มิ.ย.กดปุ่ม"อีคูปอง"ดิจิทัลทีวีเฟส2 ผู้ค้าเซตท็อปบ็อกซ์กัดฟันลงทุนเพิ่ม-เคลียร์สต๊อก
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 20 พ.ค. 2559
"กสทช." ขีดเส้นกลาง มิ.ย.แจกคูปองทีวีดิจิทัลรอบใหม่อีก 5.7 ล้านครัวเรือน ชูระบบ e-Coupon ใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดที่จุดบริการ ขณะที่ผู้จำหน่ายกล่องรับสัญญาณต้องควักกระเป๋าซื้อเครื่องอ่าน ID Card ฟาก "ผู้ค้า" กัดฟันร่วมแคมเปญรอบใหม่-ดิ้นระบายสต๊อกอุตลุด
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เตรียมแจกคูปองส่วนลดซื้อกล่องรับสัญญาณ (set-top-box) ทีวีดิจิทัลรอบใหม่ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อนุมัติเพิ่มกลางเดือน มิ.ย.นี้
"รอบนี้จะต่างกับเฟสก่อน โดย กสทช.จะเชื่อมระบบกับกรมการปกครอง เพื่อให้ประชาชนที่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์ สามารถใช้บัตรประชาชนที่เป็นสมาร์ทการ์ดไปใช้สิทธิ์ ณ จุดให้บริการได้ทันที (ระบบ e-Coupon) ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไม่ต้องพิมพ์คูปอง (3 บาท/ฉบับ) ไม่ต้องเสียค่าไปรษณีย์ตอบรับ (8 บาท/ฉบับ) แต่จะส่งแค่ไปรษณียบัตรแจ้งให้ผู้ได้สิทธิ์รับทราบเท่านั้น ทำให้ประชาชนสะดวกขึ้น"
แต่ผู้จำหน่าย set-top-box ที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องซื้ออุปกรณ์เครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ด (ID Card Reader) จาก กสทช. นำไปติดตั้งยังจุดจำหน่ายเพื่ออ่านข้อมูลจากบัตรและเชื่อมระบบ
"ปัจจุบันเหลือบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ 7-8 รายเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นคือค่า ID Card Reader ราคาประมาณ 100 บาท ในจำนวนเท่ากับจุดให้บริการของบริษัท"
โดยรอบนี้ีจะมีผู้ได้รับแจก 5.7 ล้านครัวเรือน ตามกรอบของ คสช.ที่ให้แจกเพิ่มใน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ครัวเรือนที่ได้รับสิทธิแจกคูปองในเฟสแรก ซึ่งไปรษณีย์ไทยตีกลับคูปองมา 1.2 ล้านครัวเรือน 2.ทะเบียนบ้านใหม่และมีเจ้าบ้าน หลัง 16 ก.ย. 2557 3.ทะเบียนบ้านที่ไม่มีเจ้าบ้านแต่มีผู้อยู่อาศัย และ 4.ทะเบียนบ้านชั่วคราว
ขณะที่การแจกคูปองในเฟสแรกได้รับอนุมัติกรอบวงเงินไว้ที่ 16,165.26 ล้านบาท แจกไปทั้งหมด 13.5 ล้านครัวเรือน มีผู้ใช้สิทธิ์ 8.7 ล้านครัวเรือน ส่วนงบประมาณในรอบนี้กำลังอยู่ระหว่างการประเมิน แต่จะอยู่ภายใต้กรอบงบประมาณเดิม
เอกชนดิ้นระบายสต๊อก
นายทวี อุดมกิจโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย set-top-box แบรนด์ "Samart" เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กสทช.แจ้งเบื้องต้นว่า จะต้องซื้อ Card Reader ตัวละราว 600-700 บาท ขณะที่ทุกบริษัทรวมกันมีจุดจำหน่ายเกือบ 1 หมื่นจุด เท่ากับต้องลงทุนอีกหลายล้านบาท เฉพาะของบริษัทจะมีราว 600 จุด
