวันแรกที่เราไปกินกับเค้าแบบไม่มีความรู้สึกอะไรเลย จากความรู้สึกที่กินข้าวด้วยกันแล้วงั้น ๆ เฉย ๆ กลายเป็นความรู้สึกว่ามีความสุขที่เค้านั่งกินด้วยกันกับเรา บางอย่างมันเริ่มเติบโตขึ้น
และเราไม่รู้วิธีหยุดสิ่งนั้นเลย
17 เมษายน 2559
เราโพสท์ในเฟสบุ๊คว่า
" ถ้ามีพร 2 ข้อ ที่อธิษฐานใหคนบนโลกแล้วเป็นจริงได้
จะขอให้ ข้อแรก ขอให้คนทุกคนบนโลกที่มีความรัก ได้สมหวังกับคนที่ตนเองรัก
และข้อสอง ขอให้คนทุกครที่ได้อยู่กับคนที่รักแล้ว มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ไม่ลำบากหาเลี้ยงชีวิต
ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะตอนนี้อยากเป็นแบบนั้น "
อีกโพสท์หนึ่ง เราบอกกับตัวเองว่า
"รักไม่ได้จริง ๆ เหรอ"
เราเริ่มบอกกับน้องแล้ว ว่าเรารู้สึกมีความสุขที่เค้าอยู่ใกล้เรา
น้องเองก็เหมือนเริ่มรู้ และตั้งสถานะแปลก ๆ ว่า "อย่ามาชอบเราเลย"
บางครั้ง เรานั่งอยู่กับน้องที่ร้าน เราก็เอาหัวของเราไปซบกับแขนของน้อง เรารู้ว่ามันไม่เหมาะ แต่เราคิดเพียงว่าเรากับน้องเข้าใจกันดีพอ
เวลาที่หัวเราพิงกับแขนของน้อง เราหายเหนื่อย เราสบายใจ เรารู้สึกว่าเราไม่ต้องการอะไรอีกเลย ไม่อยากได้อะไร เรามีความสุขที่สุดจริง ๆ
เราเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่พูดตรง ๆ แต่เราก็แสดงออกมาด้วยธรรมชาติของเราเอง ด้วยการพูดหวานขึ้น ด้วยการซื้อของให้ ซึ่งเราคิดว่าน้องคงรู้
เราเก็บความรู้สึกนี้ไว้ไม่บอก แต่ยิ่งเก็บ ก็ยิ่งเหมือนน้ำที่ล้นเขื่อน ถ้ามันไม่มีทางระบาย มันก็จะท่วมออกมา
เรานอนน้ำตาไหลเพราะคิดถึงเค้า จากที่เพียงเอ่อ ๆ มันก็ไหลออกมาเป็นน้ำตา จากที่ไหลเป็นน้ำตา มันก็กลายมาเป็นนอนร้องไห้ เรารักเค้าแล้ว พอรู้คตัวก็ถอนไม่ได้แล้ว แต่เราห่างกับเค้าตั้ง 15 ปีนะ มันผิดใช่ไหม และถ้ามันไม่ผิด เราจะต้องทำยังไง
21 เมษายน 2559
เราตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปเล่าให้กับรุ่นน้องของเราคนหนึ่ง ที่ไว้ใจได้ และความคิดดี ที่จริงเค้าเป็นลูกค้าของเราเอง เค้าพาเราไปเลี้ยงข้าว และเราขอเข้าไปคุยกับเค้าในรถ เมื่อความเงียบมาถึง ในรถแอร์เย็น ๆ น้ำตาเราไหลออกมาเต็มสองแก้มแบบอยู่นานกว่าจะหมด เรากลัวว่าน้องจะรู้ว่าเรารักน้อง เรากลัวว่าเราจะถูกรังเกียจ เราบอกกับรุ่นน้องว่า เรากลัวแม้แต่การเดินกลับเข้าร้านของตัวเอง เพราะเราทำตัวไม่ถูก เรารู้แล้วว่าน้องรู้แน่ว่าเรารักเค้า เรากลับไปจะทักยังไง จะมองยังไง
"ร้านตัวเอง แต่ต้น(ชื่อเราสมมุติ) ไม่กล้ากลับไปที่ร้านของตัวเองน่ะพลอย(ชื่อรุ่นน้องสมมุติ) ฮื่อออออออออออ~~~ ซื้ด ๆ "
พูดไปก็ร้องไห้ไป
รุ่นน้องบอกให้เราใจเย็น ๆ ตั้งสติ รุ่นน้องเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ ระหว่างทางกลับมาร้าน เราทั้งกังวล ทั้งกลัว สิ่งที่เรากลัวมากที่สุดคือ การถูกรังเกียจ
มันมีจริง ๆ เหรอ ที่ความรักทำให้ถูกรังเกียจ
มันมีจริง ๆ ใช่ไหม ?
(มีต่อ)