"ผู้ประกอบการทุกรายมี set-top-box ค้างอยู่ในสต๊อกรวมกว่า 4-5 ล้านกล่อง"ดังนั้นทุกรายต่างต้องระบายสต๊อกที่ค้างไว้ออกมาให้ได้มากที่สุด แม้จะมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่มก็ต้องทำ เพราะหากระบายสต๊อกรอบนี้ไม่หมด โอกาสที่ตลาดจะกลับมาฟื้นก็ต้องรอถึงวันปิดระบบออกอากาศทีวีแอนะล็อก ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้กำหนด"
ขณะที่คูปองเฟสแรก Samart ทำยอดขายมากกว่า 1 ล้านกล่อง และมีค้างสต๊อกไม่ถึง 10% ของจำนวนคูปองที่ กสทช.จะแจกในรอบนี้ จึงน่าจะระบายได้หมด
"ในเฟสแรกต้องถือว่า Samart ไม่ได้ขาดทุน เพราะมียอดจำหน่ายเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ต่อเนื่องอย่างสายสัญญาณเข้ามาช่วยซัพพอร์ต ขณะที่มาร์จิ้นจาก set-top-box อยู่แค่ราว 10 บาท/กล่องเท่านั้น ทั้งที่ตลาดแข่งดุเดือด ดังนั้นเมื่อระบายสต๊อกจบแล้ว คงไม่นำเข้ามาเพิ่ม แต่จะเน้นไปเข้าโครงการทำระบบกับอาคารขนาดใหญ่อย่างคอนโดมิเนียม โรงแรม โรงพยาบาล โดยรวมทั้งการรับชมทีวีดิจิทัล บรอดแบนด์ และบริการเสริมอื่น ๆ เป็นสมาร์ททีวี ล่าสุดก็กำลังเจรจากับการเคหะแห่งชาติ"
ด้านนางสาวศิริลักษณ์ สิทธิโชคสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ บริษัท แฟมิลี่ คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ณ จุดนี้แต่ละบริษัทอยู่เฉยไม่ได้ ต้องหาทางให้ขาดทุนน้อยที่สุด เพราะเงินจมอยู่กับสต๊อกกันทั้งนั้น ขนาดแฟมิลี่มียอดขายในเฟสแรกติด Top 5 คือล้านกว่ากล่อง ก็ยังขาดทุนค่าโอเปอเรชั่นกับงบฯโฆษณาที่ปูพรมลงไป แต่ปรากฏว่า กสทช. แจกคูปองดีเลย์ และมีค้างสต็อกเกือบล้านกล่อง ซึ่งถ้าระบายไม่ทันต้องรอถึงสวิตช์ออฟทีวีแอนะล็อก และอาจต้องกลายเป็นของแถมหรือบันเดิลไปกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของบริษัท
"เบื้องต้นบริษัทน่าจะจับมือกับเซเว่นอีเลฟเว่นเป็นจุดให้บริการเหมือนเดิม เนื่องจากมีศักยภาพสูง"
แต่หาก กสทช.สร้างระบบกลางให้มาลงทะเบียนแสดงความจำนงเลือก set-top-box ที่ต้องการใช้สิทธิ์แลกได้ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของ กสทช.ได้ ตามที่ชมรมผู้ประกอบการ set-top-box ได้นำเสนอไว้ ทางแฟมิลี่ก็จะเปิดแคมเปญพิเศษเพื่อดึงดูดใจให้ลูกค้าได้อย่างเต็มที่เพราะมีต้นทุนถูกกว่าลงพื้นที่เอง
"เฟสก่อนมีผู้ใช้สิทธิ์แค่60% ก็คาดว่ารอบนี้จะมีกล่องที่ระบายสู่ตลาดได้ราว 2 ล้านกล่อง ทางบริษัทจึงเตรียมเข้ารับงานโครงการของหน่วยงานให้มากขึ้นด้วย"
แหล่งข่าว
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1463645983
มิ.ย.กดปุ่ม"อีคูปอง"ดิจิทัลทีวีเฟส2 ผู้ค้าเซตท็อปบ็อกซ์กัดฟันลงทุนเพิ่ม-เคลียร์สต๊อก
มิ.ย.กดปุ่ม"อีคูปอง"ดิจิทัลทีวีเฟส2 ผู้ค้าเซตท็อปบ็อกซ์กัดฟันลงทุนเพิ่ม-เคลียร์สต๊อก
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 20 พ.ค. 2559
"กสทช." ขีดเส้นกลาง มิ.ย.แจกคูปองทีวีดิจิทัลรอบใหม่อีก 5.7 ล้านครัวเรือน ชูระบบ e-Coupon ใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดที่จุดบริการ ขณะที่ผู้จำหน่ายกล่องรับสัญญาณต้องควักกระเป๋าซื้อเครื่องอ่าน ID Card ฟาก "ผู้ค้า" กัดฟันร่วมแคมเปญรอบใหม่-ดิ้นระบายสต๊อกอุตลุด
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เตรียมแจกคูปองส่วนลดซื้อกล่องรับสัญญาณ (set-top-box) ทีวีดิจิทัลรอบใหม่ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อนุมัติเพิ่มกลางเดือน มิ.ย.นี้
"รอบนี้จะต่างกับเฟสก่อน โดย กสทช.จะเชื่อมระบบกับกรมการปกครอง เพื่อให้ประชาชนที่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์ สามารถใช้บัตรประชาชนที่เป็นสมาร์ทการ์ดไปใช้สิทธิ์ ณ จุดให้บริการได้ทันที (ระบบ e-Coupon) ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไม่ต้องพิมพ์คูปอง (3 บาท/ฉบับ) ไม่ต้องเสียค่าไปรษณีย์ตอบรับ (8 บาท/ฉบับ) แต่จะส่งแค่ไปรษณียบัตรแจ้งให้ผู้ได้สิทธิ์รับทราบเท่านั้น ทำให้ประชาชนสะดวกขึ้น"
แต่ผู้จำหน่าย set-top-box ที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องซื้ออุปกรณ์เครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ด (ID Card Reader) จาก กสทช. นำไปติดตั้งยังจุดจำหน่ายเพื่ออ่านข้อมูลจากบัตรและเชื่อมระบบ
"ปัจจุบันเหลือบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ 7-8 รายเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นคือค่า ID Card Reader ราคาประมาณ 100 บาท ในจำนวนเท่ากับจุดให้บริการของบริษัท"
โดยรอบนี้ีจะมีผู้ได้รับแจก 5.7 ล้านครัวเรือน ตามกรอบของ คสช.ที่ให้แจกเพิ่มใน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ครัวเรือนที่ได้รับสิทธิแจกคูปองในเฟสแรก ซึ่งไปรษณีย์ไทยตีกลับคูปองมา 1.2 ล้านครัวเรือน 2.ทะเบียนบ้านใหม่และมีเจ้าบ้าน หลัง 16 ก.ย. 2557 3.ทะเบียนบ้านที่ไม่มีเจ้าบ้านแต่มีผู้อยู่อาศัย และ 4.ทะเบียนบ้านชั่วคราว
ขณะที่การแจกคูปองในเฟสแรกได้รับอนุมัติกรอบวงเงินไว้ที่ 16,165.26 ล้านบาท แจกไปทั้งหมด 13.5 ล้านครัวเรือน มีผู้ใช้สิทธิ์ 8.7 ล้านครัวเรือน ส่วนงบประมาณในรอบนี้กำลังอยู่ระหว่างการประเมิน แต่จะอยู่ภายใต้กรอบงบประมาณเดิม
เอกชนดิ้นระบายสต๊อก
นายทวี อุดมกิจโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย set-top-box แบรนด์ "Samart" เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กสทช.แจ้งเบื้องต้นว่า จะต้องซื้อ Card Reader ตัวละราว 600-700 บาท ขณะที่ทุกบริษัทรวมกันมีจุดจำหน่ายเกือบ 1 หมื่นจุด เท่ากับต้องลงทุนอีกหลายล้านบาท เฉพาะของบริษัทจะมีราว 600 จุด
"ผู้ประกอบการทุกรายมี set-top-box ค้างอยู่ในสต๊อกรวมกว่า 4-5 ล้านกล่อง"ดังนั้นทุกรายต่างต้องระบายสต๊อกที่ค้างไว้ออกมาให้ได้มากที่สุด แม้จะมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่มก็ต้องทำ เพราะหากระบายสต๊อกรอบนี้ไม่หมด โอกาสที่ตลาดจะกลับมาฟื้นก็ต้องรอถึงวันปิดระบบออกอากาศทีวีแอนะล็อก ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้กำหนด"
ขณะที่คูปองเฟสแรก Samart ทำยอดขายมากกว่า 1 ล้านกล่อง และมีค้างสต๊อกไม่ถึง 10% ของจำนวนคูปองที่ กสทช.จะแจกในรอบนี้ จึงน่าจะระบายได้หมด
"ในเฟสแรกต้องถือว่า Samart ไม่ได้ขาดทุน เพราะมียอดจำหน่ายเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ต่อเนื่องอย่างสายสัญญาณเข้ามาช่วยซัพพอร์ต ขณะที่มาร์จิ้นจาก set-top-box อยู่แค่ราว 10 บาท/กล่องเท่านั้น ทั้งที่ตลาดแข่งดุเดือด ดังนั้นเมื่อระบายสต๊อกจบแล้ว คงไม่นำเข้ามาเพิ่ม แต่จะเน้นไปเข้าโครงการทำระบบกับอาคารขนาดใหญ่อย่างคอนโดมิเนียม โรงแรม โรงพยาบาล โดยรวมทั้งการรับชมทีวีดิจิทัล บรอดแบนด์ และบริการเสริมอื่น ๆ เป็นสมาร์ททีวี ล่าสุดก็กำลังเจรจากับการเคหะแห่งชาติ"
ด้านนางสาวศิริลักษณ์ สิทธิโชคสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ บริษัท แฟมิลี่ คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ณ จุดนี้แต่ละบริษัทอยู่เฉยไม่ได้ ต้องหาทางให้ขาดทุนน้อยที่สุด เพราะเงินจมอยู่กับสต๊อกกันทั้งนั้น ขนาดแฟมิลี่มียอดขายในเฟสแรกติด Top 5 คือล้านกว่ากล่อง ก็ยังขาดทุนค่าโอเปอเรชั่นกับงบฯโฆษณาที่ปูพรมลงไป แต่ปรากฏว่า กสทช. แจกคูปองดีเลย์ และมีค้างสต็อกเกือบล้านกล่อง ซึ่งถ้าระบายไม่ทันต้องรอถึงสวิตช์ออฟทีวีแอนะล็อก และอาจต้องกลายเป็นของแถมหรือบันเดิลไปกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของบริษัท
"เบื้องต้นบริษัทน่าจะจับมือกับเซเว่นอีเลฟเว่นเป็นจุดให้บริการเหมือนเดิม เนื่องจากมีศักยภาพสูง"
แต่หาก กสทช.สร้างระบบกลางให้มาลงทะเบียนแสดงความจำนงเลือก set-top-box ที่ต้องการใช้สิทธิ์แลกได้ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของ กสทช.ได้ ตามที่ชมรมผู้ประกอบการ set-top-box ได้นำเสนอไว้ ทางแฟมิลี่ก็จะเปิดแคมเปญพิเศษเพื่อดึงดูดใจให้ลูกค้าได้อย่างเต็มที่เพราะมีต้นทุนถูกกว่าลงพื้นที่เอง
"เฟสก่อนมีผู้ใช้สิทธิ์แค่60% ก็คาดว่ารอบนี้จะมีกล่องที่ระบายสู่ตลาดได้ราว 2 ล้านกล่อง ทางบริษัทจึงเตรียมเข้ารับงานโครงการของหน่วยงานให้มากขึ้นด้วย"
แหล่งข่าว
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1463645983